หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 235-1 พบท่านตาพร้อมหน้า เผยพิรุธตัวปลอม
ตอนที่ 235-1 พบท่านตาพร้อมหน้า เผยพิรุธตัวปลอม
ในปราสาทไซน่า เฉียวเวยได้พบเด็กน้อยที่ทำให้นางห่วงแสนห่วง นางตื่นเต้นจนเกือบพูดไม่ออก นางอ่านจดหมายเมื่อตอนกลางวันไม่เข้าใจ นางคิดจะให้จีหมิงซิวดู แต่กลับหาตัวเขาไม่เจอเลยหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่เพียงแค่เขา แม้แต่พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็หายวับไปราวกับควันที่ลอยละล่อง นางได้แต่คิดกังวลว่าพวกเขาหายไปทำอะไรกัน ขออย่าได้ตกไปอยู่ในกรงเขี้ยวเล็บของพวกตัวปลอมนั่นเลย… แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมา ทั้งยังพา “ของขวัญชิ้นใหญ่” กลับมาด้วย
เฉียวเวยกอดเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองไว้แนบอก ดมกลิ่นน้ำนมอ่อนๆ จากตัวพวกเขา แทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
หลังจากนั้นนางก็เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซาลาเปาน้อยทั้งสองอย่างเฉียวเจิง “ท่านพ่อ?”
เฉียวเจิงรู้ตั้งแต่ระหว่างทางมาที่นี่แล้วว่าบุตรสาวตนก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่พอได้เจอตัวเป็นๆ ก็ยังตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้อยู่ดี “เสี่ยวเวย!”
“ท่านพ่อ!” เฉียวเวยเดินเข้าไปหา
เฉียวเจิงจับไหล่บุตรสาว มองสำรวจบุตรสาวตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยด้วยความสงสารว่า “เหตุใดถึงได้ผอมไป”
“ผอมหรือ” เฉียวเวยลูบหน้าตนเอง คงเพราะอาหารที่ชนเผ่าถ่าน่ารสชาติแย่เกินไปจริงๆ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนกินอาหารได้น้อยลง
เฉียวเจิงเอ่ยทอดถอนใจ “ตอนนั้นท่านแม่เจ้าก็ผอมแบบนี้ ข้าเลี้ยงดูนางอยู่หลายปีกว่าจะขุนให้นางอ้วนขึ้นมาได้”
ไม่ว่าพูดถึงอะไรเป็นต้องวกกลับไปถึงท่านแม่ตลอดจริงๆ เฉียวเวยเลิกคิ้ว มองไปทางจีหมิงซิว “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดท่านพ่อข้ากับลูกๆ ถึงมาอยู่ที่ชนเผ่าลึกลับได้”
จีหมิงซิวเหลือบมองเจ้าเด็กน้อยที่เดินตามก้นเขามา เจ้าเด็กน้อยอุตส่าห์ได้พบท่านแม่ ยังไม่ทันได้ออดอ้อนท่านแม่สักเท่าไร ท่านแม่ก็ไม่สนใจพวกเขาแล้ว
เฉียวเวยดึงเด็กทั้งสองเข้ามากอดอีกครั้ง ศีรษะน้อยๆ ของวั่งซูซุกไซ้อยู่ตรงซอกคอเฉียวเวย นางเอ่ยออดอ้อนว่า “ท่านแม่ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!”
เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยๆ ของบุตรสาว “แม่ก็คิดถึงเจ้า” นางกระชับกอดบุตรชาย “แล้วก็คิดถึงจิ่งอวิ๋นด้วย”
ใบหน้าจิ่งอวิ๋นแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้า “ใช่จริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เชื่อ เวลานี้ไม่เหลือความสงสัยใดอีกแล้ว”
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความงงงวย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยระบายยิ้ม “เฟิ่งชิงเกอเกลียดเด็กที่สุด”
เฉียวเวยพลันใจกระตุก ซวยแล้ว มัวแต่คิดถึงลูกจนลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่ในฐานะของเฟิ่งชิงเกอ!
จีอู๋ซวงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องแสร้งทำแล้ว เขารู้กันหมดแล้ว”
เฉียวเวยหันขวับไปมองจีหมิงซิว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดสาลี่ไปคำหนึ่ง “ไม่ต้องมองเขาหรอก นายน้อยเป็นคนแรกที่รู้เรื่อง ข้ากับจีอู๋ซวงเพิ่งรู้กันเมื่อวานนี้เอง!”
