หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 172-2 จัดการเฉียวเจิงสำเร็จ คำนับฟ้าดิน
ตอนที่ 172-2 จัดการเฉียวเจิงสำเร็จ คำนับฟ้าดิน
เฉียวเจิงเพ่งมองให้ถนัดถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แม่เฒ่าเฟิงคนก่อนหน้า แต่เป็นสตรีสาววัยประมาณยี่สิบปี การแต่งกายเรียบง่าย ใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลา แค่เพียง…ดูแล้วปัญญาไม่สมประกอบนัก
สตรีนางนั้นวางก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะ ก่อนจะยืนยิ้มอยู่อย่างนั้นไม่ยอมออกไป
เฉียวเจิงมองนางด้วยสายตาประหลาด “แม่นางคือ…หลานสาว…ของแม่เฒ่าเฟิง?”
สตรีนางนั้นเพียงแค่ยิ้มตอบ
ในใจเฉียวเจิงรู้สึกขนลุกเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปช้าๆ นั่งลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา
สตรีนางนั้นก็เอาแต่มองเขายิ้มๆ
ในใจเฉียวเจิงยิ่งขนลุกหนักกว่าเก่า มองประเมินนางขึ้นลงทีหนึ่ง “แม่นาง ข้าตรวจชีพจรให้เจ้าดูดีหรือไม่ เจ้ายื่นมือออกมาสิ”
สตรีนางนั้นยื่นมือออกไปอย่างว่าง่าย
เฉียวเจิงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อออกมาวางลงบนข้อมืออีกฝ่าย จากนั้นจึงได้เริ่มตรวจชีพจร ชีพจรของนางไม่ได้มีอะไรผิดปกติมากนัก แต่เมื่อรวมกับท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา เฉียวเจิงเข้าใจทันทีว่านางคือหญิงปัญญาไม่สมประกอบ
ก็แค่ปัญญาไม่สมประกอบ เฉียวเจิงไม่มีอะไรให้นึกกลัว จึงส่งยิ้มให้อย่างสงสาร เก็บผ้าเช็ดหน้ากลับมาพร้อมช่วยจับแขนเสื้อนางให้เข้าที่
ในตอนนั้นแม่เฒ่าเฟิงยกน้ำร้อนกะละมังหนึ่งเข้ามา พอเห็นเฉียวเจิงกับหลานสาวของตนมีท่าที “ใกล้ชิดสนิทสนม” ก็วางกะละมังในมือลงทันที แล้วก้าวเข้ามาดึงหลานสาวไปอยู่ข้างหลังตน
เฉียวเจิงยิ้มแหยๆ เอ่ยว่า “ขอโทษด้วยแม่เฒ่า ข้าเพียงช่วยตรวจชีพจรให้นางเท่านั้น ข้าเป็นหมอน่ะ!”
แม่เฒ่าเฟิงกลับดูคล้ายไม่ได้ยินที่เฉียวเจิงพูด นางเอ่ยกับหลานสาวช้าๆ ว่า “ไม่ใช่คนนี้! คนนั้น!”
พูดจบ แม่เฒ่าเฟิงก็ชี้ไปยังจีหมิงซิวที่นอนอยู่บนเตียง
หญิงสาวก้าวกระโดดเข้าไปที่เตียงแล้วทรุดตัวนั่งลง นางดึงหน้ากากจีหมิงซิวออก แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ พอเห็นว่าไม่น่าสนใจก็ดึงหน้ากากออกมาโยนทิ้ง จากนั้นก็เอาตัวจีหมิงซิวเข้ามากอดไว้กับอก ประหนึ่งกำลังกอดบางสิ่งที่เป็นของตนเองกระนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่ไม่อยากคลายมือออก
เฉียวเจิงงุนงงไปทันที นี่มันอะไรกัน
แม่เฒ่าเฟิงชี้ไปที่ชามบนโต๊ะ “รีบกินเร็ว ถ้าอืดแล้วจะไม่อร่อย”
เฉียวเจิงมีหรือยังจะมีกะจิตกะใจกินก๋วยเตี๋ยวอีก เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แม่เฒ่าเฟิง หลานสาวเจ้า นาง…”
แม่เฒ่าเฟิงตอบยิ้มๆ “เจ้าพูดถึงหลานสาวข้าหรือ ดูสิว่านางชอบสามีคนใหม่ของนางเพียงใด ก่อนหน้านี้ข้าหาให้นางตั้งหลายคน ไม่ถูกใจนางสักคน แต่ละคนถูกนางไล่ตีจนหนีหายกันไปทั้งนั้น!”
