หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 205-2 นายท่านจีล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริง
ตอนที่ 205-2 นายท่านจีล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริง
จีเหล่าฮูหยินสูดหายใจลึกๆ หลายเฮือก แล้วหันไปมองปู่หลานที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง “พวกเจ้าคงเป็นคนของตระกูลโจวสินะ”
นางมิใช่คนโง่จริงๆ ตั้งแต่คังหมิ่นเปิดปาก นางก็เดาออกแล้วว่าทุกสิ่งมุ่งมาที่สวินหลัน ทั้งคนสนิทของคุณชายซุน คนคุ้นเคยของคุณชายหยวน ดูท่าฝั่งคุณชายโจวก็มากน้อยก็คงมีส่วนร่วมด้วย
ตอนนี้บ่าวใบ้มิได้ทำงานให้ตระกูลโจวอีกแล้ว แต่ภาพวันนั้นเมื่อหกปีก่อน จวบจนวันนี้เขาก็ยังยากจะลืมเลือน
เขาวาดมือวาดไม้ หลานชายของเขาบอกว่า “ท่านปู่ของข้าบอกว่าตระกูลโจวมีผีอาละวาด คุณชายโจวถูกผีร้ายหลอกจนตาย”
คนโบราณงมงายยิ่งนัก แม้แต่จีเหล่าฮูหยินก็ยังกลัวเกรงเทพผีอย่างยิ่ง จีเหล่าฮูหยินทำหน้าจริงจัง “มีผีหลอกบ่อยหรือ ผีอะไร”
บ่าวใบ้วาดมือ หลานชายของเขาก็อธิบายว่า “ผีอาละวาดคืนวันนั้นวันแต่งงานของคุณชายโจว เป็นผีร้ายตัวหนึ่ง ตัวทั้งสูงทั้งใหญ่ ร่างกายสูงแปดฉื่อ”
แปดฉื่อฟังดูเกินจริงไปบ้าง เหยาหมิง[1]ยังไม่สูงเท่านี้เลย แต่ก็ยังไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะเหยียบไม้ไผ่ต่อขามา เฉียวเวยคิดในใจ
จีเหล่าฮูหยินถามว่า “ตอนนั้นเหตุใดปู่ของเจ้าไม่พูด”
เด็กหนุ่มแค่นเสียงดังเหอะ “ท่านปู่ของข้าก็ตกใจกลัวเหมือนกัน ล้มป่วยไปตั้งหลายวัน พอกลับมาตระกูลโจวก็พบว่าบ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้ถูกลากไปฝังลงสุสานหมดแล้ว ท่านปู่ของข้าไหนเลยจะยังกล้าพูดอีก มีแต่จะซุกหางเข้าหว่างขาก้มหน้าทำงาน ภาวนาอย่าให้ผู้อื่นนึกถึง”
หากผีร้ายปรากฏตัวขึ้นในห้องหอ ถ้าเช่นนั้นสวินซื่อก็สมควรเห็นด้วยจึงจะถูก เหตุใดนางจึงไม่ถูกหลอกด้วย หากบอกว่านางขวัญกล้าก็พอจะมีเหตุผลแก้ตัวได้ แต่นางปิดบังเรื่องที่เกิดในห้องหอ เรื่องนี้แก้ตัวไม่ขึ้นอยู่บ้างแล้ว
นางยอมให้คนตระกูลโจวคิดว่าคุณชายโจวถูกดวงนางข่มจนตาย แต่ไม่ยอมบอกความจริง เพราะเหตุใดเล่า
เพราะหากพูดความจริงออกมา ตระกูลโจวย่อมไม่ทำอันใดกับนาง นับจากนั้นเป็นต้นไปนางก็จะเป็นภรรยาหม้ายของคุณชายโจว
ตระกูลจีจะรับแม่ม่ายสาวคนหนึ่งจากตระกูลโจวกลับไปจวนอีกหรือ
แต่หากตระกูลโจวจะสังหารนาง ตระกูลจีต้องไม่นิ่งดูดายเป็นแน่ เมื่อทะเลาะกันจนถึงขั้นไม่ตายไม่เลิกราแล้ว ผู้ใดยังจะวางใจให้นางอยู่ตระกูลโจวต่อ ถ้าเช่นนั้นการรับนางกลับตระกูลจีย่อมเป็นเรื่องแน่นอน