เมื่อวานตอนเช้าได้รับข่าวที่ส่งมาจากพรรคโลหิตพิฆาต บอกว่าเด็กน้อยทั้งสองถูกคนที่นายน้อยส่งมารับตัวไปแล้ว นายน้อยให้เขาทั้งสองปิดปากเงียบเอาไว้ อย่าเอะอะจนรู้ไปถึงเฉียวเวย เขาถึงได้รู้ว่าเฉียวเวยกับเฟิ่งชิงเกอเปลี่ยนตัวกันไปนานแล้ว มิน่าเล่ามาครานี้ “เฟิ่งชิงเกอ” ถึงได้มักยั่วยวนนายน้อยอย่างแทบทนไม่ไหว พวกเขาสองคนยังคิดว่า “เฟิ่งชิงเกอ” น้ำเข้าสมองจนเพี้ยนไป ไม่คิดเลยว่านังหนูนี่กำลังก่อเรื่อง!
เฉียวเวยมองท่าทางเรียบเรื่อยสบายๆ ของจีหมิงซิวแล้วก็พลันหน้าบึ้งตึง ที่อีตานี่แกล้งยั่วนางมาตลอด ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะเขารู้ไต๋นางหมดแล้ว รู้ตั้งแต่เมื่อไรกัน รู้แล้วก็พูดไม่จาอะไรสักคำ ทำให้นางต้องแสดงไม่รู้จักจบจักสิ้นจนเหนื่อยไปหมดแล้วเนี่ย ทำเช่นนี้เกินไปหน่อยหรือไม่
สายตาเจือแววขบขันของจีหมิงซิวหยุดมองที่ใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย ช่างน่าตีนัก หากไม่ใช่เพราะเด็กๆ อยู่ที่นี่ นางจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนเสียให้เข็ด!
“เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยเล่า ท่านไม่ได้ไปเจียงหนานหรอกหรือ” จิ่งอวิ๋นถาม
ใช่สิ เดิมทีนางควรอยู่ที่เจียงหนาน เหตุใดถึง “บิน” มาอยู่ที่ชนเผ่าลึกลับได้ สายตาเฉียวเวยเป็นประกาย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม่…แม่…”
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่เจ้าไปมาแล้ว นางคิดถึงพวกเจ้า ถึงได้มาที่นี่ต่ออย่างไร”
บนใบหน้าจิ่งอวิ๋นที่มักเรียบเฉยอยู่เป็นนิจพลันปรากฏแววยินดีอย่างยากจะปกปิด “เช่นนั้นปีนี้พวกเราก็จะได้ฉลองปีใหม่ด้วยกันแล้วสิ”
จีหมิงซิวพยักหน้าด้วยความเอ็นดู
จิ่งอวิ๋นดีใจยิ่งนัก!
ซาลาเปาน้อยทั้งสองไม่เคยมายังปราสาทโบราณที่งดงามเช่นนี้ ตากลมโตของพวกเขากะพริบรัว ดวงตาสดใสเป็นประกาย กวาดมองปราสาทโบราณไปทั่ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นเช่นนั้นก็นึกัน จับจูงเด็กน้อยทั้งสองไว้ “มาๆๆ ปู่เยี่ยนจะพาพวกเจ้าไปดูเอง!”
ผู้ใหญ่กับเด็กทั้งสองจึงเดินกันไปด้วยความเบิกบาน
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็รีบตามไปด้วย พวกมันเป็นสัตว์น้อยน่ารักที่ชอบขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวนี่นะ!
ต้าไป๋จอมเกียจคร้านหมอบลงกับพื้น หลับตาลงพักผ่อน
เฉียวเวยค่อยๆ กลับมามีกำลังวังชา กดข่ม “ความแค้นส่วนตัว” เอาไว้ก่อน นางถามเฉียวเจิงว่า “ท่านพ่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ท่านพ่อกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซูมาถึงชนเผ่าลึกลับได้อย่างไร”
คราแรกที่จีหมิงซิวได้พบเฉียวเจิงนั้น เฉียวเจิงเป็นกังวลเรื่องเด็กทั้งสองจึงไม่ทันได้คิดจะ “พูดคุยเรื่องในอดีต” กับจีหมิงซิว จนเมื่อในที่สุดรับตัวเด็กทั้งสองมาได้ พวกเด็กๆ ก็จับตัวจีหมิงซิวไปพูดพร่ำด้วยไม่หยุด เขาหาโอกาสคุยกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย ดังนั้นพอเฉียวเวยถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงตกใจยิ่งกว่าเฉียวเวยเสียอีก “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าให้ไปรับเด็กทั้งสองมาหรือ ข้าไม่วางใจ ก็เลยตามมาด้วย!”
