หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 230-1 เข้าเยี่ยมท่านตา ซาลาเปาน้อยมาแล้ว
ตอนที่ 230-1 เข้าเยี่ยมท่านตา ซาลาเปาน้อยมาแล้ว
ไซน่าฮูหยินพูดคุยกับเฉียวเวยอยู่พักหนึ่ง พอได้รู้ว่าคณะของเฉียวเวยเดินทางมาทั้งวันโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย นางก็ตีศีรษะตนเองด้วยความหัวเสีย บอกว่าตนสนใจแต่จะสนทนา จนลืมเอาอาหารน้ำท่ามาต้อนรับ
โถงกินข้าวของตระกูลไซน่าไม่เหมือนโถงกินข้าวในเมืองหลวงตรงที่คานมีการแกะสลักอย่างประณีตงดงาม หลังคาสูงโปร่ง ภายในโอ่โถง กำแพงหินแข็งเย็น ตรงกลางมีโต๊ะไม้ตัวยาวเข้าคู่กับเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่แปดตัว งานฝีมือบนโต๊ะอาหารยังนับว่างดงาม เนื้อไม้ดีเลิศ เป็นต้นหนานมู่เนื้อทองชั้นดี
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยนั่งลงแล้ว จีอู๋ซวงกับอี้เชียนอินก็หาที่นั่งบ้าง
ไซน่าฮูหยินได้เห็นใบหน้าพวกเขาชัดๆ ก็เวลานี้ อี้เชียนอินย่อมไม่ต้องพูดถึง เป็นเด็กหนุ่มรูปงาม จีหมิงซิวที่ใส่หน้ากาก เห็นเพียงใบหน้าครึ่งหนึ่งที่โผล่พ้นหน้ากากออกมา ยิ่งทำให้ดูหล่อเหลาน่าหลงใหล ยังไม่ต้องพูดถึงรัศมีที่ทำให้ดูโดดเด่นเหนือผู้คนของเขา เล่นเอาไซน่าฮูหยินมองจนหน้าแดงไปเลยทีเดียว
ไซน่าฮูหยินจับมือเฉียวเวยเอ่ยทอดถอนใจว่า “ข้ายังไม่เคยพบผู้ใดที่รูปงามกว่าท่านตาเจ้ามาก่อน แต่เวลานี้ข้าได้พบแล้ว”
เฉียวเวยเหลือบมองจีหมิงซิวทีหนึ่ง มุมปากฉีกกว้างโดยไม่รู้ตัว แน่ล่ะ ก็ดูเสียบ้างว่าเป็นสามีใคร! นึกแล้วก็อยากแปลงร่างเป็นหมาป่าแล้วโผเข้าไปขย้ำอีตานี่นัก…
ไซน่าฮูหยินมีน้ำใจกว่าไซน่าอิงมากนัก พอรู้ว่าไซน่าอิงเกือบทำแขกจมหายไปในบ่อน้ำ ไซน่าฮูหยินก็ตบศีรษะบุตรชายอย่างไม่เกรงใจทันที เมื่อถูกมารดาสั่งสอนต่อหน้าธารกำนัล สีหน้าไซน่าอิงจึงดูไม่ดีนัก
เพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ ไซน่าฮูหยินตัดสินใจจะลงครัวเอง
ทุกคนพอคิดถึงอาหารอันดำมืดของไซน่าอิงแล้ว ก็ไม่คาดหวังใดๆ กับฝีมือการทำอาหารของไซน่าฮูหยินอีก
“ไซน่าฮูหยิน ร่างกายท่านแสนล้ำค่า ฐานะที่สูงส่งเช่นท่านอย่าได้เข้าครัวเลยจะดีกว่า” อี้เชียนอินพูดพลางหัวเราะหึหึ
เฉียวเวยก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน “ใช่แล้ว ไซน่าฮูหยิน ท่านก็นั่งลงด้วยเถิด พูดคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าต่อดีกว่า”
ไซน่าฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าทำอาหารเสร็จแล้วค่อยมาพูดคุยเป็นเพื่อนพวกเจ้าก็เหมือนกัน”
สีหน้าอี้เชียนอินพลันดูขมขื่น จีอู๋ซวงที่รักษากิริยาได้ดีมาตลอด เวลานี้ยังกระแอมขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว ส่วนจีหมิงซิวที่มักไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าก็ยังกระตุกมุมปากโดยไม่มีใครเห็น เห็นได้ชัดว่าทุกคนถูกฝีมือการทำอาหารของไซน่าอิงหลอกหลอนจนมีปมในใจกันไปหมดแล้ว
