หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 191-2 เสี่ยวไป๋ผู้องอาจ ชักน้ำไปทิศตะวันออก
ตอนที่ 191-2 เสี่ยวไป๋ผู้องอาจ ชักน้ำไปทิศตะวันออก
ภรรยาของเขาแซ่อวี๋ อายุสี่สิบกว่าปี อาภรณ์ที่สวมเรียบง่าย ปิ่นปักผมก็เป็นแบบธรรมดาๆ บนข้อมือสวมกำไลเงินวงหนึ่งที่กระดำกระด่าง น่าจะใช้งานมาหลายปี ทว่าสองมือคู่นั้นกลับเนียนนุ่มอย่างหาได้ยาก
นางรินน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งให้เฉียวเวย
ใบชาที่ชงเป็นใบชาเก่าของปีที่แล้ว
ปี้เอ๋อร์ดื่มใบชาใหม่ที่จีหมิงซิวส่งให้เฉียวเวยจนชิน พอต้องมาดื่มน้ำชาเช่นนี้จึงดื่มไม่ลงอย่างสิ้นเชิง นางถ่มออกมา “มีแต่กลิ่นรา!”
ผู้ดูแลไช่ขออภัย “ที่นาเก็บค่าเช่าที่ส่งไม่สำเร็จ เบื้องบนจึงลงโทษหักเงินของข้าไปไม่น้อย ข้าเองก็ซื้อใบชาชั้นดีไม่ไหว ขอฮูหยินน้อยอภัยให้เรื่องนี้ด้วย”
เฉียวเวยดื่มอย่างอ้อยอิ่งสองคำ “จัดอาหารมาเถิด ข้าหิวแล้ว”
“ขอรับๆ!” ผู้ดูแลไช่รีบเรียกอวี๋ซื่อออกไป
หลังจากนั้นอาหารก็ถูกยกออกมา อาหารสี่อย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง มีถั่วงอกผัด แตงกวาผัด เนื้อติดมันตุ๋นถั่วเหลือง ไชเท้าดองซีอิ๋วกับน้ำแกงไข่ไก่ผักดอง
ตอนอยู่บนเขาปี้เอ๋อร์ยังไม่เคยกินอาหารแย่เท่านี้ นางหน้าบึ้งต่อว่าทันที “เจ้าเอาอาหารเช่นนี้มาต้อนรับฮูหยินของข้าหรือ เจ้าเอามาเลี้ยงหมูหรืออย่างไร”
ผู้ดูแลไช่ตกใจค้อมกายลง “แม่นางปี้เอ๋อร์โปรดระงับโทสะ ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าฮูหยินน้อยจะมา จึงไม่ได้เข้าเมืองไปซื้ออาหารไว้”
เฉียวเวยยังคงสีหน้านิ่งสงบ “ดีเลวเจ้าก็เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง ปกติก็กินของเหล่านี้หรือ”
ผู้ดูแลไช่ถอนหายใจอย่างทุกข์ระทม “สิบนิ้วมือยังมีสั้นยาว ข้าก็มีแต่ชื่อตำแหน่งผู้ดูแลกลวงเปล่าเท่านั้น ของที่กินของที่ห่มเกรงว่าจะสู้กระทั่งสาวใช้ที่ใช้แรงงานหนักเหล่านั้นในจวนตระกูลจีไม่ได้ เบี้ยแต่ละเดือนของข้าหลังจากถูกหัก เมื่อมาถึงมือข้าก็เหลือเพียงไม่กี่อีแปะ บุตรชายข้าที่ร่ำเรียนอยู่ในเมืองหลวง ข้าต้องนำเงินเก็บเดิมของตนเองออกมาใช้ มิเช่นนั้นก็คงส่งเสียไม่ไหว!”