“พวกเราให้ไปรับพวกท่านมา?” เฉียวเวยกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “เมื่อวันก่อนเพิ่งให้นกไปส่งจดหมาย อย่างเร็วที่สุดก็คงไปถึงเมืองหลวงเมื่อวาน พวกเจ้านั่งเครื่องบินหรือนั่งจรวดมากันหรือ ถึงได้วันนี้ก็มาถึงแล้ว”
เฉียวเจิงหัวเราะ เขกหน้าผากนางเบาๆ “ไก่บินจรวดบินอะไรกัน เจ้าเด็กนี้พูดแต่อะไรเพ้อเจ้อ!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จริงนะ พวกเราเพิ่งตัดสินใจจะรับตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาเมื่อวันมะรืนนี้เอง!”
“วันมะรืน? ไม่ใช่เป็นสิบวันแล้วหรอกหรือ” เขาชะงักไปคล้ายว่าในที่สุดก็คิดอะไรได้ เฉียวเจิงดูอึ้งไป “เจ้าสำนัก… ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าส่งไป?”
“เจ้าสำนัก?” เฉียวเวยงุนงงหนักกว่าเดิม
เฉียวเจิงบอกว่า “ก็คือผู้ชายที่วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเรียกว่าท่านอานั่นแหละ อายุไล่เลี่ยกับหมิงซิว คำพูดคำจากับพฤติกรรมออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย แล้วก็ใส่หน้ากากเหมือนหมิงซิวด้วย”
“ใส่หน้ากาก?” เฉียวเวยพึมพำอย่างใช้ความคิด พอคิดถึงอะไรได้ก็เปิดลิ้นชักหยิบภาพเหมือนภาพหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“ท่านพ่อ บุรุษคนที่ท่านกล่าวถึงใช่เขาหรือไม่”
เฉียวเจิงขยับเข้าไปดู “ใช่ เขานี่แหละ! แล้วยังบอกว่าไม่ใช่พวกเจ้าที่ส่งไปอีก ในมือเจ้าไม่ได้มีรูปเขาอยู่หรือ”
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นแววตกใจในดวงตาของอีกฝ่าย ตอนแรกบุรุษผู้นี้ถูกเฉียวเวยซ้อมไปยกหนึ่งตอนเกิดเรื่องวุ่นวายที่บ้านตระกูลจี ตอนหลังมาถูกเจ้าตัวปลอมประกาศตามล่าตัวเพราะเกิดเหตุวุ่นวายในปราสาทเฮ่อหลัน ถึงแม้เหตุวุ่นวายในปราสาทเฮ่อหลันจะเป็นเรื่องลวงถึงแปดเก้าสิบส่วน แต่เรื่องที่เขาทำให้พวกตัวปลอมไม่พอใจนั้นเป็นเรื่องจริง คนเช่นนี้เหตุใดถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุตรของตนได้
“ท่านพ่อ ท่านมั่นใจนะว่าเป็นเขาที่รับพวกท่านมายังชนเผ่าลึกลับ” เฉียวเวยถาม
เฉียวเจิงถลึงตาใส่บุตรสาว เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ย่อมมั่นใจแน่! พ่อเจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน นี่เจ้าคิดว่าพ่อเจ้าหูตาฟ่าฟางจนจำหน้าคนเป็นๆ ไม่ได้แล้วหรือ”
เฉียวเวยรีบจับแขนเขาไว้ “ท่านพ่อคนดีของข้า ข้าจะหมายความเช่นนั้นได้อย่างไร บุรุษผู้นี้เคยมีเรื่องมีราวกับตระกูลจีมาก่อน นี่ข้าไม่ได้กำลังกังวลว่าเขาจะสร้างความลำบากให้พวกท่านหรอกหรือ เขากับลูกน้องของเขาไม่ได้ทำให้พวกท่านลำบากกระมัง”