เฉียวเจิงนับว่าได้เข้าใจแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ใจดีคิดอยากช่วยพวกตน แต่อยากหาผู้ชายสักคนมาเป็นสามี มิน่าเล่าถึงได้ถามตนว่าจีหมิงซิวใช่บุตรชายของตนหรือไม่ ซ้ำยังถามอีกว่าหมิงซิวใช่ลูกเขยของตนหรือไม่ นางคงตัดสินใจเอาหมิงซิวกลับมาเป็นสามีให้หลานสาวของนางตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ใต้เท้าโอรสสวรรค์ เมืองหลวงอันโอฬารยิ่งใหญ่ มีเรื่องน่าประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วยหรือนี่!
ความรู้สึกดีที่มีต่อแม่เฒ่าเฟิงในใจเฉียวเจิงพลันมลายหายไปจนสิ้น ก่อนหน้านี้เคยซาบซึ้งเท่าไร เวลานี้ก็สะท้อนกลับแรงเท่านั้น “แม่เฒ่าเฟิง เจ้าบังคับแย่งตัวคนมาเช่นนี้นับว่าไม่ถูก เจ้ายังไม่ทันได้ถามความสมัครใจของเขาด้วยซ้ำ และยังไม่รู้ด้วยว่าเขามีภรรยาอยู่ที่บ้านแล้วหรือไม่”
แม่ฒ่าเฟิงพลันหุบยิ้ม เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ข้าไม่สน คนที่ตกลงมาในหุบเขานี้ อย่าคิดจะได้ออกไปอีกเลย เขาจะแต่งก็ต้องแต่ง ไม่แต่งก็ต้องแต่ง! เซียงเอ๋อร์!”
หญิงสาวหันมาพร้อมหัวเราะหึหึ
แม่เฒ่าเฟิงถามนางว่า “เซียงเอ๋อร์ เจ้าชอบเขาหรือไม่”
หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกอดจีหมิงซิวแน่นขึ้นไปอีก เขาหน้าตาตีเพียงนี้ ชอบมาก ชอบมากๆ!
แม่เฒ่าเฟิงจึงเอ่ยว่า “คืนนี้ข้าจะให้พวกเจ้าเข้าพิธีกราบไหว้กัน!”
เฉียวเจิงพลันสั่นสะท้าน “ข้าไม่เห็นด้วย!”
แม่เฒ่าเฟิงตะคอกกลับ “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาไม่เห็นด้วย”
เฉียวเจิง “ข้า…ข้ามาด้วยกันกับเขา!”
แม่เฒ่าเฟิงเอ่ยพร้อมท่าทีดุดัน “มาด้วยกันแล้วอย่างไร เขาไม่ใช่ทั้งลูกเขยเจ้า ไม่ใช่ทั้งลูกชายเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกไม่เห็นด้วย”
เฉียวเจิงถึงกับสะอึกไป ครู่ใหญ่ถึงได้กัดฟันเอ่ยลอดไรฟันออกมาว่า “อย่างน้อยเจ้าควรถามความเห็นเขาก่อน! ต้องให้เขายินดีที่จะแต่งงานกับหลานสาวเจ้าถึงจะได้!”
แม่เฒ่าเฟิงเอ่ยเสียงเด็ดขาดว่า “ข้าเป็นคนเก็บเขากลับมา เขาก็คือของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เขาเห็นด้วย ข้าบอกให้เขาแต่งงานกับหลานสาวข้า เขาก็ต้องแต่ง!”
