หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 205-1 นายท่านจีล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริง
ตอนที่ 205-1 นายท่านจีล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริง
จีเหล่าฮูหยินตกใจจนพูดไม่ออก หญิงท้องที่คลอดยากไม่ได้คลอดยาก แต่กลับกลายเป็นบุรุษผู้หนึ่ง สามีของนางก็ไม่ใช่สามีแต่เป็นคนรุ่นหลังใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่ง หญิงชราที่อายุมากคนนั้นกลับยิ่งน่าเหลือเชื่อ นางกลายเป็นแม่นางโฉมสะคราญปานบุปผา ผู้เฒ่ายังเป็นผู้เฒ่า แต่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นอีกแบบ เด็กหนุ่มอายุน้อยก็เหมือนกัน
หากจนถึงตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าตั้งแต่ต้นจนจบตนเองถูกหลอกก็ใช้ไม่ได้แล้ว
“จีหว่าน! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
จีเหล่าฮูหยินตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
จีหว่านถูกคำรามใส่จนหัวใจดวงน้อยสั่นกลัว อย่าเห็นว่ายามปกตินางฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แต่หนนี้ อย่างไรก็มีหวั่นๆ อยู่บ้าง นางกระแอมหนหนึ่ง แต่ไม่กล้ามองดวงตาของจีเหล่าฮูหยิน “ก็แค่…มีเรื่องนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร” น้ำเสียงของจีเหล่าฮูหยินเข้มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
จีหว่านไหนเลยจะอธิบายได้ นางก็เพียงให้ความร่วมมือกับเฉียวเวยหลอกท่านย่ามาเท่านั้น ส่วนหลังจากหลอกมาแล้วจะทำอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่นางวางแผนไว้เสียหน่อย!
เฉียวเวยตอบว่า “ท่านย่า ข้าจะอธิบายเองก็แล้วกัน”
จีเหล่าฮูหยินสะกดความโมโหลงไปเล็กน้อย สายตายังคงเคร่งขรึมเย็นยะเยือกนิดๆ “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเป็นเด็กรู้ความคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าจะทำเรื่องเหลวไหล”
เฉียวเวยก้าวเข้ามาประคองแขนของจีเหล่าฮูหยินแล้วบอกเสียงเบา “ท่านย่า หนนี้พี่ใหญ่ไม่ได้ทำเรื่องเหลวไหล ข้าเป็นต้นคิดเอง ขอท่านย่าอย่าได้ถือโทษพี่ใหญ่”
“ข้าจะไปชงชา” เฉียวเจิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปห้องชา
นายท่านหกตบต้นขา “ข้าก็ไปด้วย”
ภายในห้องเหลือเพียงเฉียวเวยกับบ่าว จีหว่าน จีเหล่าฮูหยินกับบ่าวของนาง และพยานทั้งหลาย…กับลิงน้อยตัวหนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างามทุกกระเบียดนิ้ว
จีเหล่าฮูหยินมองลิงน้อยแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงรู้สึกว่าท่วงท่าของลิงน้อยคุ้นตาอยู่บ้าง เหมือนหวานหว่านของบ้านนาง
มือของจีหว่านลูบหน้าท้อง หลังจากตนเองตั้งครรภ์ นางก็ชอบลูบหน้าท้องยิ่งนัก
จูเอ๋อร์เห็นนางลูบท้องก็ลูบท้องของตนเองบ้าง
จีหว่านถลึงตา เจ้าลิงน่าเกลียดเลียนแบบนางอีกแล้ว!
จีหว่านจับมือของจูเอ๋อร์ที่วางบนท้องออก
จูเอ๋อร์ก็ดึงมือของจีหว่านที่วางบนท้องออกบ้าง
จีหว่านถลึงตาใส่จูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์ก็พลันถลึงตาใส่จีหว่านกลับ ตาคู่โตจ้องตาคู่เล็ก
จีหว่าน ‘เจ้าลิงน้อยอัปลักษณ์!’