เฉียวเจิงตั้งใจใคร่ครวญ “เรื่องนี้ไม่มีนะ เขาประหลาดอยู่สักหน่อยก็จริง แต่ก็ดีกับพวกเรามาก” โดยเฉพาะกับจิ่งอวิ๋น เรียกได้ว่าตามใจมากทีเดียว เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบวั่งซูนัก คงเป็นเพราะวั่งซูมักมองทองคำบนตัวเขาแล้วน้ำลายไหลกระมัง
เฉียวเวยปล่อยมือจากแขนบิดาตนแล้วหันไปดึงแขนเสื้อจีหมิงซิว กระซิบบอกว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าตัวปลอมนั่นหลอกท่านตาให้ประกาศจับเขาหรอกหรือ ข้าว่าแปดส่วนคงเป็นเพราะในมือเขามีจุดอ่อนของเจ้าตัวปลอมอยู่ในมือ ดูท่าจุดอ่อนนั้นคงเป็นจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู”
จีหมิงซิวทำเสียงอื้อ “น่าจะเป็นอย่างนั้น”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว สูดอากาศเย็นเข้าปอดเบาๆ “เหตุใดเขาถึงต้องทำเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องหลอกจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาที่ชนเผ่าลึกลับ เขาคิดจะเล่นงานพวกเราหรือเล่นงานเจ้าตัวปลอมนั่นกันแน่”
จีหมิงซิวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง พูดอย่างไม่เดือดไม่ร้อนว่า “เล่นงานพวกเรา ก็ส่งตัวเด็กๆ ให้คนพวกนั้น เล่นงานคนพวกนั้นก็ควรส่งเด็กๆ ให้พวกเราตั้งแต่แรก แต่ระหว่างทางมาปราสาทไซน่านี้ข้าถามท่านพ่อแล้ว หลังจากเขาเข้ามาในชนเผ่าลึกลับ ปากบอกว่าจะมาหาพวกเรา แต่เอาเข้าจริงแค่เพียงพาเด็กๆ ไปเดินเล่นที่ในเมือง ตอนไปเดินเล่นในเมืองเกิดเหตุผิดพลาดบางอย่าง คนพวกนั้นเลยมาเจอจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเข้า”
เฉียวเวยขมวดคิ้วหนักขึ้น “เช่นนั้นเหตุใดตอนนี้เขาถึงยอมส่งตัวให้พวกเราเล่า”
จีหมิงซิว “เวลานี้เด็กทั้งสองคนเป็นดั่งเผือกร้อน ยิ่งเขารีบส่งตัวมาให้เร็วเท่าไร คนพวกนั้นก็จะเปลี่ยนเป้าหมายไปเร็วเท่านั้น”
เฉียวเวยพยักหน้า “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องพาตัวเด็กๆ มาที่ชนเผ่าลึกลับ ไม่ใช่เพราะต้องการเปิดโปงพวกตัวปลอมนั่นจริงๆ หรือ”
จีหมิงซิว “เจ้ากับเฉียวเวยตัวปลอมเพิ่งมีเรื่องกันมาไม่กี่วันเท่านั้น แต่เขาหลอกพวกเด็กๆ มาจากเมืองหลวงตั้งสิบกว่าวันแล้ว หากไม่ใช่ว่าเขารู้แผนการของคนพวกนั้นก่อน ก็คงเป็นเพราะนี่ไม่ใช่แผนการดั้งเดิมของเขา”
เฉียวเวยคิดถึงเหตุการณ์คราวก่อนที่ได้ประมือกับบุรุษผู้นั้นแล้วคิดว่าเจ้าคนปัญญาอ่อนนั่นคงไม่ฉลาดถึงขั้นคาดเดาแผนการของผู้อื่นได้ แต่หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น แล้วเขาจะพาเด็กทั้งสองมาที่ชนเผ่าลึกลับเพื่อจุดประสงค์ใดกัน
การคาดเดาจิตใจคนช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว! สมองเด็กวิทย์อย่างนางใช้การไม่ได้เอาเสียเลย!