เฉียวเจิงเดือดจัด “นี่มันเหตุผลข้างๆ คูๆ อะไรของเจ้า”
แม่เฒ่าเฟิงตะคอกกลับ “ที่ข้าพูดนี่แหละคือเหตุผล!”
ยังจะบอกว่ามีเหตุผลอีก เจ้าก็สมองมีปัญหาเช่นเดียวกับหลานสาวเจ้านั่นแหละ!
เฉียวเจิงนี้เรียกได้ว่าเป็นบัณฑิตพบกับทหาร เรื่องเหตุผลนั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง แม่เฒ่าผู้นี้เห็นได้ชัดว่าคงอุดอู้อยู่ในหุบเขามานานเกินไป นิสัยใจคอจึงบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง พูดคุยด้วยเหตุผลอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่จะให้เขาส่งตัวจีหมิงซิวออกไปเช่นนี้ เขาก็ไม่ยอมเช่นกัน
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง จีหมิงซิวเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดหลานๆ ทั้งสองของเขา หากวันหน้าพวกเด็กๆ ถามเขาว่าบิดาของพวกเขาเล่า เขาจะตอบอย่างไร
ข้าเห็นบิดาของเจ้า “แต่งงาน” ไปกับหญิงบ้าคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
เฉียวเจิงสูดหายใจเขาลึกๆ จ้องเขม็งไปยังแม่เฒ่าเฟิงแล้วเอ่ยอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธว่า “เจ้าฟังข้าให้ดี เขามีบุตรกับลูกสาวข้าแล้ว! เจ้าเลิกคิดฝันในตัวเขาได้เลย!”
แม่เฒ่าเฟิงอึ้งไป “เจ้าไม่ได้บอกว่าเขาไม่ใช่ลูกเขยเจ้าหรือ”
เฉียวเจิงเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าหูไม่ดี! ได้ยินผิดไป! เขาก็คือลูกเขยของข้า!”
แม่เฒ่าเฟิงบอกอย่างเดือดจัดว่า “หูข้าดีมาก ข้าได้ยินไม่ผิด! คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดหวังอะไรในตัวเขากระมัง พวกเจ้าสองคนใช่…นั่นน่ะอะไรนะ…วิปริตผิดผี?”
เฉียวเจิงคล้ายถูกสายฟ้าฟาดจนขนตั้งชันไปทั้งตัว!
นี่คือลูกเขยของเขา! ลูกเขย! ลูกเขย!
เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย!
เฉียวเจิงเดือดดาลกับแม่เฒ่าผู้นี้ยิ่งนัก ไม่อยากจะพูดกับนางต่ออีกแม้เพียงประโยคเดียว เขาเก็บหน้ากากที่อยู่บนพื้นขึ้นมายัดลงอกเสื้อแล้วเดินไปที่เตียง ดึงตัวจีหมิงซิวที่อยู่ในอ้อมแขนของสตรีนางนั้นออกมา
เมื่อของที่รักถูกแย่งไปจากมือ หญิงสาวจึงโกรธจัด คิดจะไปแย่งจีหมิงซิวกลับมา เฉียวเจิงขวางมือสตรีนางนั้นไว้
หญิงสาวคว้าข้อมือเฉียวเจิงไปแล้วอ้าปากงับทันที!
“อ๊าก…”
เฉียวเจิงร้องลั่น
แม่เฒ่าเฟิงอาศัยจังหวะนั้นชิงตัวจีหมิงซิวกลับไป
ด้วยอารามรีบร้อน เฉียวเจิงยกขาขึ้นถีบแม่เฒ่าเฟิงจนล้มลงกับพื้น!
แม่เฒ่าเฟิงร้องไอ้หยาทีหนึ่งแล้วล้มหงายท้องขาชี้ฟ้า
ถึงอย่างไรนางก็มีอายุประมาณหนึ่งแล้ว พละกำลังสู้บุรุษไม่ได้ แต่เพราะชีวิตในหุบเขานั้นต้องทำงานใช้พละกำลังมาก หากเทียบกับสตรีสูงอายุทั่วไป นางถือว่าแข็งแรงกว่าอยู่ไม่น้อย
แม่เฒ่าเฟิงลุกขึ้นยืนได้อย่างรวดเร็ว คว้าเก้าอี้ขึ้นมาจะฟาดใส่ศีรษะของเฉียวเจิง!
ศีรษะของเฉียวเจิงเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงมาก่อน หากโดนเข้าอีกครั้งน่ากลัวว่าคงได้กลายเป็นปัญญาอ่อนไป เฉียวเจิงไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยความร้อนใจจึงคว้าลำคอหญิงสาวเอาไว้ หญิงสาว “คายแขนในปาก” ออก เฉียวเจิงจับนางเอามาขวางไว้ข้างหน้า!
แม่เฒ่าเฟิงพลันคิ้วกระตุก รีบผ่อนแรงลงทันที เก้าอี้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เฉียวเจิงผลักหญิงสาวนางนั้นไปหาแม่เฒ่าเฟิงอย่างแรง
แม่เฒ่าเฟิงถูกกระแทกจนล้มลงกับพื้น หญิงสาวล้มทับอยู่ข้างบน
เฉียวเจิงรีบเอาจีหมิงซิวขึ้นหลัง แล้วพุ่งตัวออกจากห้องไป ขาซ้ายของเขาถูกนกแร้งงับมาก่อน ตนเดินคนเดียวยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไร แต่พอต้องแบกบุรุษตัวใหญ่หนักเป็นร้อยจินขึ้นหลังจึงรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที สองย่าหลานทางด้านหลังดูใกล้จะลุกขึ้นมาแล้ว เขาต้องรีบหนี!
เฉียวเจิงแบกจีหมิงซิวไปตลอดทางที่พุ่งออกจากลาน
แสงจันทร์สาดส่องลงบนลาน ลมเย็นอ่อนๆ รู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงา
แต่จู่ๆ เฉียวเจิงก็แบกจีหมิงซิววิ่งทุกลักทุเลกลับมาแล้วก้มตัวลงไปเด็ดหญ้าจื่อเป่ามากำใหญ่
แม่เฒ่าเฟิงไล่ตามออกมาแล้ว นางเอามือจับกรอบประตูพลางหอบแฮ่กๆ
เฉียวเจิงมองหญ้าจื่อเป่าในมือ แล้วมองแม่เฒ่าเฟิงที่ยืนหอบแฮ่กๆ อยู่ ลำล่ำละลักเอ่ยว่า “ข้า…ข้า…เมื่อกี้…ตรวจชีพจรให้หลานเจ้า นี่… นี่ถือเป็นค่าตรวจอาการ!”
ท่านหมอเฉียวที่ได้ค่าตรวจอาการก้อนแรกมา วิ่งปรู๊ดหนีไปราวกับมีผีไล่ตามมาข้างหลัง!
เฉียวเจิงไม่รู้ว่าตนเองวิ่งไปไกลแค่ไหน จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงแม่เฒ่าเฟิงและหลานสาวแล้ว ถึงได้เอามือเท้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพลางหอบหายใจเฮือกใหญ่
เขาอยากวางจีหมิงซิวลงใจจะขาด แต่ก็กลัวว่าย่าหลานสองคนนั่นจะตามมาทันอีก
“ท่านลุง”
จีหมิงซิวที่อยู่ข้างหลังส่งเสียงขึ้นอย่างอ่อนล้า
เฉียวเจิงอึ้งไป “เจ้าฟื้นแล้ว?”
“อื้อ” จีหมิงซิวส่งเสียงอย่างอ่อนล้าและเกียจคร้านออกทางจมูก
“อยากใส่หน้ากากหรือ” เฉียวเจิงถาม
“อื้อ” ลมหายใจเขาเริ่มปั่นป่วน หยกหานปิงช่วยกดเอาไว้ได้เล็กน้อย
เฉียวเจิงเอาหน้ากากออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นกลับหลังส่งไปให้เขา
ศีรษะของจีหมิงซิวพิงซบอยู่บนบ่าของเฉียวเจิงเบาๆ ว่าง่ายประหนึ่งเป็นลูกหมาตัวน้อย “ท่านลุง”
“มีอะไร ไม่สบายหรือ” เฉียวเจิงถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าได้ยินแล้ว” จีหมิงซิวเอ่ยอย่างอ่อนแรง
เฉียวเจิงพลันตาแข็ง “ได้ยินอะไร”
จีหมิงซิวตอบว่า “ได้ยินที่ท่านบอก ว่าข้าเป็นลูกเขยท่าน”
เฉียวเจิงจึงบอกว่า “นั่นข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น!”