เฉียวเวยมองรอยปะชุนที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ดูแลไช่กับป้าอวี๋ก็นั่งลงกินด้วยกันเถิด”
ผู้ดูแลไช่รีบตอบว่า “มิกล้าๆ! บ่าวไหนเลยจะกล้าร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้านาย ฮูหยินน้อยเชิญทานก่อน”
เฉียวเวยตอบเรียบๆ “ก็ได้ ไม่ต้องคอยรับใช้ข้าตรงนี้แล้ว เจ้าออกไปเถิด”
“ขอรับ บ่าวขอตัว”
ผู้ดูแลไช่ถอยออกไปอย่างละอายใจ
ปี้เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างเศร้าหมอง “ผู้ดูแลไช่คนนี้โชคร้ายเกินไปแล้ว ถูกจัดสรรให้มาดูแลที่นาที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรไม่ได้สักอย่างเช่นนี้ เงินรางวัลที่โจวมามาได้วันหนึ่งยังมากกว่าเบี้ยรายเดือนทั้งปีของเขาเสียอีก”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เจ้าคิดว่าเขาจนมากจริงหรือ”
ปี้เอ๋อร์ได้ยินคำนี้ก็ฉุกใจคิด “ฮูหยินไม่คิดเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “หากเขากินแต่ผักกับหัวไชเท้าทุกวันจะอ้วนท้วนได้หรือ มือคู่นั้นของภรรยาเขา บำรุงจนเหมือนของแม่นางน้อย ค่าบำรุงก็คงเสียไปไม่น้อยกระมัง”
ปี้เอ๋อร์ตบหน้าผาก “ข้าไม่ได้สังเกตเรื่องนี้เลย!”
เฉียวเวยวางตะเกียบลง แล้วตะโกนเรียกอย่างใจเย็น “เสี่ยวไป๋”
เสี่ยวไป๋ที่กำลังเล่นสนุกกับงูแสนรักอยู่ในสวนด้านหลังวิ่งฉิวเข้ามาหา มันกลัวเฉียวเวยจะจับได้ว่ามันจับงูมาอีกแล้วจึงเข้ามากอดขาของเฉียวเวยคลอเคลียอย่างออดอ้อน
เฉียวเวยมองมัน “อยากกินเนื้อหรือไม่”
เสี่ยวไป๋พยักหน้า!
เฉียวเวยจึงว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปหา”
เสี่ยวไป๋วิ่งออกไปตามหางู
“หาเนื้อไม่พบ ก็อย่าคิดจะไปจับงู”
ฮือออ
เสี่ยวไป๋เผ่นแผล็วกลับมาแล้วกระโจนออกไปจากประตูหน้า
…
ด้านในห้อง ผู้ดูแลไช่กับอวี๋ซื่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนวางโต๊ะน้ำชาตัวน้อยอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะน้ำชามีขาหมูย่างสีแดงหนึ่งจาน ไก่ย่างหนึ่งตัว ปลาหนึ่งตัว เนื้อวัวพะโล้หนึ่งชาม แล้วยังมีผักดองจานเล็กที่ทำอย่างประณีตอยู่อีกหลายอย่าง อาหารพรั่งพร้อมจนไม่รู้จะพรั่งพร้อมอย่างไร
“วันนี้ข้าแสดงใช้ได้ใช่หรือไม่” อวี๋ซื่อฉีกน่องไก่หนึ่งข้างขึ้นมากัดเนื้อไก่ น้ำมันเยิ้มเต็มปาก
ผู้ดูแลไช่กินขาหมู แล้วขานตอบอย่างพึงพอใจ “สมจริงทีเดียว ดูแล้วเหมือนพวกผู้หญิงชนบท!”
อวี๋ซื่อยิ้มกว้างแล้วกินเนื้อวัวอีกชิ้น อร่อยจนหัวใจอิ่มเอม แต่แล้วเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ก็ถามอย่างกังวล “พวกเราให้นางกินของพวกนั้น นางคงไม่โกรธจนกลับไปหาคนมาจัดการพวกเราหรอกกระมัง ผู้ดูแลก่อนหน้านี้ยังไม่มีผู้ใดได้กินอาหารแย่เท่านางเลยนะ!”
ผู้ดูแลไช่ว่าอย่างดูแคลน “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ผู้ดูแลกับเจ้านายเหมือนกันหรือ ผู้ดูแลเป็นบ่าว พวกบ่าวต้องประจบเอาใจ แต่ฮูหยินน้อยเป็นเจ้านาย เจ้านายต้องหลอกลวง! สาวน้อยปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งจะคิดว่าพวกเราใจกล้าเอาอาหารของบ่าวรับใช้มาต้อนรับนางได้อย่างไร นางคงเข้าใจว่าพวกเรายากแค้นจนไม่มีข้าวหุงจริงๆ นางอายุน้อย ใจอ่อน กลับไปบอกพวกนายท่านสักคำสองคำ ไม่แน่ค่าเช่าครึ่งปีหลังก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว!”