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ กลั้นใจถามออกไปว่า “ป้าหลิง ฝีมือการทำอาหารของท่านคงไม่ใช่พอๆ กับไซน่าอิงกระมัง”
ไซน่าฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะพรืดออกมา “พวกเจ้าเคยกินอาหารที่เขาทำแล้ว? เช่นนั้นคงลำบากพวกเจ้าแล้วจริงๆ ฝีมือการทำอาหารของเขาแย่ที่สุดในตระกูลไซน่าแล้ว แต่เขาก็ดันไม่รู้ตัว ชอบทำให้คนอื่นกินอยู่เรื่อย ฝีมือการทำอาหารข้าดีมากนะ ท่านตาเจ้าเคยกินยังชมไม่ขาดปาก”
เฉียวเวยถอนหายใจยาว “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี”
“พวกเจ้าอาจไม่ชินกับอาหารชนเผ่าถ่าน่า ข้าเคยเรียนทำอาหารของจงหยวนจากแม่เจ้ามาหลายอย่าง จะไปทำให้พวกเจ้ากินเดี๋ยวนี้”
ท่านพ่อเคยบอกว่า ฝีมือการทำอาหารของท่านแม่ดีเลิศยิ่งนัก ดีกว่านางเสียอีก อาจารย์มีชื่อย่อมสร้างลูกศิษย์ชั้นเลิศ ฝีมือการทำอาหารของไซน่าฮูหยินจึงน่าจะไร้ที่ติ หนำซ้ำตลอดทางมานี้ไม่กินอาหารแห้งก็กินอาหารทะเลสด ไม่มีอาหารมันๆ ตกถึงท้องมานานแล้ว หากได้กินอาหารบ้านๆ อร่อยๆ สักมื้อก็คงดีไม่น้อย
เฉียวเวยยิ้มด้วยความซาบซึ้ง “ลำบากป้าหลิงแล้ว”
ไซน่าฮูหยินจึงออกไปเข้าครัว มือไม้นางไม่นับว่าเร็วนัก นางใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยามในการทำกระดูกหมูผัดเปรี้ยวหวาน ปลาทอดราดน้ำแดง ปูสดนึ่ง เนื้อหมูผัดพริกกับผัดผัก ผักที่นำมาผัดหน้าตาไม่เหมือนกับที่เฉียวเวยเคยเห็น นางไม่รู้จักชื่อ คิดแล้วน่าจะเป็นวัตถุดิบเฉพาะของชนเผ่าถ่าน่า
ไซน่าฮูหยินรีบบอกทุกคนว่า “กินตอนร้อนๆ เถิด ไม่ต้องเกรงใจ ไซน่าอิง เจ้าก็นั่งด้วย” ในชนเผ่าถ่าน่าไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง ไซน่าฮูหยินเองก็นั่งลงเช่นกัน นางหันไปพูดกับเฉียวเวยและจีหมิงซิวว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะมา ท่านพ่อกับท่านปู่ของไซน่าอิงเลยออกไปลาดตระเวนลอบเกาะกัน อาจจะอีกหลายวันถึงจะกลับ”
สองสามีภรรยายิ้มอย่างเข้าใจ ในเรื่องการเข้าสังคม ทักษะของจีหมิงซิวสูงกว่าเฉียวเวยเสียอีก รอยยิ้มของเฉียวเวยดูไม่จริงใจอยู่เล็กน้อย ของจีหมิงซิวต่างหากถึงได้เรียกว่ายิ้มออกมาจากข้างในจริงๆ ใจของสตรีดวงน้อยๆ อย่างไซน่าฮูหยินยังแทบจะกระดอนออกมา
ไซน่าฮูหยินหยิบตะเกียบขึ้นมาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพิธีรีตองของชาวจงหยวนอย่างพวกเจ้านัก ในชนเผ่าถ่าน่าของพวกเราไม่มีกฎระเบียบมากเพียงนั้น ทุกคนทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของตนเองก็แล้วกัน อย่าได้เกรงใจไป หากมีตรงใดที่ดูแลไม่ทั่วถึง ก็ขอให้บอกออกมา อย่าได้เก็บไว้ในใจ ดูข้าสิ พูดเสียน้ำท่วมทุ่ง กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว ทุกคนอย่านิ่งอยู่เลย รีบกินกันเถอะ!”