เฉียวเวยฟุบลงกับโต๊ะอย่างเกียจคร้าน
จีหมิงซิวใช้นิ้วเรียวยาวจิ้มแก้มอมชมพูดของนาง “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องมีวันที่กระจ่าง”
“อื้อ” เฉียวเวยไม่ใช่คนที่ชอบหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ นางจะไม่เอาเรื่องที่ยังคิดไม่ตกมาทรมานตนเอง เรื่องที่นางใคร่รู้ต้องได้รับความกระจ่าง แต่จะกระจ่างวันนี้หรือวันหน้า หากไม่ได้ส่งผลต่อความปลอดภัยของชีวิตนาง สำหรับนางแล้วไม่ต่างกัน
เฉียวเวยอยู่สนทนากับเฉียวเจิงพักหนึ่ง สอบถามเรื่องระหว่างที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่โดยละเอียด
“ตอนแรกมีชายชุดดำท่าทางประหลาดมากกลุ่มหนึ่งมาลักพาตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปก่อน วั่งซูทำอย่างไรไม่รู้ถึงจับตัวคนผู้นั้นไว้ได้ ทั้งยังลากมาหาข้าถึงที่หอหลิงจือ หลังจากนั้นข้าเลยพาวั่งซูไปหาจิ่งอวิ๋น ตอนมาถึงปากตลาด มีคนนอนล้มระเนระนาดกันอยู่หลายคน จิ่งอวิ๋นบอกข้าว่าคนพวกนั้นจะจับตัวเขา แต่ได้ท่านอาผู้นั้นช่วยเอาไว้” เฉียวเจิงเล่าย้อนให้ฟัง
เฉียวเวยตกใจ “หากกล่าวเช่นนี้ ก็เท่ากับเขาช่วยจิ่งอวิ๋นไว้ด้วยน่ะสิ”
เฉียวเจิงพยักหน้า “ถูกต้อง”
เฉียวเวยเก็บภาพเหมือนไว้อย่างดี “เขาไม่มีกระทั่งวรยุทธ์ จะช่วยจิ่งอวิ๋นได้อย่างไร”
เฉียวเจิง “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ลูกน้องของเขาเก่งมากทีเดียว”
“แล้วอย่างไรอีก” เฉียวเวยซักต่อ
เฉียวเจิงผายมือออก “จากนั้นข้าก็มาที่นี่กับเขาน่ะสิ!”
คนผู้นั้นไม่เปิดเผยให้เฉียวเจิงรู้กระทั่งชื่อจริง เฉียวเจิงเลยได้แต่เรียกเขาว่าเจ้าสำนักตามลูกน้องของเขา บ้านที่พวกเขาพักอยู่ก็เป็นกระท่อมหลังเล็กกลางพื้นที่เปลี่ยวร้าง เจ้าสำนักแยกกับลูกน้องของเขาระหว่างทางไปกระท่อมหลังเล็ก เหลือคนที่ชื่ออาต๋าเอ่อร์ไว้คอยเรียกใช้ข้างกายเพียงคนเดียว
กระท่อมหลังเล็กแห่งนั้นน่าจะเป็นจุดพักชั่วคราว อีกฝ่ายเป็นเจ้าสำนักของสำนักใด มีชื่อว่าอะไร พักอยู่ที่ไหน ในตระกูลมีใครบ้าง เขาไม่รู้อะไรเลย
เฉียวเวยไม่รู้จะพูดอะไรกับบิดาตนดี คนเขาปิดบังข้อมูลถึงเพียงนี้ เขาไม่นึกสงสัยอะไรสักหน่อยเลยหรือ
“ท่านพ่อ เขาไม่บอกท่านกระทั่งชื่อ ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเขาอาจจะเป็นพวกต้มตุ๋นน่ะ”
เฉียวเจิงน่าสงสารยิ่งนัก “ที่ตัวเขามีเครื่องประดับหยกของลูกเขยอยู่ ข้าย่อมต้องเชื่อว่าเขาเป็นคนที่ลูกเขยส่งมาสิ”
“เครื่องประดับหยกของข้า?” จีหมิงซิวชะงักไป หยิบหยกไป๋อวี้หลันที่ทำจากหยกมันแพะที่พกติดตัวอยู่เป็นประจำออกมา “หยกนี้หรือ”
เฉียวเจิงรับมามองดูโดยละเอียด “อันนี้นี่แหละ!”