“โอ๊ะ ถ้าเช่นนั้นก็ดีสิ!” อวี๋ซื่อยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา “พอได้ยินเบื้องบนบอกว่าจะส่งเจ้านายมาคนหนึ่ง ข้ายังกลัวแทบแย่ ไม่คิดว่าจะเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง”
ผู้ดูแลไช่กัดขาหมูน้ำแดง “กินเถิดๆ อย่าให้ฝั่งนั้นรอ”
อวี๋ซื่อกัดน่องไก่ในมือสองสามคำ กำลังจะฉีกน่องไก่อีกข้าง ทันใดนั้นประตูก็ส่งเสียงดัง แสงสีขาวเส้นหนึ่งโฉบเข้ามา อวี๋ซื่อรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าลายไปวูบหนึ่ง นางยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ไก่ในจานก็หายไปแล้ว
อวี๋ซื่อโกรธจัด มองเจ้า…เจ้า…เจ้าสุนัขสีขาวตัวน้อยที่ใช้กรงเล็บสองข้างยกไก่พะโล้ที่ขนาดใหญ่กว่าตัวมันเอง แล้วใช้เพียงสองขาวิ่งบนพื้น นางถอดรองเท้าข้างหนึ่งขว้างใส่!
เสี่ยวไป๋ขยับหลบ รองเท้าขว้างไปถูกบานประตู!
เสี่ยวไป๋ถือไก่พะโล้ แล้วใช้ความเร็วระดับที่กระโจนพรวดเดียวสิบเมตร วิ่งฉิวจากไป!
ไก่พะโล้ใหญ่เกินไปจนบังร่างเล็กจ้อยของมันไว้ทั้งตัว เมื่อมองผ่านๆ จึงเห็นเพียงไก่ที่ขาหายไปข้างหนึ่ง
หลังจากนั้นภาพประหลาดก็ปรากฏ ไก่พะโล้ตัวหนึ่งบินออกมาจากห้องของผู้ดูแล ลอยคว้างลงมาบนพื้นดิน จากนั้นลอยไปตามทางแล้วเหาะเข้าไปในห้องโถง
บ่าวรับใช้ที่หลบอยู่ด้านหลังเรือนเห็นภาพนี้ต่างก็คิดว่าตนเห็นไก่เซียน ทุกคนคุกเข่าเสียงดังตุ้บ
“เดรัจฉานน้อย เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
อวี๋ซื่อถือไม้กวาดไล่ตีเสี่ยวไป๋!
เสี่ยวไป๋กระโดดหลบไปด้านข้าง! ไม้กวาดหวดลงบนพื้น
อวี๋ซื่อตีอีกหน เสี่ยวไป๋ก็กระโดดหลบอีก ไม่ว่าจะตีอย่างไรก็ตีไม่ถูก
ไม่เพียงเท่านี้ เสี่ยวไป๋ยังกระโดดข้ามขุนเขาสูง (ธรณีประตู) กระโจนข้ามมหาสมุทรกว้างใหญ่ (แอ่งน้ำ) บุกไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ กำราบทั่วทุกทิศ!
อวี๋ซื่อโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง นางเหวี่ยงไม้กวาดฟาดขวาง หนนี้ดูซิว่าเจ้าจะกระโดดไปที่ใด เจ้าเดรัจฉานน้อย!
โอ๊ะ จะฟาดถูกไก่ยักษ์ที่รักแล้ว!
เสี่ยวไป๋โยนไก่พะโล้ขึ้นบนอากาศ ไม้กวาดวาดผ่านเหนือหัวของมันไป
ไก่พะโล้ร่วงลงมา เสี่ยวไป๋รับอย่างแม่นยำแล้ววิ่งข้ามสิ่งกีดขวางต่อ!
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวไป๋กำลังจะวิ่งเข้าไปในห้องโถง อวี๋ซื่อก็หวาดผวาไปทั้งร่าง “เดรัจฉานน้อย! เดรัจฉานน้อยเจ้ากลับมานี่นะ! หากกล้าวิ่งต่อ ข้าจะถลกหนังเจ้า! เลาะเอ็นของเจ้าออกมา! ข้า…ข้า…ข้าจะกินกระดูกของเจ้าด้วย เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!”