ทุกคนจึงเริ่มขยับตะเกียบ หน้าตาของอาหารบนโต๊ะดูดียิ่งนัก กลิ่นก็หอมฉุย เป็นกลิ่นของอาหารในบ้านที่คุ้นเคย ทุกคนที่จากบ้านมาครึ่งเดือนพลันหิวโหยขึ้นมาทันที ทุกคนทยอยยกตะเกียบคีบอาหารจานที่ตนชื่นชอบ
ฝีมือการทำอาหารของไซน่าฮูหยินไม่เสียแรงที่ดีเลิศไม่เหมือนใคร แค่ได้ชิมเพียงหนึ่งคำทุคนก็พากันวิ่งแจ้นออกไปบ้วนทิ้งจนน้ำดีแทบไหลออกมา…
ไหนบอกว่าฝีมือดีกว่าไซน่าอิงอย่างไร
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!
ไซน่าฮูหยินพอเห็นทุกคนคล้ายไม่ชื่นชอบอาหารบนโต๊ะนัก ก็คิดว่าฝีมือการทำอาหารจงหยวนของตนไม่ถึงขั้น จึงรีบกลับไปทำอาหารประจำชนเผ่าถ่าน่ามาใหม่… เป็นไก่ป่ากับขาแพะ แต่กลายเป็นว่าทุกคนยิ่งอาเจียนกันหนักกว่าเดิม…
การทำอาหารที่รสชาติย่ำแย่เพียงนี้ นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว
สุดท้ายของสุดท้ายยังเป็นเฉียวเวยที่หันไปเห็นบ่าวคนหนึ่งถือตะกร้าใส่แป้งทอดเข้ามา นางคว้าไปกัดคำหนึ่ง รสชาติจืดชืดของแป้งที่ไม่ได้ใส่อะไรทั้งสิ้น กลับเอร็ดอร่อยจนเฉียวเวยน้ำตาเกือบไหล
ทุกคนกรูกันเข้าไปปล้นแป้งทอดจากบ่าวคนนั้นมาจนหมดตะกร้า!
…
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ ไซน่าฮูหยินจัดการเรื่องห้องหับให้กับทุกคน เฉียวเวยกับจีหมิงซิวห้องหนึ่ง จีอู๋ซวงกับอี้เชียนอินคนละหนึ่งห้อง พอได้ยินว่ายังมีลูกน้องอยู่ระหว่างทางมาอีก ไซน่าฮูหยินจึงเตรียมเผื่อไว้อีกหนึ่งห้องอย่างเอาใจใส่
ภายในห้องไม่มีฉากอะไรที่ใช้กั้นได้ เตียงก็เป็นเตียงเรียบง่ายหนึ่งหลัง กำแพงทำจากก้อนหินซึ่งเป็นสีเดิมของตัวหิน บนเตียงปูหนังเสือที่อ่อนนุ่มผืนหนึ่ง ผ้าห่มก็ทำจากหนังสัตว์ ทั้งนุ่มสบายและอบอุ่น
เฉียวเวยนอนแผ่อยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม ถอนหายใจออกมาด้วยความสบาย
จีหมิงซิวนั่งลงที่โต๊ะ รินน้ำชาแล้วถามว่า “พรุ่งนี้เจ้าจะไปพบท่านตาเจ้า?”