จูเอ๋อร์ ‘หวานหว่านมนุษย์ตัวโตอัปลักษณ์’
เฉียวเวยพาจีเหล่าฮูหยินมานั่งตรงตำแหน่งประธานแล้วให้ปี้เอ๋อร์กับหรงมามาพยุงจีหว่านไปพักผ่อน
หวานหว่านไม่ไป เฉียวเวยจึงบอกว่า “ท่านตั้งครรภ์อยู่ อย่าทรมานตนเองมากไปนักเลย”
จีเหล่าฮูหยินจ้องท้องของจีหว่าน ตอนที่ทราบว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเพียงการหลอกลวง นางคิดว่าครรภ์ของจีหว่านก็เป็นเรื่องโกหกด้วย อย่าให้พูดว่านางผิดหวังมากเพียงใด นางหันไปมองเฉียวเวยแล้วถามอย่างเคร่งเครียด “มีแล้วจริงหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านย่า หนึ่งเดือนกว่าแล้ว เพราะยังอ่อนเดือนอยู่จึงยังไม่ประกาศ”
จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจ แล้วเอ่ยกับจีหว่านว่า “เห็นแก่เด็ก จะละเว้นเจ้าสักครั้ง รอเจ้าคลอดแล้ว ดูซิว่าข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าอย่างไร!”
จีหว่านไม่กลัวหรอก นางเดินไปยังห้องเล็กด้านหลังเรือนด้วยกันกับปี้เอ๋อร์
ห้องเงียบสงบ
สายตาของจีเหล่าฮูหยินจับบนร่างพยานที่เห็นชัดว่าฐานะมิเท่าไรเหล่านั้น ไม่เข้าใจว่าเฉียวเวยติดต่อกับคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร
เฉียวเวยรินชาร้อนถ้วยหนึ่งให้จีเหล่าฮูหยิน “ท่านย่า ขออภัยที่ใช้วิธีการนี้หลอกท่านมา แต่หากไม่ทำเช่นนี้ ข้ากลัวว่าจะไม่มีหนทางพาคนเข้าไปในตระกูลจีได้”
“คนกลุ่มนี้” คิ้วของจีเหล่าฮูหยินขมวดมุ่น “เจ้าจะพาพวกเขามาเข้าตระกูลจีหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านย่า พวกเขาล้วนเป็นพยานที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกเขามีเรื่องสำคัญมากต้องบอกกับท่านย่า”
จีเหล่าฮูหยินมองทุกคนอย่างสงสัย
ทุกคนถูกมองจนไม่สบายตัวเล็กน้อยจึงพากันจิบชาที่อยู่ในมือ
เฉียวเวยมองคังหมิ่น “ท่านย่าทราบหรือไม่ว่าคุณชายคังคือผู้ใด”
จีเหล่าฮูหยินถาม “ผู้ใด”
เฉียวเวยตอบว่า “คุณชายคังคือสหายรักของคุณชายซุน ท่านน่าจะจดจำคุณชายซุนได้ ตระกูลขุนนางกูซูที่มีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลสวิน แต่สุดท้ายจบด้วยความไม่น่ายินดี”
จีเหล่าฮูหยินทำท่าครุ่นคิด “ตระกูลคู่หมั้นของสวินซื่อ ตระกูลซุนหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “ใช่แล้ว”