จีเหล่าฮูหยินกุมศีรษะอันหนักอึ้ง นางรับข้อมูลมามากเกินไป ในช่วงเวลาสั้นๆ ยากจะย่อยข้อมูลทัน
เฉียวเวยลูบแผ่นหลังของนาง พอนางรู้สึกดีขึ้นบ้างจึงถามเฉียวเวยว่า “เจ้าตามหาคนเหล่านี้พบได้อย่างไร”
เฉียวเวยเข้าใจว่าจีเหล่าฮูหยินย่อมคลางแคลง จึงไม่คิดปิดบัง ตอบว่า “คนที่ปลอมตัวเป็นหญิงตั้งครรภ์เมื่อครู่เป็นสหายในยุทธภพของข้า หมิงซิวเองก็รู้จักเขา คนเหล่านี้ข้าไหว้วานให้เขาหามา”
ได้ยินว่าหลานชายของตนก็รู้จักอีกฝ่าย จีเหล่าฮูหยินก็พยักหน้าช้าๆ ไม่ถามเฉียวเวยอีกว่าเริ่มสงสัยสวินหลันตั้งแต่เมื่อใดแต่บอกว่า “เจ้าปล่อยให้ข้านั่งสงบๆ สักครู่”
หรงมามาเดินเข้ามา พยุงจีเหล่าฮูหยินกลับไปยังห้องด้านข้าง
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดอันแปลกประหลาด
จูเอ๋อร์จามออกมาหนึ่งหนก็กระโดดลงไปที่พื้น มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างหนึ่งประคองครรภ์ใหญ่โตอายุเก้าเดือน (ที่มันคิดไปเอง) เดินแบะเท้า ขาบิดๆ เข้าไปในห้อง
ทุกคนมองเจ้าลิงน้อยที่แสดงเป็นคนอุ้มท้องตัวนั้น ดวงตาถลนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า หากไม่ใช่ว่าเจ้าลิงตัวนี้ตัวเล็กเกินไป พวกเขาก็คงจะคิดว่ามันอุ้มท้องจริงๆ แล้ว!
หอหลิงจือใหญ่มากพอ เฉียวเวยจึงจัดห้องให้พวกคังหมิ่นพัก ระหว่างนั้นชุนจือจากเรือนถงแวะมารอบหนึ่งเพื่อถามไถ่อาการของจีหว่าน
จีหว่านนอนหลับสนิทฟ้าผ่าก็ปลุกไม่ตื่นอยู่ในห้องด้านข้างแล้ว
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ปวดลำไส้น่ะ กินยาเสร็จก็หลับไปแล้ว แต่ต้องคอยดูอาการหนึ่งคืน หากแน่ใจว่าจะไม่กำเริบอีกจึงจะกลับได้ คืนนี้พวกเราล้วนจะค้างที่นี่ เจ้าไปรายงานนายท่าน บอกให้เขาไม่ต้องกังวลใจ”
“เจ้าค่ะ” ชุนจือถอยออกไป
นายท่านหกมองชุนจือที่หมุนตัวออกไปตาเคลิ้ม เขากำลังจะกระโจนใส่ชุนจืออยู่แล้วแต่เฉียวเวยขวางไว้ก่อน
นายท่านหกจิ๊ปากอย่างชิงชัง วันคืนที่มิอาจฉุดหญิงชาวบ้านได้ช่างน่าเบื่อหน่ายและจนปัญญายิ่งนัก
เฉียวเวยมองนายท่านหกแวบหนึ่ง นายท่านหกยังสวมอาภรณ์ของหญิงชาวบ้านอยู่ แต่ครรภ์ปลอมถูกเอาออกไปแล้ว ถึงอย่างนั้นท้องของตัวเขาเองก็ไม่เล็ก เฉียวเวยยิ้มหยอกล้อ “หกหรือเจ็ดเดือนกันล่ะนี่”
นายท่านหกกลอกตาใส่เฉียวเวย เจ้าคนร้ายกาจ เขาแต่งตัวเช่นนี้เพื่อผู้ใดกัน
“ชุดของบิดาเจ้าเล็กเกินไปแล้ว นายท่านผู้นี้ใส่ไม่ได้!”