กระดูกกินเข้าไปจะอร่อยหรือ เผ่าพงศ์เพียงพอนชอบกินงูมากกว่า
เสี่ยวไป๋ยกไก่พะโล้ตัวโตวิ่งเข้าไปในห้องของเฉียวเวย จากนั้นเค้นเรี่ยวแรงทั้งร่างถีบขากระโจนขึ้นไปบนโต๊ะ!
เสี่ยวไป๋ชูรางวัลจากชัยชนะของตนราวกับเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันยกน้ำหนักผู้น่าเกรงขาม มันแสยะยิ้ม เผยเขี้ยวน้อยสีขาวเต็มปาก!
เฉียวเวยวางไก่พะโล้ลงในจาน
เสี่ยวไป๋เบ่งกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์อย่างภาคภูมิใจ
ปี้เอ๋อร์ตาโตอ้าปากค้าง “มีเนื้อไก่อยู่จริงด้วยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวไป๋ แน่นอนสิ ของข้า…
“แล้วยังต้มพะโล้อีกด้วย” ปี้เอ๋อร์ฉีกน่องไก่ข้างหนึ่งวางลงในชามของเฉียวเวย
เสี่ยวไป๋ “…”
อวี๋ซื่อไม่กล้าไล่ตามเข้ามา นางกลับไปบอกสามีของตนเอง ผู้ดูแลไช่โกรธจนตบนางหนึ่งฉาด “สุนัขตัวเดียวยังจับไม่ได้ แล้วเจ้าจะไปทำอะไรกิน!”
ผู้ดูแลไช่กดความตระหนกในหัวใจ แล้วเดินเข้าไปพร้อมกับสีหน้าโกรธจัด “ฮูหยิน ผู้น้อยเพิ่งไปซื้อไก่พะโล้มาให้ท่าน แต่พริบตาเดียวก็ถูกสุนัขตัวหนึ่งคาบไปแล้ว…โอ๊ะ! อยู่นี่เองหรือ!”
ท่าทางตกใจอย่างยิ่ง!
เฉียวเวยยิ้มละไม “รสชาติไม่เลว ผู้ดูแลไช่ใส่ใจแล้ว”
น้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่กลับทำให้หัวใจของผู้ดูแลไช่ขนลุกซู่อย่างไร้สาเหตุ ผู้ดูแลไช่ยิ้มแห้ง “มิกล้าๆ บ่าวเพียงคิดว่าฮูหยินน้อยเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ จะมากินเหมือนพวกเราคนรับใช้เหล่านี้จริงๆ ไม่ได้จึงให้คนไปซื้อมาทันที”
เฉียวเวยยิ้ม “ตัวเมืองใกล้มากหรือ เดินทางไปกลับหนนี้เจ้าจึงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ”
ผู้ดูแลไช่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ตอบว่า “เอ่อ…มีร้านขายไก่พะโล้อยู่ร้านหนึ่ง อยู่ระหว่างทาง ข้าพบโดยบังเอิญจึงซื้อมา!”
“อ้อ” เฉียวเวยขานตอบ “ถ้าเช่นนั้นตอนเจ้าซื้อ เห็นหรือไม่ว่าน่องไก่ของมันหายไปข้างหนึ่ง”
“เรื่องนี้…” ผู้ดูแลไช่สะอึกจนหน้าแดง ใกล้จะหลอกต่อไม่ไหวแล้ว
เฉียวเวยฉีกเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งออกมาอย่างใจเย็น “ผู้ดูแลไช่ ข้าคนนี้ไม่ใช่คนอารมณ์เย็นนัก ก่อนข้ากินอาหารมื้อนี้เสร็จ ดีที่สุดเจ้าจงอธิบายมาให้ชัดเจนตรงไปตรงมา เงินพวกนี้เจ้าเอามาจากที่ใด ผลผลิตของชาวนาที่เช่าที่นาเป็นอย่างไร”
“เงินของบ่าว…” ผู้ดูแลไช่ตั้งสติ “เงินของบ่าวเป็นเงินที่เก็บมาตั้งแต่เมื่อก่อน ผลผลิตของพวกชาวนาไม่ดีจริงๆ ดังนั้นจึงจ่ายค่าเช่าไม่ได้ มิใช่บ่าวยักยอกเข้ากระเป๋าตนเอง”
รสชาติของไก่พะโล้ไม่เลว เฉียวเวยอดใจไม่ไหวกินเพิ่มอีกหลายคำ “ประโยคสุดท้ายถึงจะเป็นความจริงสินะ แต่ความเป็นมาของเงินนี่เป็นคำโป้ปด”
หัวใจของผู้ดูแลไช่กระตุกวูบ
เฉียวเวยฉีกปีกไก่ขนาดใหญ่ปีกหนึ่งวางลงในชามของปี้เอ๋อร์ “คุณภาพดินในแปลงนาเลวร้ายมากจนแทบปลูกสิ่งใดไม่ขึ้น ถ้าเช่นนั้นเงินนั่นของผู้ดูแลไช่ไปเก็บสะสมมาเมื่อใด หากข้าจำไม่ผิด สิบปีก่อนเจ้าก็เป็นผู้ดูแลที่นาผืนนี้แล้ว เจ้าสะสมภูเขาเงินภูเขาทองไว้หรือ สิบปีผ่านมาแล้วจึงยังใช้ไม่หมด!”