ตอนเฉียวเวยพูดคุยกับไซน่าฮูหยินภายในห้อง พวกนางไม่ได้ตั้งใจกดเสียงให้เบา หากพวกเขาคิดจะฟังก็คงได้ยินทั้งหมด นางยังจมอยู่กับความตกใจที่มีท่านตาเป็นยอดบุรุษเหนือผู้ใด ชั่วขณะนั้นจึงตั้งสติไม่ทันว่าที่จีหมิงซิวถามถึงคือ “ท่านตาของเจ้า” ไม่ใช่ “ท่านตาของเฉียวเวย นางจึงตอบว่า “ยังไม่รู้จะไปดีหรือไม่เลย ข้ายังไม่ได้รับปาก”
จีหมิงซิวจิบชาอึกหนึ่ง “เหตุใดถึงจะไม่ไป”
“ข้าโตมาขนาดนี้ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมีท่านตา…” ในที่สุดเฉียวเวยก็รู้ตัวแล้ว ตานางพลันเบิกกว้าง ทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง เอ่ยกับจีหมิงซิวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าหมายถึงหากวันนี้เป็นฮูหยินน้อยที่อยู่ที่นี่ นางอาจจะไม่อยากพบหน้าท่านตาผู้นั้น”
จีหมิงซิวส่งเสียงหึคล้ายขบขัน “เจ้าไม่ใช่เฉียวเวยเสียหน่อย รู้ได้อย่างไรว่านางไม่อยากพบ”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “ข้า…ข้า…ข้าเดาเอา!”
จีหมิงซิวพูดคล้ายไม่ตั้งใจว่า “เจ้าไม่เคยพบนางด้วยซ้ำ เหตุใดถึงเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่”
เฉียวเวยสะอึกจนพูดไม่ออก อยากจะพูดออกไปว่าก็ข้าคิดเช่นนี้นี่ แต่หากพูดออกไปเช่นนี้จะไม่เท่ากับเผยพิรุธหรอกหรือ ถึงแม้ตามแผนเดิมที่วางไว้ พอมาถึงชนเผ่าลึกลับแล้วนางจะบอกว่านางคือเฉียวเวยตัวจริง แต่ช่วงนี้อีตานี่เอาแต่หว่านเสน่ห์อันร้อนแรงใส่ “เฟิ่งชิงเกอ” นางกำลังโกรธ ไม่มีทางยอมสารภาพกับเขาแน่!
เฉียวเวยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าเป็นสตรีย่อมเข้าใจสตรีด้วยกัน อีกอย่างข้าก็เป็นคนที่ลำบากมาก่อน ถูกพ่อแม่เอาตัวไปขายตั้งแต่ยังเล็ก โตมาแม้แต่พ่อแม่หน้าตาเป็นอย่างไรก็จำไม่ได้ หากเวลานี้มีคนมาบอกว่าข้ามีท่านตาอยู่ในโลกนี้ แล้วเขาอยากพบหน้าข้า ข้าคงอยากจะตบเขาให้สักฉาด ตอนนั้นที่ข้าถูกเอาตัวไปขาย ท่านตาผู้นี้ไปอยู่ที่ไหน”
จีหมิงซิวจึงกล่าวต่อไปว่า “สถานการณ์ของเจ้ากับนางไม่เหมือนกัน พ่อแม่เจ้าเป็นคนใจจืดใจดำ แต่พ่อแม่ของเฉียวเวยรักและเอ็นดูนางมากมาตลอด เพียงแต่ด้วยสถานการณ์บังคับ ทำให้พวกเขาจำต้องแยกจากนางไปหลายปี ไซน่าฮูหยินก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าท่านตาของเฉียวเวยไม่รู้ว่ามีเฉียวเวยอยู่บนโลกใบนี้ เขาเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ก่อนตายคิดอยากจะพบหน้าหลานสาวของตนสักครั้ง เหตุใดเจ้าถึงจะไม่ทำให้ความปรารถนาเขาเป็นจริงเล่า”
เฉียวเวยกัดริมฝีปาก คำพูดแบบเดียวกัน แต่เมื่อได้ฟังจากปากไซน่าฮูหยินกับได้ฟังจากปากจีหมิงซิว ผลที่ได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง เวลานี่ใจนางเริ่มหวั่นไหวแล้ว
จีหมิงซิวเอ่ยน้ำเสียงอบอุ่น “เฮ่อหลั่นชิงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของผู้นำชนเผ่าอาวุโส เสี่ยวเวยยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเฮ่อหลันชิง ตระกูลเฮ่อหลันมีสายเลือดอยู่เพียงเท่านี้ เจ้าไม่ไปพบเขา ไม่เท่ากับทำให้เขาตายตาไม่หลับหรอกหรือ”