หลังจากสลับรูปโฉมกับหน่วยกล้าตายในกระโจม สัมภาระทั้งหมดของเขาบนรถม้าก็ถูกนายท่านหกตัวปลอมขนไปแล้ว
เฉียวเวยหัวเราะ ไม่ล้อเขาต่อ แล้วถามขึ้นว่า “ท่านพบว่าตนเองถูกผู้อื่นสะกดรอยตั้งแต่เมื่อใด”
นายท่านหกตอบว่า “ตอนที่ข้าออกจากเมืองหลวงก็รู้ตัวแล้ว นี่ไม่มีสิ่งใดแปลก ข้าต้องการสืบหาข่าวย่อมต้องเกิดความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ข้าถูกจับตามองอย่างเหนียวแน่นเหลือเกิน สลัดหลายหนแล้วก็ยังสลัดไม่หลุด จึงคิดแผนจักจั่นลอกคราบเช่นนี้ออกมา
พูดเหมือนง่ายดาย แต่คนที่ประสบกับตนเองจริงๆ จึงจะเข้าใจว่าสถานการณ์ในยามนั้นอันตรายมากเพียงใด ในหมู่พวกเขา หากมีผู้ใดลงมือช้าสักก้าว พวกเขาทั้งหมดคงจะย่อยยับทั้งขบวน
โชคดีที่ทุกคนล้วนร่วมมือเต็มที่จึงหลอกลวงคนกลุ่มนั้นได้สำเร็จ แล้วก็มาถึงเมืองหลวงได้สำเร็จด้วย
“เหล่าไท่ไท่ตระกูลเจ้าจะเชื่อหรือ” นายท่านหกถามอย่างไม่วางใจ
เฉียวเวยผายมือ “ข้าทำสิ่งที่ข้าทำได้แล้ว เชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของนาง”
นายท่านหกจิบชาคำหนึ่ง
เฉียวเวยถามอีกว่า “โจรกลุ่มนั้นมีข่าวหรือยัง”
นายท่านหกส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มี”
เฉียวเวยครุ่นคิด “หากก่อนหน้านี้ล้วนมีคนวางแผนการเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นโจรกลุ่มนั้นก็ต้องอยู่ในแผนการด้วยแน่ หากเหล่าฮูหยินเชื่อพวกคังหมิ่น ก็คงเดาออกไม่ยากว่าเรื่องโจรก็คงมีความลับเก็บซ่อนเอาไว้เช่นกัน”
นายท่านหกมุ่นคิ้ว “เหล่าไท่ไท่เชื่อใจนางมาหลายปีเช่นนี้ คงยากนักจะสงสัยในทันทีกระมัง”
เฉียวเวยยิ้มละไม “เชื่อใจกับคลางแคลงแต่เดิมก็ห่างกันเพียงหนึ่งกำแพงกั้น เมื่อล้มกำแพงนี้ลงแล้ว ความคลางแคลงก็จะโถมท่วมฟ้าท่วมดินเข้ามา”
ยิ่งไปกว่านั้นกำแพงผืนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นปราการเหล็ก สาเหตุที่ทุกคนล้วนเชื่อถือแม่เลี้ยง มากกว่าครึ่งเป็นเพราะความประพฤติของแม่เลี้ยงไร้ที่ติอย่างแท้จริง ส่วนอีกครึ่งเล็กๆ น่าจะเป็นเพราะการแผลงฤทธิ์ของสิ่งที่เรียกกันว่าจิตวิทยาการคล้อยตาม ทุกคนต่างบอกกันว่าหากคนผู้หนึ่งจุดความคลางแคลงขึ้นมาจะได้รับการทดสอบอย่างหนักหนาจากทั้งภายในใจและจากโลกภายนอก นี่ย่อมนำแรงกดดันมหาศาลมาให้เขา แต่ยามนี้นางกับจีหว่านจุดความสงสัยนำขึ้นมาก่อนแล้ว พวกนางแบกแรงกดดันนี้ไว้กับตัวเองแล้ว เหล่าฮูหยินย่อมสามารถทำตามเจตนาที่แท้จริงได้อย่างสบายใจ ยามจัดการเรื่องราวย่อมยุติธรรมได้มากกว่า
จีเหล่าฮูหยินนอนอยู่ในห้องหนึ่งคืน หนึ่งคืนนี้นางแทบจะหลับตาไม่ลง เมื่อหลับตาลงก็เห็นภาพเด็กสาวตัวน้อยผอมแกร็นสวมเสื้อผ้าเก่าอันไม่อบอุ่นสักนิดคนนั้นขดตัวหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว ดวงตาที่ขลาดกลัวคู่นั้นเบิกโต มองมาหานางอย่างไร้เดียงสาและหวาดกลัว
ดวงตาอันบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดเจือปนสักนิดคู่นี้ทำให้นางเอ็นดูมาเนิ่นนานหลายปี แต่สุดท้าย…