ลำคอของผู้ดูแลไช่เหมือนมีมือใหญ่ข้างหนึ่งบีบไว้แน่นจนลมหายใจผ่านไม่ได้
เฉียวเวยยิ้มละไมเอ่ยต่อว่า “หากข้ามีเงินมากมายเช่นนั้น คงจะไม่ทำงานเป็นผู้ดูแลที่นาไร้ประโยชน์ผืนนี้แล้ว ไปเปิดร้านสักร้านของตนเองก็ได้ เช่นนั้นไม่ดีกว่าเป็นผู้ดูแลยากจนที่ถูกลงโทษหักเงินทุกปีเช่นนี้หรือ บางทีข้าอาจจะใช้เงินเล็กน้อย เปลี่ยนไปยังตำแหน่งที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากกว่า ชีวิตคงจะอยู่ดีกว่าตอนนี้เป็นแน่ เจ้าว่าจริงหรือไม่ผู้ดูแลไช่”
ผู้ดูแลไช่เป็นวัวสันหลังหวะจึงเอ่ยคำใดไม่ออก
ความจริงเฉียวเวยไม่มีหลักฐานะอะไรทั้งสิ้น เขาจะแถไปให้ถึงที่สุดก็ย่อมได้ แต่เมื่อเขาสบสายตากับดวงตาคมกริบคู่นั้น ก็พลันเกิดความรู้สึกว่าความลับถูกผู้อื่นมองออกทะลุปรุโปร่งแล้ว
เฉียวเวยกินเนื้อไก่หอมฉุยคำหนึ่ง แล้วสั่งอย่างเฉยชา “มีคนไม่เชื่อฟัง เสี่ยวไป๋”
เสี่ยวไป๋ถลึงดวงตาเพียงพอน เงื้อกรงเล็บตวัดใส่ผู้ดูแลไช่!
ผู้ดูแลไช่ล้มก้นจ้ำเบ้า เสี่ยวไป๋กระโจนขึ้นไปบนศีรษะของเขา เกาะอยู่บนศีรษะของเขาจากนั้นลงมือกับใบหน้า ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ตะปบใบหน้าหลายต่อหลายครั้ง ตบจนใบหน้าสองข้างของเขาบวมเป็นซาลาเปา
เสี่ยวไป๋แสยะเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย ผู้ดูแลไช่กลัวจนขวัญกระเจิง “ฮูหยินน้อยไว้ชีวิตด้วย!”
เฉียวเวยถามเรียบๆ “เงินมาจากที่ใด”
ผู้ดูแลไช่ตัวสั่นระริก “หา หามาขอรับ”
“หามาได้อย่างไร”
“ร้าน ร้านสุรา”
“ร้านสุราที่ไหน”
“ร้านสุราในตัวเมือง ข้า…ข้าลงเงินไปเล็กน้อย”
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวไป๋ มีคนไม่พูดความจริงอีกแล้ว”
เสี่ยวไป๋ยื่นกรงเล็บเข้าไปในปาก จับลิ้นของเขาออกมา เมื่อเห็นท่าว่าลิ้นใกล้จะขาดแล้ว เขาจึงโพล่งออกมาเสียงดัง “ขาย ขายผู้หญิงขอรับ!”