เมื่อครู่มัวแต่ตกใจเรื่องที่ตนเองมีท่านตา จึงลืมใคร่ครวญถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของไซน่าฮูหยินไป ท่านแม่นางอยู่ในช่วงปิดประตูครองสันโดษ ท่านตานางไร้ซึ่งทายาทคนอื่น ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่ท่านตานางกำลังจะจากโลกนี้ไปเช่นนี้ คนทั้งชนเผ่าลึกำลังจะกลายเป็นมังกรไร้หัว ที่รีบเรียกนางกลับมา มากน้อยอย่างไรก็พอช่วยทำให้สถานการณ์มั่นคงได้บ้าง “ที่แท้ข้าสำคัญเพียงนี้เชียว”
จีหมิงซิวส่งสายตาว่าเจ้าอย่าเห็นตัวเองสำคัญนักไปให้นาง “เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าไม่ได้เติบโตในชนเผ่าถ่าน่า ไม่เคยมีคุณูปการใดๆ ต่อชนเผ่า คิดจะฉกฉวยประโยชน์ขึ้นเป็นผู้สืบทอดคงเป็นไปไม่ได้”
เฉียวเวยเบ้าปาก
จีหมิงซิวพูดต่อว่า “ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะหวังว่าเจ้าจะทำให้ท่านตาเจ้ามีกำลังใจอยู่ต่อเพื่อรอวันที่แม่เจ้าออกมาหรอก”
“หึ” เฉียวเวยสะบัดหน้า
จีหมิงซิวยกมุมปากอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง “เฟิ่งเอ๋อร์ช่างเล่นได้สมบทบาทเสียจริงนะ คิดว่าตัวเองเป็นเฉียวเวยจริงๆ เสียแล้ว ดีใจแทนเฉียวเวย กังวลใจแทนเฉียวเวย โกรธก็โกรธแทนเฉียวเวย”
สายตาเฉียวเวยเป็นประกาย ยืดตัวตรงเอ่ยว่า “ข้าทุ่มเทกับหน้าที่หรอก!”
จีหมิงซิวเพียงแค่นหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร
“แต่ว่า” เฉียวเวยคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ สีหน้าจึงดูเคร่งเครียดขึ้นมา “ท่านว่าเรื่องที่ไซน่าฮูหยินพูดน่าเชื่อถือหรือไม่”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “นางพูดคุยกับข้ามาตั้งนานเพียงนี้ แต่ไม่ได้ยินนางบอกว่าแม่ข้า…แม่ของฮูหยินน้อยออกไปจากชนเผ่าลึกลับได้อย่างไรเลย ตอนที่ท่านแม่ฮูหยินน้อยพบกับพ่อของนาง ท่านแม่ฮูหยินน้อยบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้ท่านรู้หรือไม่”
จีหมิงซิพยักหน้า เขารู้ก่อนเฉียวเวยเล็กน้อย
เฉียวเวยรู้เรื่องนี้จากปากเฉียวเจิงตอนที่พาเฟิ่งชิงเกอไปหาเฉียวเจิงที่หอหลิงจือเพื่อทำหน้ากากหนังคน เดิมทีเฉียวเจิงไม่อยากบอก แต่เฉียวเวยหลอกล่อทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เฉียวเจิงต้านทานไม่ไหวจึง “สารภาพ” ออกมาจนหมด
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เรื่องที่เฮ่อหลันชิงบาดเจ็บ ไซน่าฮูหยินไม่รู้เรื่องหรือว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องที่น่าเจ็บปวดในอดีตกันแน่ หากนางไม่อยากพูดถึงก็คงไม่อะไร แต่หากนางไม่รู้ เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฮ่อหลันชิงก็คงไม่ได้สนิทสนมกันเท่าที่นางบอก”
จีหมิงซิว “ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ท่านแม่เจ้าเล่าให้นางฟังกระทั่งเรื่องที่ยกเจ้าให้แต่งงานกับตระกูลจี จึงไม่มีเหตุผลที่แม่เจ้าจะปิดเรื่องที่ตนบาดเจ็บเมื่อตอนนั้นกับนาง”
เฉียวเวยนอนตะแคงลงบนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งยันศีรษะไว้ “ฉะนั้นน่ะนะ หากท่านแม่ข้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนาง ก็เท่ากับว่าท่านแม่ข้าไม่ได้สนิทใจกับนางเพียงนั้น” นางถูกอีกฝ่ายหลอกล่อให้เผลอตัวอีกแล้ว “ข้าหมายถึงท่านแม่ของฮูหยินน้อย!”
จีหมิงซิวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใช้ ท่านแม่ของฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเข้ม “แน่นอน!”
จีหมิงซิวกลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การไม่เชื่อใจใครสักคนอย่างเต็มที่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่ดี ท่านแม่เจ้ามีเรื่องปิดบังท่านตาเจ้ามากกว่านี้เสียอีก หรือเจ้าคิดว่าท่านตาที่ยอมทนกับความเจ็บปวดเพื่อรอพบหน้าเจ้าก็เป็นคนเลวเช่นกัน”
เฉียวเวยพลันคิดได้ว่า “ท่านพูดเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่ในใจข้ายังมีความสงสัยอยู่ไม่น้อย”
“เกี่ยวกับไซน่าฮูหยิน?” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยส่ายหน้า “เกี่ยวกับหลายเรื่องทีเดียว เช่นว่าเรื่องเมื่อปีนั้น ตอนนั้นเหตุใดเฮ่นหลันชิงถึงต้องไปจากชนเผ่าลึกลับ ไปเพราะนึกสนุกหรือเพราะความจำใจ เฮ่อหลันชิงถูกใครไล่ล่า ที่นางหนีออกจากชนเผ่าลึกลับเป็นเพราะถูกคนไล่ฆ่าหรือเพราะนางหนีออกจากชนเผ่าลึกลับถึงได้ถูกไล่ฆ่า ยังมีอีก คนของชนเผ่าลึกลับเหตุใดถึงไม่อาจออกไปจากเกาะนี้ได้ พวกเขาเป็นเงือกหรือที่พออยู่ห่างไปพักหนึ่งก็ต้องกลับไปแช่น้ำทะเลสักหน่อย”
จีหมิงซิวขำกับคำพูดประโยคสุดท้ายของนาง ในหัวนึกภาพไซน่าอิงมีหางยาวเหมือนปลาร้องเล่นเต้นระบำอยู่ในน้ำ ทันใดนั้นใต้เท้านายน้อยก็คล้ายถูกสายฟ้าฟาดลงมาอย่างแรก หนังตากระตุกตุบๆ “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ต้องมีสักวันแน่ที่ความจริงปรากฏ”
…
ตกกลางคืนทั้งสองนอนอยู่ด้วยกันบนเตียง
หัวหน้าพรรคเฉียวเขยิบไปด้านข้างก่อนเอ่ยอย่างข่มขู่เต็มที่ว่า “ข้าเตือนท่านไว้ก่อนนะ ท่านห้ามเขยิบเข้ามาใกล้ ไม่อย่างนั้นกลับไปข้าฟ้องฮูหยินนน้อยแน่ ข้าพูดได้ก็ทำได้นะ!”