จีเหล่าฮูหยินหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ
…
จีหว่าน ‘อยู่ดูอาการ’ ที่หอหลิงจือทั้งคืนก็ไม่เป็นอันใดมาก เมื่อฟ้าสว่างจึงถูกพี่เขยหลินรับกลับไปยังจวนกั๋วกง เฉียวเวยกลับตระกูลจีมาพร้อมกับจีเหล่าฮูหยิน
สวินหลันมาคารวะจีเหล่าฮูหยิน
จีเหล่าฮูหยินไม่ยอมพบนาง แต่สั่งว่า “เรียกซั่งชิงมา ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”
อาการบาดเจ็บของจีซั่งชิงหายดีมากกว่าครึ่งแล้ว เขาลงมาเดินได้แล้ว หลังจากได้ยินว่าเหล่าฮูหยินเรียกหาจึงมาเรือนลั่วเหมยทันที
เหมันต์ของปีนี้มาช้า แต่มารุนแรงนัก ลมหนาวเย็นเฉียบพัดผ่านหน้าต่างดังหวีดหวิว พริบตาที่ผ้าม่านปลิวเปิด ลมหนาวหอบหนึ่งก็พัดเข้ามาด้านใน ทั่วทั้งห้องราวกับเย็นลงในทันใด
จีเหล่าฮูหยินนั่งอยู่บนเตียงเตา ดวงหน้าดูซีดเซียว
จีซั่งชิงรีบเดินเข้ามาหาแล้วถามอย่างกังวลว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดไป เมื่อคืนดูแลหวานหว่านจนไม่ได้นอนให้ดีๆ ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่หวานหว่าน” จีเหล่าฮูหยินไล่บ่าวรับใช้ออกไปแล้วตบที่นั่งตรงด้านข้าง “เจ้านั่งลง ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
จีซั่งชิงรู้สึกเลือนรางว่าอารมณ์ของจีเหล่าฮูหยินไม่ค่อยปกตินัก แต่ท่านแม่ไม่พูด เขาก็ไม่สะดวกจะจี้ถาม เขานั่งลงตามคำบอก
จีเหล่าฮูหยินกล่าวขึ้นว่า “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่พวกเราสองแม่ลูกไม่ได้คุยกันมานานแล้ว”
“ท่านแม่” จีซั่งชิงละอายใจ
จีเหล่าฮูหยินดันขนมบนโต๊ะไปไว้ตรงหน้าเขา “ตอนยังเล็กเจ้าชอบกินเกาลัด หวานหว่านก็ชอบตามเจ้า นี่เป็นขนมเกาลัดที่ทำมาใหม่ๆ ลองชิมดู”
จีซั่งชิงชิมไปคำหนึ่ง ยังคงเป็นรสชาติเช่นเดิม แต่มิรู้เหตุใดจึงกินไม่รู้รสอยู่เล็กน้อย
จีเหล่าฮูหยินจ้องเข้าไปในดวงตาของลูกชาย คำพูดต่อจากนี้นางเค้นออกมาจากปากยากอยู่บ้าง นางชะงัก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงตัดสินใจได้ “สวินซื่อแต่งเข้ามาเนิ่นนานปานนี้ ข้าอยากถามสักหน่อย เจ้าคิดว่าสตรีนางนี้เป็นเช่นไร”
จีซั่งชิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “สวินซื่อจิตใจดีงาม ทำงานเก่ง ท่านแม่ถามเรื่องนี้ทำไม”
จีเหล่าฮูหยินกล่าวขึ้นว่า “ตอนแรกที่เจ้าต้องการจะตบต่งสวินซื่อ แต่เดิมข้าไม่เห็นด้วย แต่นางเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เจ้าตำหนิตนเองอยู่ในใจ ข้าทนเห็นเจ้าผ่ายผอมลงทุกวันไม่ได้ จึงเอ่ยปากตกลงการแต่งงานของพวกเจ้า ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าสักคำ หากยามนั้นไม่มีเรื่องนั้น เจ้าจะยังคงยินดีแต่งงานกับนางหรือไม่”
จีซั่งชิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านแม่ ท่านเป็นอันใดกันแน่ คำพูดที่ท่านกล่าว ลูกไม่เข้าใจ”