ตระกูลดังอันมีเกียรติเช่นตระกูลจี คัดค้านกิจการที่ทำร้ายขนบประเพณีอันดีงามทำนองนี้อย่างเด็ดขาด
เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “ขายผู้หญิงจากไหน”
“ผู้ ผู้หญิงจากครอบครัวของชาวนาที่เช่าที่ พวกเขาจ่ายค่าเช่าไม่ไหว ก็…ก็เอาผู้หญิงไปขายที่ร้านสุรา…”
“ตัวสารเลว!” เฉียวเวยตบฝ่ามือเดียว โต๊ะพลันแหลกเป็นชิ้นๆ
ผู้ดูแลไช่ลงไปคุกเข่า โขกศีรษะไม่หยุด “บ่าวไม่มีหนทางจริงๆ แต่ละปีที่นาส่งค่าเช่าไม่ได้ ไม่ทำเช่นนี้แล้วพวกเขาจะเอาอะไรกิน ยิ่งไปกว่านั้นบ่าวก็ไม่ได้บีบบังคับพวกเขา พวกเขาสมัครใจ!”
“สมัครใจหรือ” เฉียวเวยกวาดสายตามองอย่างเย็นชา “ปี้เอ๋อร์ เจ้าลองไปถามดู ดูว่าสมัครใจจริงหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของผู้ดูแลไช่ไม่เหลือสีเลือด
ปี้เอ๋อร์ตระเวนรอบหนึ่งก็พาท่านป้ากับท่านลุงหลายคนกลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเห็นผู้ดูแลไช่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็อยากจะกระโจนเข้าใส่ราวกับเห็นคู่แค้น
ปี้เอ๋อร์แนะนำเสียงเบา “ท่านนี้คือฮูหยินน้อยแห่งตระกูลจี พวกท่านมีสิ่งใดมิได้รับความเป็นธรรม ล้วนบอกฮูหยินน้อยได้ทั้งสิ้น ฮูหยินน้อยจะทวงความเป็นธรรมให้แก่พวกท่านเอง”
คนทั้งหลายลังเล เหมือนกำลังคิดอยู่ว่าคำพูดของปี้เอ๋อร์เชื่อได้หรือไม่ พวกเขาเห็นมามากเหลือเกิน ตอนมาวางท่าเสียดิบดี แต่เสร็จธุระก็ไม่ดูดำดูดีพวกเขาแล้ว
หากวันนี้ล่วงเกินผู้ดูแลไช่ วันหน้าคราวเคราะห์คงย้อนกลับมาหาพวกเขา
เฉียวเวยมองพวกเขาแล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “ข้าเข้าใจความกังวลของพวกเจ้า ข้าจะถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว พวกเจ้าขายลูกสาวให้ผู้ดูแลไช่จริงหรือไม่ หากสมัครใจจริง ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่ยุ่ง หากพวกเจ้าถูกบีบบังคับ ถ้าเช่นนั้นผู้ดูแลไช่ที่บีบบังคับปล้นชิงหญิงสาวผู้นี้ ข้าย่อมพากลับไปจัดการที่ตระกูลจี”
“จัดการแล้ว…จะเป็นอย่างไร” ท่านป้าคนหนึ่งถาม
เฉียวเวยตอบว่า “ไม่ว่าอย่างไรย่อมกลับมายังที่ดินผืนนี้ไม่ได้แล้ว”
หลายคนเมื่อได้ยินว่าจะไม่กลับมาแล้ว ฉับพลันก็มีความกล้าขึ้นมา ท่านป้าผู้นั้นถลามาแทบเท้าของเฉียวเวย แล้วโขกศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต “พวกเราไม่ได้สมัครใจ! แต่ถูกเขาบีบบังคับ! เขาบอกว่าหากไม่ส่งคนมาให้ก็จะจับพวกเราเข้าคุก! พวกเราค้างค่าเช่าอยู่ หากต้องเข้าไปกินข้าวแดงในคุก ผู้เฒ่ากับเด็กน้อยในครอบครัวคงไม่รอด!”
