หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 20 กระต่ายป่าเนื้อนุ่ม
ตอนที่ 20 กระต่ายป่าเนื้อนุ่ม
หลังจากมองส่งบุรุษกับเด็กหนุ่มจากไป เฉียวเวยก็จับคนรถที่ถูกสือชีถีบปลิวผู้นั้นมัดไว้ แล้วให้คนรถของตนไปแจ้งที่ว่าการอำเภอ
คนรถผู้นั้นละอายใจยิ่งนักที่ตนไม่อาจหาญกล้าทำเรื่องที่ถูกต้อง จึงไม่พูดพร่ำเดินออกไปทันที
เขาไปที่ว่าการอำเภอละแวกใกล้เคียง หรือก็คือที่ๆ ลุงหลัวรับจ้างทำงานระยะยาวอยู่นั่นเอง
นายอำเภอผู้นี้ดำรงตำแหน่งมาสิบกว่าปีแล้ว แม้มิกล้าพูดว่ามีคุณงามความชอบมากมายยิ่งใหญ่เท่าใด แต่อย่างน้อยก็เป็นคนมีคุณธรรมจึงส่งมือปราบเดินทางมาจับกุมคนร้ายอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“เขาคนเดียวหรือ” มือปราบจับตัวคนรถ
เฉียวเวยชี้ชายฉกรรจ์สามคนที่เพิ่งจะได้ความรู้สึกกลับคืนมาทางด้านนั้น “พวกเขาด้วย”
ทั้งสามคนตกตะลึง เหตุใดจับพวกเขาด้วย ไม่ได้ตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยพวกเขาไปหรือ
บุรุษร่างใหญ่ที่เป็นหัวหน้าเอ่ยว่า “เฮ้ย จอมยุทธ์หญิง ตอนแรกพวกเราไม่ได้ตกลงกันเช่นนี้นี่!”
ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายเย็นเยียบ “ตอนแรกพวกเจ้าไม่ได้ลักพาตัวลูกข้า”
บุรุษร่างใหญ่สีหน้าเหมือนจะร่ำไห้ “ไม่ใช่นะ คนที่ลักตัวลูกเจ้าคือเขา! ไม่ใช่พวกเราสักหน่อย! พวกข้ากับเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเฉยเมย “คำพูดพวกนี้ เก็บไว้บอกกับท่านนายอำเภอเถอะ”
ไม่ได้นะ ท่านนายอำเภอผู้นี้เป็นขุนนางสะอาด หากตกอยู่ในมือเขา ก้นของตนต้องลายพร้อยแน่!
เขาเกือบจะคุกเข่าให้เฉียวเวยแล้ว “จอมยุทธ์หญิง! จอมยุทธ์หญิง! พวกเรายังต้องช่วยท่านส่งสารอยู่นะ!”
เฉียวเวยเอ่ยเน้นทีละคำ “ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว มีสารอันใด เดี๋ยวข้าส่งเอง”
ทั้งสามคนวิงวอนสุดชีวิต
“จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย! จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย!”
“จอมยุทธ์หญิง พวกเราไม่รู้จักเขาจริงๆ นะ!”
“พวกเราแค่จ้างรถของเขา! รถของเขาราคาถูก…พวกเราเพิ่งจะพบหน้าเขาเป็นครั้งแรก…”
อันธพาลทั้งสามคนร่ำไห้โหยหวน คนรถผู้นั้นไม่ปริปากสักคำ เยือกเย็นอย่างยิ่งจนคนมองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเขาถูกสือชีถีบจนซี่โครงหักสองซี่
คนผู้นี้อาจไม่ใช่คนขับรถม้า ส่วนแท้จริงเป็นผู้ใด ยามนี้ไม่อาจสรุปได้ บางทีอาจเป็นพวกค้ามนุษย์ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงจับเด็กเล่า
อันธพาลทั้งสามชั่วช้าก็ชั่วช้าอยู่ แต่สุดท้ายก็เพียงคิดข่มขู่นางให้ยอมแพ้ เฉียวเวยมั่นใจว่าพวกเขากับคนผู้นี้มิใช่พวกเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ที่ลากคนรถมา ถ้าอย่างนั้นก็ ‘ลำบาก’ พวกเขาอยู่ในที่ว่าการอำเภอสักสองสามวันแล้วกัน