“ตกลง” จีหมิงซิวตอบรับทันควัน แล้วก็นอนไม่ขยับเลยจริงๆ
ท่ามกลางความมืด เฉียวเวยลืมตาที่กระจ่างใสของตนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากคนข้างกาย นางถึงทนไม่ไหวนอนหลับไปในที่สุด
แต่แล้วจู่ๆ แขนที่มีน้ำหนักข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาดึงร่างที่ผอมบางของเฉียวเวยเข้าไปกอดแล้วนอนหลับฝันดีไปตลอดคืน
…
เฉียวเวยรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงกระทบกันของอาวุธ นางลืมตาขึ้น ลูบที่นอนข้างกายด้วยความเคยชิน มีเพียงความหนาวเย็น จีหมิงซิวไม่รู้ลุกออกไปตั้งแต่เมื่อไร
“คุณหนู” หญิงรับใช้ด้านนอกได้ยินเสียงขยับตัวของนาง จึงผลักประตูเปิดเบาๆ หอบเอาเสื้อผ้าตั้งหนึ่งเข้ามา “นี่เป็นชุดที่ไซน่าฮูหยินเตรียมไว้ให้ท่าน ท่านเปลี่ยนเถิดเจ้าค่ะ”
ชุดนี้เป็นชุดกระโปรงสีแดงที่เบาสบาย แขนเสื้อแคบยาวไปถึงข้อศอก ใส่คู่กับกางเกงสีขาว รองเท้าหนังสีแดง สวมหมวกอัญมณีสีแดงไว้บนศีรษะ มีพู่สีแดงห้อยลงมาทั้งซ้ายขวา เมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในชุดนี้ทำให้นางดูสดใสมีชีวิตชีวาและทะมัดทะแมงยิ่งนัก
หญิงรับใช้เอ่ยชมว่า “คุณหนูงามจริงๆ เจ้าค่ะ”
เฉียวเวยส่องกระจก “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
พอเฉียวเวยล้างหน้าล้างตาเสร็จออกจากห้อง บ่าวไพร่ของตระกูลไซน่าพากันทำความเคารพนาง นางออกไปที่ลานก็เห็นอี้เชียนอินกำลังประลองยุทธอยู่กับไซน่าอิง เสียงอาวุธเมื่อครู่ก็มาจากพวกเขา
จีหมิงซิวกับจีอู๋ซวงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านข้าง คล้ายกำลังชมทั้งสองประลองยุทธ พอหางตาเหลือบมาเห็นเงาใครคนหนึ่ง พวกเขาก็หันมามองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
สตรีของราชวงศ์ต้าเหลียงถือเอาความสงบเสงี่ยมเป็นงดงาม เสื้อผ้าโดยมากมีแขนยาวกว้าง กระโปรงยาวระพื้นยามก้าวเดิน แต่สตรีชนเผ่าถ่าน่ากลับดูทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว ดูจากชุดที่เฉียวเวยสวมใส่อยู่ก็รู้แล้วว่ามีเสน่ห์เพียงใด
นัยน์ตาจีหมิงซิวมีแววชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “ภรรยาช่างงามนัก”
“แน่นอน!” หางของเฉียวเวยยกสูงขึ้นไปอีก
อาหารเช้าของพวกเขายังคงกินอาหารหยาบๆ แห้งๆ อย่างบ่าวไพร่ ตอนอยู่บนโต๊ะอาหาร ไซน่าฮูหยินถามเฉียวเวยว่านางคิดไปถึงไหนแล้ว เฉียวเวยกัดแป้งทอดแล้วเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “หากข้าไปพบหน้าเขา เขาจะให้ผลสองภพข้าสักสองผลได้หรือไม่”
ไซน่าฮูหยินอึ้งไปก่อนจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “หากเจ้าไปพบเขา อย่าว่าแต่สองผลเลย สองร้อยผลเขาก็ให้เจ้าได้!”
ดีเพียงนี้เชียว!
ผลสองภพหนึ่งผลมีมูลค่าเท่าทองคำร้อยตำลึงแล้ว ถ้าสองร้อยผลจะไม่เท่ากับทองคำเป็นหมื่นตำลึงเลยหรือ!
ผลหนึ่งให้หมิงซิวใช้รักษาตัว ผลหนึ่งให้แม่ทัพน้อยมู่ เก็บไว้ให้ซาลาเปาน้อยอีกสองผล ส่งให้สหายสนิทอีกสองสามผล คำนวณไปคำนวณมาแล้วสุดท้ายก็ยังเหลืออีกร้อยแปดสิบผล คุ้มมาก! คุ้มมากจริงๆ!