“ขอฮูหยินน้อยทวงความยุติธรรมให้ด้วย!” ท่านลุงคนหนึ่งคุกเข่าบ้าง
คนที่เหลือต่างทยอยกันคุกเข่า
เฉียวเวยหันไปมองผู้ดูแลไช่ “เสียแรงเจ้าเป็นผู้ดูแลของตระกูลจีมาสิบกว่าปี ไม่รู้หรือว่าตระกูลจีไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องสกปรกเช่นนี้”
ผู้ดูแลไช่ร่ำไห้ “บ่าว…บ่าวก็ถูกบีบบังคับเหมือนกันขอรับ! ร้านสุรานั่น บ่าวมิใช่คนเปิด คนเบื้องบนสั่งลงมาให้บ่าวนำเงินไปดำเนินการ บ่าวก็จนหนทางเหมือนกัน!”
เฉียวเวยหัวเราะหยัน “คนเบื้องบนสั่งลงมา คนเบื้องบนคือผู้ใดเล่า”
ผู้ดูแลไช่ก้มศีรษะ “บ่าวพูดไม่ได้”
ปี้เอ๋อร์ตวาด “ไม่พูดก็ลากไปโบยให้ตาย!”
ผู้ดูแลไช่ตัวสั่นระริก “โบยให้ตาย บ่าวก็พูดไม่ได้เช่นเดิม บ่าวขอแนะนำว่าฮูหยินน้อยอย่าถามอีกเลย หากล่วงเกินคนผู้นั้น ฮูหยินน้อยก็จะไม่ได้อยู่ดีเช่นกัน”
เฉียวเวยจึงพูดว่า “ข้าเป็นฮูหยินน้อยแห่งตระกูลจี สามีข้าคือนายน้อยแห่งตระกูลจี ตระกูลจียังมีผู้ใดที่ข้าล่วงเกินมิได้อีก เจ้าอย่าบอกว่าเป็นเหล่าฮูหยินเชียว เหล่าฮูหยินรักข้า ข้าย่อมล่วงเกินนางไม่ได้”
ผู้ดูแลไช่ตอบด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ฮูหยินท่านอย่าถามอีกเลย ข้าเตือนเพื่อตัวท่านเอง ท่านอย่าสืบต่อจะดีกว่า ท่านต้องการค่าเช่า ข้าจะชดเชยให้ท่านเอง”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเย็นชา “ตอนนี้ใช่ปัญหาเรื่องค่าเช่าอีกหรือ เจ้าปล้นชิงหญิงสาวจากครอบครัวดีๆ ไปมากมายเพียงนั้น! มโนธรรมของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไร!”
ผู้ดูแลไช่ไม่กล้าพูดแล้ว
เฉียวเวยถามเสียงนิ่งเรียบ “ร้านสุราอยู่ที่ใด”
ผู้ดูแลไช่ฝืนใจตอบ “อยู่…อยู่ในตัวเมือง หอหมิงเย่ว์”
หอหมิงเย่ว์ นามอันสง่างามเช่นนี้กลับกลายเป็นสถานที่สูบกลืนวิญญาณที่บังคับหญิงสาวดีๆ ให้เป็นคณิกา
เฉียวเวยลุกขึ้นยืน “เตรียมรถ ไปหอหมิงเย่ว์!”
…
ณ เรือนทิศเหนือ จีซวงกำลังเอนกายฟังละครอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย ในฐานะบุตรสาวในอุทรเพียงคนเดียวของเหล่าฮูหยิน น้องสาวร่วมอุทรเพียงคนเดียวของจีซั่งชิง ชีวิตในจวนของนางสุขสำราญอย่างที่สุด
จวนของนางหรูหรายิ่งนัก ถึงขนาดเลี้ยงนางงิ้วผู้ชำนาญการร้องรำไว้กลุ่มหนึ่ง ยามนางมีเวลาว่างก็จะให้คนเรียกมาร้องต่อหน้าสักสองสามเพลง เพลิดเพลินอย่างยิ่ง
ฟังไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นสาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลนลาน จากนั้นกระซิบข้างหูจีซวงสองสามคำ
สีหน้าของจีซวงเปลี่ยนไปในทันใด “ข่าวนี้จริงหรือ”
สาวใช้พยักหน้า “จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ”
จีซวงขว้างถ้วยบนโต๊ะจนแตกกระจาย แล้วลูบหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อย “เตรียมรถ”
สาวใช้ถามอย่างตกใจ “ดึกป่านนี้ ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”
จีซวงตอบเสียงเย็นชา “ไปดูซิว่าผู้ใดขวัญกล้าปานนี้ กล้ามาทำลายหอหมิงเย่ว์ของข้า!”