“เจ้าบอกว่าเขามีบางสิ่งจะบอกข้า เรื่องอะไรเล่า” จีเหล่าฮูหยินเค้นสมองคิดก็คิดไม่ออกว่าสหายคนหนึ่งของตระกูลซุนที่ตัดขาดความสัมพันธ์กับสวินหลันอย่างหมดจดแล้วจะมีสิ่งใดต้องการพูดกับตนเอง
ของบางสิ่งหนายิ่งนัก ตัวอย่างเช่นกำแพงใต้[1] แต่คนมากมายกลับเดินชนมัน ของบางสิ่งบางยิ่งนัก ตัวอย่างเช่นกระดาษบุหน้าต่าง แต่น้อยคนนักที่ยินดีจะทิ่มมันให้เป็นรู
เฉียวเวยคงจะเป็นคนจำนวนน้อยที่ไม่กลัวการทิ่มกระดาษบุหน้าต่างให้ทะลุ นางบอกคังหมิ่น “คุณชายคัง ไม่สู้ท่านบอกท่านย่าของข้าว่าซุนสวินกับสวินหลันเมื่อตอนนั้นมีสถานะเป็นอะไรกัน”
จีเหล่าฮูหยินจับสัมผัสอะไรบางอย่างได้เลือนรางแล้ว แววตาตกตะลึงอย่างยิ่ง
คังหมิ่นก้าวเข้ามาประสานหมัดคำนับจีเหล่าฮูหยินหนึ่งหน แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายซุนกับสวินซื่อมีใจให้กัน แต่เดิมเป็นงานมงคลที่ดีงามอย่างยิ่ง แต่จนปัญญาที่ระหว่างกลางมีคนใช้เล่ห์กล ทำร้ายคุณชายซุนจนตาย แล้วยังทำให้พี่น้องหลายคนของข้าตายไปด้วย ข้าไม่ขอร้องให้เหล่าฮูหยินทวงความเป็นธรรมให้พวกเรา แต่ไม่ต้องการให้เหล่าฮูหยินถูกคนชั่วปิดบังต่อไป”
จีเหล่าฮูหยินไม่เคยทราบเรื่องที่สวินซื่อกับคุณชายซุนมีใจให้กัน ยิ่งไม่ทราบว่างานมงคลหนี้ถูกคนเข้ามาทำให้ล่ม จีเหล่าฮูหยินมองคังหมิ่นอย่างคลางแคลง คังหมิ่นล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่ซุนสวินเขียนให้สวินซื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาตาย แล้วไหว้วานข้าให้มอบแก่สวินซื่อ แต่ข้ากลับลืม เมื่อนึกขึ้นได้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว”
เฉียวเวยรับจดหมายมาเปิดแล้วส่งให้จีเหล่าฮูหยิน
แม้คุณชายซุนจะเป็นคุณชายตระกูลขุนนาง ทว่าตั้งแต่เล็กมิชอบหมึกพู่กัน แต่ชมชอบรำดาบแกว่งหอก ทักษะการเขียนอักษรอยู่ในระดับที่ยังพอทน แต่ความหมายชัดเจนแจ่มแจ้ง เนื้อความคร่าวๆ ก็คือห่างจากวันแต่งงานเพียงหนึ่งเดือนแล้ว เขาจะรออยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง จะลอบพบคนงามยามราตรีเช่นก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกต่อไป หวังว่าสวินหลันจะไม่ถือสา
เหล่าฮูหยินอ่านจบ สีหน้าก็เคร่งขรึม
หากจดหมายฉบับนี้เป็นของจริง ถ้าเช่นนั้นก่อนงานแต่ง คุณชายซุนก็ลอบเข้าจวนมาหายามราตรีจริงๆ หรือ สวินซื่อก็มิห้ามปรามด้วย ทั้งสองคนทำเรื่องขัดต่อธรรมเนียมประเพณีเช่นนี้ได้อย่างไร!