จีหมิงซิว “หยกชิ้นนี้เป็นหยกที่ท่านแม่ให้ปรมาจารย์ชุยที่เชิญมาช่วยทำให้ ข้าพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ไม่เคยให้ผู้ใดมาก่อน ท่านพ่อ ท่านมั่นใจว่าดูไม่ผิดใช่หรือไม่”
เฉียวเจิงเอ่ยหน้าเครียด “ข้ามั่นใจสิ ฝีมือการทำเครื่องประดับหยกชิ้นนี้ไม่เหมือนกับเครื่องประดับหยกทั่วไป บนตัวหยกสลักวันเดือนปีเกิดเจ้าเอาไว้ มองเผินๆ คล้ายเป็นลวดลายที่อยู่ภายใน วิธีการทำเช่นนี้สูญหายไปนานแล้ว ว่ากันตามตรงเดิมทีข้าก็อยากทำให้เฉียวเวยชิ้นหนึ่งเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ปรมาจารย์ชุยล้มป่วยเสียชีวิตไปแล้ว หนำซ้ำเขายังไม่มีทายาทหรือลูกศิษย์ลูกหา วิธีการดีๆ เช่นนี้จึงหายสาบสูญไป ข้าดูไม่ผิดแน่ หยกที่อยู่ในมือเขาก็คือหยกฝีมือปรมาจารย์ชุย เนื้อหยก ลวดลาย รูปแบบ ชะตาเวลาเกิด เหมือนกันทุกอย่าง”
เฉียวเวยลูบปลายคาง บอกกับจีหมิงซิวว่า “หรือว่าปรมาจารย์ชุยทำไว้อีกชิ้นหนึ่งโดยที่พวกเจ้าไม่รู้”
จีหมิงซิวลูบลวดลายที่อยู่บนตัวหยกแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “หยกชิ้นนี้มีชิ้นที่เหมือนกันทุกอย่างอยู่จริงๆ ชิ้นหนึ่งทำให้ข้า ชิ้นหนึ่งให้น้องชายข้า หลังจากน้องชายข้าสิ้นชีวิตไป หยกชิ้นนั้นก็ฝังลงไปพร้อมกับเขา”
สายตาเฉียวเวยพลันเป็นประกาย “ใช่ว่ามีคนเข้าไปขโมยของในสุสานตระกูลเจ้า แล้วเอาเครื่องประดับหยกของน้องชายเจ้าไปหรือไม่”
สุสานตระกูลจีมีการรักษาการอย่างแน่นหนา ขโมยขโจรทั่วไปไม่มีทางเข้าไปได้ อีกทั้งเจ้านายตระกูลจีทั้งหมดล้วนฝังอยู่ใต้ดินที่มีกลไกมากมาย ต่อให้เป็นยอดฝีมืออย่างไซน่าอิงเข้าไปก็ไม่อาจออกมาได้อย่างปลอดภัย
เพียงแต่ หากเครื่องประดับหยกของน้องชายไม่ได้ถูกคนขโมยไป เครื่องประดับหยกที่อีกฝ่ายมีจะไปเอามาจากที่ใด
จีหมิงซิวเพ่งมอง “การมาชนเผ่าลึกลับครานี้ช่างเต็มไปด้วยปริศนา”
ตกดึก ซาลาเปาน้อยทั้งสองอาบน้ำกันตัวหอมฟุ้งเสร็จก็ปีนขึ้นเตียงนอน
อากาศของชนเผ่าถ่าน่าค่อนข้างอบอุ่น แต่เมื่อถึงฤดูหนาว โดยเฉพาะยามกลางคืนที่มีฝนตก ก็ยังรู้สึกหนาวเย็นอยู่ดี ไฟในเตาผิงกำลังลุกโชน ภายในห้องอบอุ่นประหนึ่งแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ
ในที่สุดก็ได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ทั้งยังได้มาอยู่ในสถานที่ใหม่ๆ ซาลาเปาน้อยทั้งสองจึงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ โยนหมอนใส่กันไปมาอยู่บนเตียง วั่งซูโยนหมอนใส่จิ่งอวิ๋นจนหงายหลังล้มลงกับพื้นดังตึง!
จิ่งอวิ๋นสองตาเห็นดาว ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกมืออวบอ้วนของน้องสาวคว้าตัวกลับขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง
ในใจจิ่งอวิ๋นแหลกสลาย เขามีน้องสาวเช่นนี้ได้อย่างไร
พวกเขามีเจ้าไป๋ให้อุ้มด้วยกันทั้งคู่ เหตุใดน้องสาวถึงอุ้มจนมีพละกำลังมากล้น ส่วนเขากลับยังมีพละกำลังเท่าเดิมเช่นนี้
นี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
จิ่งอวิ๋นซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มด้วยความน้อยใจ ไม่เล่นแล้ว!