จีเหล่าฮูหยินยิ้มหยันตนเอง “บางทีข้าอาจมองคนผิดเป็นบางครั้ง แต่ซั่งชิง ข้าเป็นคนให้กำเนิดเจ้ามา ในใจเจ้าคิดอะไร ข้ามารดาคนนี้จะไม่รู้หรือ ข้าขอถามเจ้าอีกหน เรื่องระหว่างสวินซื่อกับคุณชายตระกูลซุน คุณชายตระกูลหยวน คุณชายตระกูลโจว เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่”
หว่างคิ้วของจีซั่งชิงขมวดมุ่น “ท่านแม่ ท่านพูดอะไรกัน ลูกทำสิ่งใดหรือ”
จีเหล่าฮูหยินนวดหน้าอก พลางพยักหน้า “ดูท่าเจ้าจะไม่ได้ทำ ในที่สุดข้าก็วางใจได้แล้ว วันหน้าไปยังปรภพจะได้มีหน้าไปพบบิดาของเจ้า”
จีซั่งชิงมองจีเหล่าฮูหยินอย่างแปลกใจ “ท่านแม่ท่านคงไม่ได้สงสัยว่าลูกจงใจทำลายงานแต่งงานระหว่างสวินซื่อกับคนพวกนั้นกระมัง ลูกไม่เคยทำเช่นนั้น สักหนก็ไม่เคย!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ทำ แต่…” จีเหล่าฮูหยินชะงัก ยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าชอบแม่สาวน้อยคนนั้นใช่หรือไม่เล่า ชอบมาตลอด”
จีซั่งชิงตัวแข็งทื่อ
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยอย่างปวดใจ “เจ้าไปกูซูเยี่ยนนางตั้งหลายหน ตอนแรกข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ต่อมาคุณชายซุนเกิดเรื่อง เจ้ารับนางกลับมาตระกูลจี ตอนนั้นแววตาที่เจ้ามองนางก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว…เจ้าคิดว่าเหตุใดหลังจากรับนางกลับมาตระกูลจีแล้ว ข้าจึงทนรอไม่ไหวรีบหาคู่ครองอีกคนหนึ่งให้นาง”
จีซั่งชิงหน้าแดง
เขาคิดว่าตนเองเก็บซ่อนไว้ดียิ่งนัก แต่ที่แท้ถูกมารดามองออกตั้งแต่ต้น
หนแรกไปกูซู เพราะงาน เขาผ่านทางจึงแวะไปเยี่ยมนาง
หนที่สองก็ยังคงเป็นเพราะผ่านทาง
หนที่สาม…
นางเหมือนจะโตเป็นสาวแล้ว รอยยิ้มอ่อนหวาน งามประหนึ่งเมฆา มองเขาอย่างเขินอาย ความงามหยาดเยิ้มที่ยังคงมีความไร้เดียงสาอยู่เสี้ยวหนึ่งนั่นทำให้เขาหวนนึกถึงเจาหมิง
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยขึ้นมาอย่างเจ็บปวดใจ “นางเป็นเด็กที่เจาหมิงเลี้ยงมา เจ้าคิดกับนางได้อย่างไรกัน เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ผิดต่อเจาหมิงหรือ ข้าจับนางแต่งไปไกลถึงตระกูลโจว พอนางเกิดเรื่องที่ตระกูลโจว เจ้าก็ทิ้งงานไปรับนางกลับมา ข้าขวางก็ขวางไม่ได้! เจ้าคิดว่าข้ามารดาคนนี้…เป็นคนโง่หรือไร”
จีซั่งชิงอายแทบจะทนมิไหว “ท่านแม่…”
จีเหล่าฮูหยินพูดทั้งน้ำตา “นางเกิดเรื่องเช่นนั้น ข้ารู้ว่ามิว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจทิ้งนางได้อีกแล้ว ข้ารักเจ้า ข้าจึงตกลง แต่ซั่งชิง บางทีข้าอาจทำผิดไปแล้ว…”
จีซั่งชิงมองน้ำตาในดวงตาของจีเหล่าฮูหยินแล้วถามอย่างปวดใจ “ท่านแม่ทำผิดที่ใดเล่า”
จีเหล่าฮูหยินไม่ตอบเขา แต่กลับกล่าวว่า “ซั่งชิง เจ้าเชื่อแม่หรือไม่”
จีซั่งชิงพยักหน้า “ข้าเชื่อ”
จีเหล่าฮูหยินหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “เจ้าดูเองเถิด”
จีซั่งชิงเปิดจดหมายที่ซุนสวินเขียนให้สวินหลัน เมื่ออ่านจบสีหน้าก็เปลี่ยนไปหมดสิ้น
[1] เหยาหมิง นักกีฬาบาสเก็ตบอลชื่อดังของจีน