จีเหล่าฮูหยินสะกดความโกรธที่พลุ่งพล่านในหัวใจ “เจ้าบอกว่ามีคนใช้เล่ห์กลขัดขวาง หมายความว่าอย่างไร”
คังหมิ่นตอบว่า “โรคฝีดาษในตอนนั้นที่มาน่าสงสัย คุณชายซุนกับคนที่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสวินซื่อทั้งหลายต่างทยอยกันติดโรคฝีดาษ ข้าเองก็มีตุ่มขึ้นเช่นกัน เพียงแต่มิใช่ฝีดาษ อีกฝ่ายคงคิดว่าข้าติดโรคแล้วจึงไม่ตั้งใจลงมืออีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงหนีพ้นภัยมาได้
“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินถาม
คังหมิ่นถอนหายใจ “เหล่าฮูหยิน ข้ามีเหตุผลอันใดต้องหลอกลวงท่าน พี่น้องของข้าล้วนตายหมดแล้ว ข้าเองก็รอดชีวิตมาอย่างทุลักทุเล ต่อให้ท่านเชื่อข้าก็มิอาจพาพี่น้องทั้งหลายของข้าคืนมาได้ หากท่านไม่เชื่อ ก็ลองนึกดูว่าตอนนั้นสวินซื่อกล่าวถึงคุณชายซุนว่าอย่างไร”
จีเหล่าฮูหยินเงียบงัน
แม้เฉียวเวยไม่ทราบว่าแม่เลี้ยงรายงานจีเหล่าฮูหยินว่าอย่างไร แต่คิดว่าคงไม่ได้บอกเรื่องที่ตนรู้จักกับคุณชายซุนกระมัง มิเช่นนั้นคนคร่ำครึอย่างเหล่าฮูหยินไม่แน่อาจจะให้นางไว้ทุกข์ให้คุณชายซุนสามปี
“แล้วนางเป็นผู้ใด” จีเหล่าฮูหยินหันไปมองเย่ว์จิ่น
เย่ว์จิ่นลุกขึ้นคำนับจีเหล่าฮูหยินแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยนามว่าเย่ว์จิ่น คารวะเหล่าฮูหยินเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินมุ่นคิ้ว “เจ้าก็รู้จักคุณชายซุนด้วยหรือ”
เย่ว์จิ่นตอบอย่างนอบน้อม “บ่าวมิรู้จักคุณชายซุน สมัยก่อนบ่าวเป็นหญิงสาวในเรือนหลีชุน เคยมีอดีตร่วมกับหมู่ตาน”
แม่นางจากหอคณิกาหรือ คิ้วของจีเหล่าฮูหยินขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเดิม
เฉียวเวยอธิบายว่า “หมู่ตานก็คือนางคณิกาอันดับหนึ่งที่คุณชายหยวนหนีตามไปผู้นั้น”
จีเหล่าฮูหยินตกตะลึง “นางหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า หันไปมองเย่ว์จิ่น ส่งสัญญาณให้เย่ว์จิ่นเล่าต่อ
อย่างไรเสียเย่ว์จิ่นก็เคยเห็นโลกในเมืองหลวงมาก่อน ทั้งยังได้รับการสั่งสอนให้รู้หนังสือ เพียบพร้อมเรื่องมารยาท นางผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้ามาเรือนหลีชุนก่อนหมู่ตาน ยามนั้นข้าคืออันดับหนึ่งแห่งเรือนหลีชุน นับตั้งแต่หมู่ตานเข้ามา ข้าก็ได้ครองเพียงอันดับสอง ด้วยสาเหตุนี้ ข้าจึงไม่พอใจหมู่ตานยิ่งนัก แล้วจึงเฝ้าสังเกตหมู่ตานเป็นพิเศษ ความจริงแล้วหมู่ตานกับคุณชายหยวนรู้จักกันมานานมากแล้ว คุณชายหยวนชื่นชมรูปโฉมและความสามารถของหมู่ตาน คิดจะไถ่ตัวให้หมู่ตาน เลี้ยงหมู่ตานไว้ข้างนอกเป็นเมียเก็บผู้งามหยดย้อยคนหนึ่ง แต่หมู่ตานไม่ยินยอม พวกเราหญิงสาวในหอคณิกามิใช่ว่าทุกคนจะขายเนื้อหนังมังสา หมู่ตานขายศิลป์มิขายเรือนร่าง คุณชายคหบดีที่ต้องการสู่ขอนางไม่มีหนึ่งร้อยก็มีแปดสิบ คุณชายหยวนนับว่าเป็นเพียงระดับกลางค่อนไปทางบนในหมู่คนเหล่านั้นเท่านั้น หมู่ตานดูแคลนคุณชายหยวนก็เป็นเรื่องมีเหตุผล