จีหมิงซิวยกมุมปาก น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับกิ่งหลิว “ไม่สน ก็ข้าได้ยินแล้ว”
“เจ้าอย่ามาขี้โกงนะ”
“ท่านพ่อ”
“อย่าเรียกซี้ซั้ว! ข้าไม่ใช่พ่อเจ้า!”
“ท่านพ่อ”
“บอกแล้วว่าอย่าเรียกซี้ซั้ว! ถ้ายังเรียกอีกข้าจะทิ้งเจ้าไว้ตรงนี้ไม่สนใจแล้วนะ!”
“ท่านพ่อ พวกนางตามกันมาแล้ว”
“เร็วเพียงนี้เชียว”
เฉียวเจิงพลันหน้าถอดสี แบกจีหมิงซิววิ่งจี๋ไปทันที วิ่งไปพักใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่ามีอะไรแปลกๆ เมื่อกี้เจ้าเด็กนี่เรียกเขาว่าท่านพ่อ เขาไม่ได้ลืมแย้งกลับไปหรอกหรือ
เจ้าเด็กเลว ร้ายกาจนักๆ
…
มากล่าวถึงแม่เฒ่าเฟิงกับหลานสาว พวกนางไล่ตามอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตามไม่ทันแล้วจริงๆ จึงยอมแพ้
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว บุรุษที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งต้องมาแบกอีกคนที่ตัวหนักกว่าตน ไม่น่าจะวิ่งไปได้ไกลเท่าไรนัก แต่แม่เฒ่าเฟิงอายุมากแล้ว ยิ่งวิ่งไม่ได้ไกลเข้าไปใหญ่ หลานสาวของนางพอวิ่งได้อยู่ แต่สมองของนางไม่สู้ดี หากวิ่งหายไปแล้วหาทางกลับบ้านไม่ถูกจะทำอย่างไร
ดังนั้นต่อให้แม่เฒ่าเฟิงกระหายอยากได้บุรุษสองคนนั้นเพียงใด ก็ยังพาหลานสาวของตนกลับบ้านมาอยู่ดี
หลานสาวนางเศร้าโศกยิ่งนัก
นางอยากได้บุรุษสักคนหนึ่ง อยากให้กำเนิดบุตรหลายๆ คน
แม่เฒ่าเฟิงดึงหลานสาวมากอดด้วยความสงสาร ขานางข้างหนึ่งก้าวลงโลงไปแล้ว หากยังหาคนดูแลหลานสาวไม่ได้อีก เกิดวันใดนางก้าวลงโลงไปแล้วสองขา หลานสาวของนางจะทำอย่างไร
เซียงเอ๋อร์น้ำตาร่วงเผาะอยู่กับอกของแม่เฒ่าเฟิง
อยากได้บุรุษ อยากมีลูก
แม่เฒ่าเฟิงกล่อมเซียงเอ๋อร์จนหลับไป
แม่เฒ่าเฟิงยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาบุรุษสักคนให้หลานสาว ตอนนั้นครอบครัวของนางมาซ่อนตัวตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่ เริ่มจากคู่ชีวิตของนางเสียไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยบุตรชายกับลูกสะใภ้ เวลานี้เหลือเพียงนางกับเซียงเอ๋อร์ที่ต้องพึ่งพิงกันดั่งชีวิตแล้ว
เวลานี้สุขภาพร่างกายนางยังนับว่าแข็งแรงดี ยังพอจะอยู่เป็นเพื่อนเซียงเอ๋อร์ได้อีกหลายปี แต่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ซ่อมหลังคาก่อนฝนตก นางจะรอจนถึงวันที่ตนตายแล้วค่อยมาเป็นห่วงเรื่องสำคัญของชีวิตหลานสาวไม่ได้
นางหวังว่าเซียงเอ๋อร์จะได้ไปจากที่นี่ ได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกดังเก่า แน่นอนว่าหากเซียงเอ๋อร์ไม่ยินดี นางจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ แต่นางต้องให้กำเนิดบุตรตัวอวบอ้วนหลายๆ คน ไม่อย่างนั้นนางจะเหงา