คนกลุ่มนั้นถูกมือปราบของที่ว่าการอำเภอพาตัวไป
ระหว่างทางกลับ ป้าหลัวพร่ำตำหนิตนที่ไม่ได้ปกป้องเด็กๆ ให้ดี เฉียวเวยเอ่ยปลอบนาง “คนผู้นั้นมีวรยุทธ์ ข้ายังแย่งลูกคืนจากเขาไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงท่านแล้ว ท่านอย่าตำหนิตนเองอีกเลย นี่มิใช่ความผิดของท่าน”
ป้าหลัวเห็นเสี่ยวเวยไม่โทษนาง ในใจก็รู้สึกดีขึ้นบ้างประมาณหนึ่ง แต่นางก็ยังคงนึกหวาดผวาอย่างยิ่ง “หากรู้ว่าอันตรายเช่นนี้ ข้าคงไม่ส่งเสริมเจ้าให้ไปค้าขายหรอก”
เฉียวเวยยิ้มละไม “หากไม่อยากถูกชิงชังก็ต้องไม่หาเงิน แต่ข้าอยากหาเงิน ดังนั้นจะถูกชังก็ปกติ คนเหล่านี้คิดจะรังแกสตรีตัวคนเดียวเช่นข้า คิดจะขู่ให้ข้ากลัวแล้วหนี แต่เมื่อขู่ไล่ข้าไม่ได้ พวกเขาย่อมไร้หนทางแล้ว”
“แต่…” ป้าหลัวยังไม่วางใจ
เฉียวเวยเผยรอยยิ้มที่ทำให้คนเชื่อมั่นออกมา “ท่านวางใจเถิด ร้านของข้าเป็นร้านเล็ก คนที่ล่วงเกินก็เป็นร้านขนาดเล็กเหมือนกัน พวกเขาเล่นอะไรใหญ่โตมิได้หรอก ข้ารับมือได้”
แต่คงจะพาลูกทั้งสองคนไปด้วยไม่ได้แล้ว
นางคนเดียวไม่ว่ารับมือกับผู้ใดก็มีหนทาง แต่หากผู้ใดทำเช่นวันนี้ ฉวยโอกาสที่นางไม่ทันตั้งตัวลงมือกับลูกของนาง ถ้าเช่นนั้นย่อมป้องกันไม่ได้แล้ว
แต่หากไม่พาลูกไปกับตัว จะฝากเด็กๆ ไว้ที่ใดเล่า
“แม่บุญธรรม หมู่บ้านของพวกเรามีสถานศึกษาหรือไม่” นางเอ่ยถาม
ในยุคปัจจุบัน เด็กอายุเท่านี้ล้วนเข้าโรงเรียนอนุบาล ในยุคโบราณเห็นชัดว่าไม่มีโรงเรียนอนุบาล แต่นางจำได้ว่ายุคโบราณมีสถานศึกษา
ป้าหลัวตอบว่า “ในหมู่บ้านไม่มี”
“หมู่บ้านข้างๆ เล่าเจ้าคะ” เฉียวเวยถามต่อ
ป้าหลัวส่ายหน้า “ไม่มีทั้งนั้น ในเขตร้อยลี้มีสถานศึกษาอยู่เพียงสองแห่งในตัวเมือง เจ้าคิดจะให้จิ่งอวิ๋นไปเรียนหนังสือหรือ”
เฉียวเวยลูบหัวเด็กน้อยที่หลับสนิท “เขายังเยาว์เพียงนี้ สถานศึกษาจะรับหรือ”
ป้าหลัวขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่กระจ่าง หมู่บ้านของพวกเรามีเพียงน้องชายของชุ่ยอวิ๋นที่ร่ำเรียนในสถานศึกษา วันพรุ่งนี้ไปบ้านเขาพอดี เจ้าก็ลองถามเขาดู”
“เจ้าค่ะ”
ระหว่างทางพบเรื่องไม่คาดฝันจึงกลับมาช้ากว่าสองวันที่ผ่านมาเล็กน้อย เมื่อขึ้นไปยังเรือนบนเขาก็บ่ายคล้อยแล้ว เด็กทั้งสองหิวจนไส้กิ่ว เฉียวเวยรีบเข้าครัวทำบะหมี่เนื้อมาหลายชาม
เด็กๆ ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ดูท่าเรื่องเมื่อครู่จะไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อทั้งสองคน เฉียวเวยแอบโล่งใจ
ป้าหลัวเก็บเสื้ออยู่ในลานบ้าน เฉียวเวยนำเหยื่อสดใหม่ขึ้นเขาไปอีกครั้ง