แต่อยู่มาวันหนึ่ง หมู่ตานก็ต้อนรับคุณชายหยวนเข้ามาในห้องนอนของตน ห้องนอนมิใช่สถานที่สำหรับรับแขก แต่เป็นห้องของตัวนางคณิกาเอง การที่หมู่ตานทำเช่นนี้ พวกเราล้วนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่พวกเราคิดว่าหมู่ตานเพียงจะใช้เวลากับคุณชายหยวนไม่นานเท่านั้น เหมือนแขกที่ต้อนรับก่อนหน้าเหล่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่าวันต่อมาแม่เล้าส่งคนไปเรียกหมู่ตานกลับพบว่าบนฟูกนอนของหมู่ตานมีเลือดพรหมจรรย์อยู่ หมู่ตานมอบกายให้คุณชายหยวนไปแล้ว
ผ่านไปอีกสองสามวัน พวกเราก็ได้ยินว่าคุณชายหยวนกับคุณหนูตระกูลใหญ่คนหนึ่งหมั้นหมายกัน พวกเราล้วนถามหมู่ตานว่าเจ้าหึงจึงทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ หมู่ตานก็ยิ้มบอกว่าใช่”
สีหน้าของจีเหล่าฮูหยินย่ำแย่ยิ่งนัก “คุณหนูตระกูลใหญ่คนนั้น…ก็คือสวินซื่อหรือ”
เย่ว์จิ่นส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้ามิทราบ ข้าทราบเพียงว่า ผ่านไปไม่นาน คุณชายหยวนกับหมู่ตานก็หนีตามกันไป บอกว่าไม่อยากแต่งงานกับคุณหนูคนนั้น แต่ตระกูลใหญ่ตระกูลนั้นร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ ตระกูลเขาล่วงเกินไม่ได้ หากยังอยู่ในเมืองหลวงย่อมต้องแต่งงานกับนาง มิสู้บินหนีไปให้ไกลแสนไกล”
ตระกูลใหญ่ตระกูลนั้นย่อมเป็นตระกูลจีอย่างมิต้องสงสัยแล้ว
แม้จะทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินเย่ว์จิ่นเล่ารายละเอียดของเรื่องราว จีเหล่าฮูหยินก็ยังโมโหไม่เบา
เย่ว์จิ่นเล่าต่อ “กล่าวตามตรง หมู่ตานกับคุณชายหยวนไม่เหมาะสมกันเลย นางจะมอบกายให้คุณชายหยวนเพียงเพราะอิจฉาเล็กน้อยเท่านั้นหรือ พวกเราล้วนไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก พี่น้องบางคนบอกว่า หมู่ตานเพียงเล่นสนุกกับคุณชายหยวน เมื่อเล่นจนเบื่อก็คงถีบหัวส่งเขา แต่ผ่านไปสองเดือนแล้ว หมู่ตานก็ยังสนิทชิดเชื้อกับคุณชายหยวนอยู่ พวกเราก็คิดกันอีกว่าหมู่ตานคงมีใจให้คุณชายหยวนจริง จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าเดินผ่านห้องของหมู่ตาน ได้ยินหมู่ตานคุยกับสาวใช้ สาวใช้บอกว่าน้ำแกงห้ามครรภ์หากดื่มมากเกินไปจะทำลายร่างกาย ในเมื่อท่านชอบพอคุณชายหยวนเช่นนี้ มิสู้ให้กำเนิดลูกสักคนให้เขาไปเลยเถิด มีลูกอยู่ข้างกาย วันหน้าไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องขายรอยยิ้มในหอคณิกาอีกแล้ว หมู่ตานกลับพูดอย่างดูแคลน บอกว่าให้ข้าคลอดลูกของเจ้าโง่คนนั้นออกมา รอชาติหน้าเถอะ!”