นางไม่รู้สึกว่าเซียงเอ๋อร์ของตนเป็นปัญญาไม่สมประกอบ เซียงเอ๋อร์ของนางเพียงแค่ไม่ชอบพูด ทำอาหารไม่เป็น แต่จิตใจดี รูปโฉมงดงาม จะต้องมีบุรุษจำนวนมากอยากแต่งงานกับนางแน่
เพียงแค่บุรุษเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้พบเซียงเอ๋อร์เท่านั้น
ข้างล่างนี้ไม่มีใครตกลงมานานแล้ว มีแค่เมื่อหลายเดือนก่อนที่มีหญิงสูงอายุตกลงมาคนหนึ่ง หญิงสูงอายุคนนั้นตกมาก็สิ้นใจเสียแล้ว วันนี้มีคุณชายหน้าตาหล่อเหลาตกลงมาทีเดียวสองคน เช่นนี้แล้วยังจะมีคุณชายตกลงมาอีกหรือไม่
แม่เฒ่าเฟิงตัดสินใจไปลองเสี่ยงดวงดูที่ใต้ต้นอู๋ถงอีกที
โชคของนางนับว่าไม่เลว มีใครคนหนึ่งตกลงมาจริงๆ แต่ห้อยอยู่ตรงกิ่งอู๋ถง คงไม่ตกลงมาถึงพื้น
แม่เฒ่าเฟิงใช้ก้านไม้ไผ่เกี่ยวคนผู้นั้นลงมา
ครานี้เป็นบุรุษรูปร่างผอมโปร่งคนหนึ่ง อายุไล่เลี่ยกับบุรุษที่ถีบนางล้มเมื่อครู่ หน้าตาหล่อเหลาสู้บุรุษผู้นั้นได้ แต่ก็ถือว่าพอใช้ได้อยู่ เนื้อผ้าที่สวมใส่ดูหรูหรา ดูแล้วพื้นเพครอบครัวน่าจะไม่เลว
แม่เฒ่าเฟิงปลุกหลานสาวให้ตื่น แล้วลากบุรุษผู้นั้นเข้าห้องไป
เมื่อได้เห็นบุรุษรูปงามอย่างจีหมิงซิวกับเฉียวเจิงมาแล้ว การได้เห็นบุรุษคนอื่นอีกก็อดรู้สึกเฉยชาขึ้นมาไม่ได้ รูปร่างผอมบางของบุรุษผู้นี้ไม่เลว ตัวเขายังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชื่นใจยิ่งนัก
เซียงเอ๋อร์ดึงบุรุษผู้นั้นเข้ามากอด
แม่เฒ่าเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ชอบรึไม่”
เซียงเอ๋อร์พยักหน้า
แม่เฒ่าเฟิงรีบบอกว่า “เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ข้าจะให้พวกเจ้าเข้าพิธีกราบไหว้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน”
แม่เฒ่าเฟิงกลับไปที่ห้องของตน หยิบเอาชุดแต่งงานเมื่อในอดีตออกมาจัดแจงเปลี่ยนให้หลานสาวและบุรุษผู้นั้นใส่
นางไปหาเทียนแดงสองเล่มมาจากในหีบ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะในห้องโถง
บุรุษผู้นั้นยังสลบไสล ไม่อาจทำพิธีกราบไหว้ได้ แต่ในราชวงศ์ต้าเหลียง สามารถใช้ไก่ตัวผู้แทนได้
แม่เฒ่าเฟิงไปจับไก่แก่ตัวผู้จากลานหลังเรือนมาตัวหนึ่ง เอาดอกไม้สีแดงทัดให้ แล้วจับเข้าพิธีกราบไหว้กับหลานสาว
แม่เฒ่าเฟิงพอใจมาก เดินไปข้างเตียง
บุรุษที่อยู่บนเตียงคล้ายอยู่ในนิทรารมย์
แม่เฒ่าเฟิงสะกิดเขาถามว่า “นี่ เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
ริมฝีปากจีอู๋ซวงขยับเล็กน้อย
แม่เฒ่าเฟิงขยับหูเข้าไปใกล้ ฟังอยู่นานแต่กลับฟังออกเพียงคำเดียว “จี? เซียงเอ๋อร์ ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าเป็นจีฮูหยินแล้ว!”