วั่งซูเล่นคนเดียวก็ยังเล่นอย่างสนุกสนาน
ตอนเฉียวเวยกับจีหมิงซิวกลับไปถึงห้อง จึงเห็นพี่คนโตนอนอยู่ในผ้าห่มอย่างเรียบร้อย ส่วนน้องสาวยังคงมุดไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง เฉียวเวยเดินเข้าไปจับต้องน้องสาวเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม “เจ้าดูสิพี่ชายเจ้าน่ารักเพียงใด ไม่ต้องให้คอยเป็นห่วง ส่วนเจ้าใกล้จะเป็นเจ้าลิงน้อยเข้าไปทุกที!”
จิ่งอวิ๋นรีบทำสีหน้าน่ารักอย่างเจ้าเล่ห์ทันที
เฉียวเวยเห็นบุตรชายทั้งว่าง่ายทั้งน่ารักเพียงนั้น ใจก็พลันอ่อนยวบ โน้มตัวลงไปหอมแก้มบุตรชาย “น่ารักจริงเชียว”
วั่งซู “ข้าก็อยากได้ๆ! ข้าก็น่ารัก!”
เฉียวเวยหยิกแก้มนาง “เจ้าคงไม่ต้องหรอกมั้ง หื้อ เจ้าลิงน้อย”
วั่งซูทำปากยื่นด้วยความน้อยใจ “ท่านแม่ใจร้าย!”
เฉียวเวยลูบจมูกบุตรสาว “ใจร้ายให้เจ้าดูนี่ล่ะ”
วั่งซูเอาหน้าซุกเข้าไปในผ้าห่ม
เฉียวเวยหมุนตัวไปเปิดตู้เสื้อผ้า จีหมิงซิวเดินเงียบๆ ไปที่เตียง ดึงผ้าห่มลง ก้มลงหอมใบหน้าน้อยอกน้อยใจของบุตรสาว วั่งซูเลยยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
พ่อกับลูกสาวส่งยิ้มให้กัน วั่งซูเอานิ้วชี้แตะที่ปากแล้วทำเสียงซู่ อย่าให้ท่านแม่รู้เชียว!
จีหมิงซิวพยักหน้าพร้อมทำหน้ามีความลับ
วั่งซูเลยยิ่งอารมณ์ดีใหญ่!
เฉียวเวยเห็นภาพนั้นจากในกระจก จึงทั้งโมโหทั้งขบขัน
จีหมิงซิวเองก็เห็นเฉียวเวยจากในกระจกเช่นกัน จึงทำท่าเอาอยู่ไปให้นาง
บุตรต้องเอาใจ ภรรยาก็ต้องเอาใจ บางครั้งเป็นบุรุษก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย
ตกกลางคืน ปราสาทไซน่าเข้าสู่ความเงียบงัน
สี่คนพ่อแม่ลูกนอนกันอยู่บนเตียงหลังใหญ่ที่อ่อนนุ่มแสนสบาย ซาลาเปาน้อยทั้งสองนอนอยู่ตรงกลาง เข้าสู่นิทรารมย์อันแสนหวานไปนานแล้ว จีหมิงซิวจับมือภรรยาไว้ “ยังไม่หายโกรธหรือ”
เฉียวเวยหลับตา ตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “บัญชีครานี้ข้าจะทดไว้ก่อน กลับเมืองหลวงไปค่อยคิดบัญชีกับท่าน”
จีหมิงซิวกระตุกมุมปาก ลุกขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วอ้อมไปทางฝั่งนาง ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วเลื่อนตัวเข้าไปดึงนางมากอด
เฉียวเวยอึ้งไป “เอ๊ะ ท่าน!”
จีหมิงซิวกอดนางไว้แน่น พ่นลมหายใจอุ่นร้อนที่ใบหูอีกฝ่าย “ไม่ได้บอกว่ากลับเมืองหลวงไปแล้วค่อยคิดบัญชีหรอกหรือ”
พูดอย่างนั้นก็จริง เพียงแต่…
จีหมิงซิวปิดตานางแล้วแตะจุมพิตเบาๆ ลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย
…