“แต่ปีหนึ่งจะได้เพียงสิบผลนะ”
ไซน่าอิงสาดน้ำเย็นลงมา ภาพฝันของเฉียวเวยพลันแตกสลายเหลือเพียงเถ้าถ่าน
ฐานะของพวกจีหมิงซิวค่อนข้างละเอียดอ่อน ก่อนที่ท่านตาจะพยักหน้าอนุญาต จะให้คนอื่นในชนเผ่ารู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันภายในปราสาท ไซน่าฮูหยินพาเฉียวเวยไปยังปราสาทเฮ่อหลันเพียงคนเดียว
ปราสาทเฮ่อหลันเป็นวังหลวงของทั้งชนเผ่าถ่าน่า ซึ่งยิ่งใหญ่ว่าปราสาทไซน่าไม่น้อยกว่าสามเท่า ทหารรักษาการณ์ใดๆ ก็กำยำน่าเกรงขามกว่า
เฉียวเวยไม่เคยประมือกับทหารองครักษ์ของที่นี่มาก่อน แต่เฉียวเวยรู้ว่าอี้เชียนอินมีวรยุทธล้ำเลิศนัก ทั่วทั้งจงหยวนหาคู่ปรับที่ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาได้ยากนัก แต่ยามประฝีมือกับไซน่าอิง ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้วก็ยังสลัดอีกฝ่ายหลุดไม่ได้ ทหารองครักษ์ของชนเผ่าถ่าน่าน่ากลัวว่าไม่ว่าใครคงเอาชนะคู่ต่อสู้นับร้อยได้ทั้งสิ้น
องครักษ์ที่เฝ้าประตูขวางรถม้าของไซน่าฮูหยินเอาไว้ ไซน่าฮูหยินเลิกผ้าม่านขึ้น ยื่นป้ายคำสั่งของตนออกไปให้ดู “ข้ามาเยี่ยมท่านเหอจั๋ว”
เหอจั๋วในชนเผ่าถ่าน่าหมายถึงประมุขหรือผู้นำ
องครักษ์เหลือบมองตัวรถด้านหลังนางด้วยความระแวดระวัง “ในรถคือผู้ใด ลงมาให้ตรวจค้น!”
ไซน่าฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือแววข่มขู่ “นางเป็นบุตรสาวของจั๋วหม่านะ”
จั๋วหม่าในภาษาถ่าน่าน่าจะเทียบเท่ากับองค์หญิง
สายตาประหลาดใจขององครักษ์หยุดมองที่เฉียวเวย “บุตรสาวของจั๋วหม่าเข้าไปข้างในแล้ว”
ไซน่าฮูหยินตะลึงงันไป “เจ้าว่าอะไรนะ”
องครักษ์ตอบด้วยความงงงวย “เมื่อครู่ก็มีสตรีนางหนึ่ง อ้างว่าตนเป็นบุตรสาวของจั๋วหม่า เยียนฮูหยินกับเหล่าผู้อาวุโสเรียกตัวเข้าไปพบแล้ว”
ไซน่าฮูหยินพลันหน้าเปลี่ยนสี “เป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่บุตรสาวจั๋วหม่าอยู่กับข้านี่! ลูกชายข้าเพิ่งรับตัวนางกลับมาจากจงหยวน! จะมีอีกคนโผล่มาได้อย่างไร ข้าไม่เคยได้ยินว่าจั๋วหม่ามีบุตรสาวสองคนมาก่อน!”
องครักษ์ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ไซน่าฮูหยินเอ่ยเสียงเข้มว่า “เจ้ารีบไปรายงานเยียนฮูหยินกับเหล่าผู้อาวุโส บอกว่าข้าจะเข้าไป!”
ฐานะของไซน่าฮูหยินในชนเผ่าถ่าน่านั้นสูงส่งนัก องครักษ์ไม่กล้ารั้งรอ รีบหมุนตัวไปรายงาน ไม่นานก็วิ่งเหงื่อแตกกลับมา “เยียนฮูหยินกับเหล่าผู้อาวุโสให้เชิญท่านด้านใน”