…
ยอดหญิงงามยังไม่รู้ตัวว่า สิ่งที่นางทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จะทำให้เกิดพรหมลิขิตที่ “ดี” ขึ้น นางกับเฉียวเวยกำลังเดินไปตามเส้นทางที่หัวหน้าค่ายบอก เข้าไปในป่าจั้งชี่
เฉียวเวยเทยาออกมาเม็ดหนึ่งส่งให้กับเพื่อนร่วมทาง
“นี่คืออะไร” ยอดหญิงงามถาม
“ยาแก้พิษ” เฉียวเวยกินเข้าไปเองเม็ดหนึ่ง ป้อนให้จูเอ๋อร์กินครึ่งเม็ด
ยอดหญิงงามกินลงไปแล้วก้มลงมองเสี่ยวไป๋ที่หลับน้ำลายย้อยอยู่บนหน้าอกของนาง “ไม่ให้มันกินด้วยหรือ”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ยาพิษทำอะไรมันไม่ได้”
ยอดหญิงงามหิ้วตัวเสี่ยวไป๋ขึ้นมาส่องดูกับแสงไฟ เมื่อดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ จึงจับยัดเข้าอกตัวเองไปอีกครั้ง
จูเอ๋อร์กระโดดไปมาอยู่บนต้นไม้ ตามหาร่องรอยของเฉียวเจิง
เงาดำเงาหนึ่งพุ่งเข้าไปหาจูเอ๋อร์ เฉียวเวยยกมือเขวี้ยงกริชออกไป งูตัวดำที่แยกเขี้ยวยิงฟันถูกปักเข้ากับต้นไม้ทันที!
…
เฉียวเจิงเดินไม่ไหวแล้ว เขาหาจุดที่นับว่าค่อนข้างสะอาดแล้ววางตัวจีหมิงซิวลง ให้หลังจีหมิงซิวพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่
เมื่อครู่รีบร้อนวิ่งออกมาจากบ้านแม่เฒ่าเฟิง แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ได้พกมาด้วย
ลูกกระเดือกที่แห้งผากของเฉียวเจิงขยับขึ้นลง “เจ้านั่งอยู่นี่ก่อน ข้าจะไปหาน้ำมาสักหน่อย”
จีหมิงซิวกระหายน้ำแล้วจริงๆ “ท่านพ่ออย่าเดินไปไกลนัก ข้างหน้าเป็นป่าจั้งชี่”
“ข้ารู้” เฉียวเจิงเพิ่งตอบรับเสร็จสีหน้าก็พลันเปลี่ยน “บอกแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าพ่อ!”
จีหมิงซิวเพียงยิ้มไม่ได้พูดอะไร
เฉียวเจิงเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
ตามทางที่มาไม่เจอแหล่งน้ำเลย จึงต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีก
เฉียวเจิงเดินไปไม่กี่ก้าวก็เห็นบางอย่างดูเป็นแอ่งมีประกาย บ่อน้ำสีดำกับหินสีขาวเป็นประกายเล็กน้อย นั่นก็คือน้ำ
เฉียวเจิงออกเดินไปทางนั้น เดินไปได้ไม่กี่ก้าวขาก็พลันจมลง คล้ายเหยียบถูกบ่อโคลน
เขายกเท้าขึ้น ตั้งใจจะดึงขาออกมา แต่ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้สึกว่าตัวของตนกำลังจมลงช้าๆ
แย่แล้ว!
โคลนดูด!