เฉียวเวยชะงัก เอ่ยขึ้นว่า “พูดเช่นนี้ หมู่ตานไม่ได้ชอบคุณชายหยวนน่ะสิ”
เย่ว์จิ่นพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ยามนั้นข้าตกตะลึงยิ่งนัก คุณชายหยวนไม่ใช่คนที่หมู่ตานหาเรื่องด้วยไม่ได้เสียหน่อย หมู่ตานไยต้องกล้ำกลืนมอบกายให้เขาเช่นนี้ ข้าคิดไม่ตก ผ่านไปอีกสองสามวัน ห้องของหมู่ตานก็มีแขกคนหนึ่งมาเยือน หมู่ตานกับแขกคนนั้นทะเลาะกัน หลังจากแขกจากไปแล้ว หมู่ตานก็ร่ำไห้อย่างหนัก ตอนนั้นเองข้าพลันตระหนักว่าผู้ที่หมู่ตานมีใจให้น่าจะเป็นบุรุษผู้นั้นจึงจะถูก แต่ผู้ใดจะคิดว่าวันต่อมา หมู่ตานก็หนีไปกับคุณชายหยวน”
“ผู้ใดเป็นคนเสนอให้หนีตามกันไป” เฉียวเวยถาม
เย่ว์จิ่นตอบว่า “หมู่ตาน”
นี่แปลกเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ชมชอบคุณชายหยวนแท้ๆ แต่กลับล่อลวงคุณชายหยวนสารพัด หากบอกว่ามีคนในใจตัวจริงอยู่แล้ว จึงเอาคุณชายหยวนมาประชดคนในใจ นั่นก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งความบริสุทธิ์ของตนเองไปด้วยนี่
มิว่ามองอย่างไรก็เหมือนเป็นแผนการที่ตระเตรียมไว้จัดการคุณชายหยวน
แต่เหตุใดต้องเล่นงานคุณชายหยวนเล่า คุณชายหยวนไปหาเรื่องผู้ใดไว้หรือ
หากกล่าวว่าต้องการทำลายอนาคตของคุณชายหยวน แต่คุณชายหยวนก็ไม่ได้เป็นขุนนางเสียหน่อย เขาเข้าหอคณิกาหรือไม่ มีสิ่งใดสำคัญกัน หากเล่าลือออกไปผู้คนก็เพียงหัวเราะความบ้าบอของเขาสักหนกับทำให้งานแต่งงานไม่ราบรื่นอยู่บ้างก็เท่านั้น
แต่ก็ไม่ราบรื่นไม่ใช่หรือ
ตระกูลจีทราบข่าว สิ่งแรกที่ทำก็คือถอนหมั้นกับตระกูลหยวน
ในใจเฉียวเวยเข้าใจดี แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องแสดงสีหน้าใดออกมา ขอเพียงเหล่าฮูหยินไม่ใช่คนโง่ก็สมควรเข้าใจดีมากกว่านางหลายเท่า
สีหน้าของจีเหล่าฮูหยินดำทะมึนจนดูไม่ได้ จูเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างนาง รู้สึกว่านางแย่งชิงตำแหน่งคนงามหน้าดำของตนเองไป
[1]กำแพงใต้ หนึ่งในรูปแบบสถาปัตยกรรมของจีน เป็นกำแพงเดี่ยวขนาดใหญ่แกะสลักลายงดงามวางขวางด้านในของประตูใหญ่ คนที่จะเดินเข้าออกต้องเดินอ้อมซ้ายขวาของกำแพง มีประโยชน์ในการบังลมแรงและพลังงานไม่ดีจากด้านนอก และช่วยบดบังทัศนียภาพไม่งามตาด้านนอกจากสายตาของคนในบ้าน