นางแหวกพุ่มไม้ออกก็พบกรงดักสองกรงของตน กรงหนึ่งมีไก่ป่าอยู่หนึ่งตัว อีกกรงหนึ่งมีเงินพวงน้อยแขวนอยู่ หนึ่งร้อยอีแปะพอดี
ดูเข้าใจจริงด้วย เจ้ายุงสีขาวหนึ่งตัวนั่นน่ะ
หนึ่งร้อยอีแปะคือราคาของกระต่ายป่า ดูท่าคนผู้นั้นคงซื้อกระต่ายไปตัวหนึ่ง
เฉียวเวยเก็บเหรียญทองแดงเข้าถุงเงิน จัดการกรงจนสะอาดแล้วเปลี่ยนเหยื่อล่อใหม่ใส่ไว้
…
จวนตระกูลจี
ในเรือนไป่เหมย จีเหล่าฮูหยินกำลังนั่งชมบุปผาอยู่ใต้หลังคา มือหยิบ ‘กระต่ายน้อย’ ชิ้นหนึ่งขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย
หญิงสาวยกมือขาวผ่องดั่งหยกรินชาถ้วยหนึ่งให้จีเหล่าฮูหยิน
จีเหล่าฮูหยินแย้มยิ้ม “ลำบากเจ้าแล้ว ทุกวันต้องไปซื้อของให้ยายเฒ่าคนนี้ไกลเพียงนั้น”
หญิงสาวยิ้มอย่างเขินอาย “เหล่าฮูหยินพูดอันใดกัน ได้กตัญญูต่อท่านเป็นบุญของซีเอ๋อร์”
จีเหล่าฮูหยินทานขนมเหนียวถั่วแดงชิ้นหนึ่งเสร็จก็หยิบขนมเผือกทอดเกล็ดหิมะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
หญิงสาวเห็นฮูหยินเฒ่ากินอย่างชอบอกชอบใจ แววตาก็ชะงักไปวูบหนึ่งก่อนจะหยัดร่างเล็กๆ นั่งตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ใต้เท้ายังไม่กลับมาหรือเจ้าคะ”
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่แล้ว เจ้าเด็กหน้าเหม็นคนนี้ไม่รู้เขาไปอยู่ที่ใด ไม่ได้กลับบ้านมาปีหนึ่งแล้ว!”
ถ้อยคำที่เตรียมจะเอ่ยต่อ มิต้องเอ่ยแล้ว
หญิงสาวร้อนใจเล็กน้อย ตนเองประจบฮูหยินเฒ่าอยู่ทุกวันเช่นนี้มิใช่เพื่อการแต่งงานระหว่างตนกับใต้เท้าหมิงซิวหรือ
ฮูหยินเฒ่าปิดปากไม่เอ่ยถึง เพราะยังคิดถึงพี่ใหญ่ที่ถูกขับออกจากตระกูลคนนั้นหรือ
แต่พี่ใหญ่ทำเรื่องผิดจารีตประเพณีเช่นนั้นลงไปย่อมไม่มีคุณสมบัติแต่งเข้าจวนตระกูลจีแล้วสิ
หรือว่า…เหล่าฮูหยินคิดจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับจวนเอินปั๋ว
ทันใดนั้นเหล่าฮูหยินก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่เจ้าวางใจเถิด หากหมิงซิวกลับมา ข้าจะให้เขาไปพบเจ้าแน่นอน”
นี่คือการยอมรับตนกลายๆ แล้ว หญิงสาวยินดีออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ “ขอบพระคุณเหล่าฮูหยิน!”
…
ลึกเข้าไปในป่าบนเขา ในกระท่อมฟางหลังน้อยแห่งหนึ่ง
สือชีกำลังนั่งยองอยู่บนพื้นตรงลานหน้าบ้าน เขากะพริบตามองกระต่ายป่าบนราวเหนือกองไฟ กระต่ายป่าตัวอ้วนเนื้อนุ่ม ใช้ไฟฟืนย่าง น้ำมันผุดพรายส่งเสียงดัง ชี่!
สือชีน้ำลายไหล
ชายหนุ่มพลิกกระต่ายป่าไปมาแล้วถามสือชีว่า “เอาเผ็ดหรือไม่”
สือชีพยักหน้า
ชายหนุ่มโรยผงเพริกเล็กน้อยแล้วพลิกด้านย่างอีกพักหนึ่ง จากนั้นโรยงากับต้นหอมซอยให้ทั่ว แล้วฉีกขากระต่ายข้างหนึ่งส่งให้สือชี “กินได้แล้ว”
สือชีถือขากระต่ายขึ้นกัดคำโต