หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 235-2 พบท่านตาพร้อมหน้า เผยพิรุธตัวปลอม
ตอนที่ 235-2 พบท่านตาพร้อมหน้า เผยพิรุธตัวปลอม
ในเมืองเล็กๆ ที่ยากจน เงาดำของใครสองคนเคลื่อนไหวไปตามถนนใหญ่ที่ไร้ซึ่งแสงไฟ สายฝนทำให้เสื้อผ้าพวกเขาเปียกปอน ทั่วทั้งตัวไม่มีตรงใดที่แห้งสะอาด
ปังๆๆ
พวกเขาเคาะบานประตู
ไม่มีความเคลื่อนไหวจากด้านใน
พวกเขาเคาะอีก จนกระทั่งได้ยินเสียงรำคาญของเฟิงซานเหนียงดังออกมาว่า “ปิดร้านแล้ว ไม่ขายแล้ว อยากได้อะไรพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่!”
ปังๆๆ!
ยังคงเป็นเสียงเคาะประตู
เฟิงซานเหนียงสบถด่าก่อนเลิกผ้าห่มออก เอาเสื้อนอกมาคลุมตัว เปิดประตูหลังร้านสุราได้ก็เตรียมจะเอ่ยวาจาด่าทอ แต่จู่ๆ ก็อึ้งไปเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายชัดเจน “เป็นเจ้า?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแทรกตัวเข้ามา
อาต๋าเอ่อร์พยักหน้าให้เฟิงซานเหนียงก่อนจะแทรกตัวเข้ามาเช่นกัน
เฟิงซานเหนียงมองแขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญทั้งสอง ยกหมัดขึ้นก่อนจะปิดประตูแล้วเอากลอนขัดประตูอย่างเย็นชา “รู้หรือไม่ว่าเวลานี้ทั่วทั้งเกาะกำลังประกาศล่าตัวเจ้าอยู่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอื้ออย่างเรียบเฉย พาเอาตัวที่เปียกปอนไปหาเก้าอี้นั่ง
อาต๋าเอ่อร์นั่งลงตรงข้ามเขา
เฟิงซานเหนียงถลึงตาใส่เขาด้วยความจนใจ เดินเข้าไปหยิบสุราหนึ่งกากับจอกสองใบมาให้ “ไม่มีน้ำอุ่น ดื่มนี้ให้ร่างกายอบอุ่นหน่อยเถอะ”
อาต๋าเอ่อร์บอกขอบคุณเสร็จก็ยกกาขึ้นรินสุราสองจอก จอกหนึ่งยื่นให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก
เมื่อได้สุราฤทธิ์แรงลงท้อง ร่างกายก็นับว่าอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อบนตัวยังมีเสื้อผ้าที่เปียกชื้น จึงทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
เฟิงซานเหนียงหอบเสื้อผ้าจากข้างในมาให้สองชุด “เอ้า! เป็นเสื้อผ้าเก่าของเจ้าทั้งนั้น! ข้าลืมโยนทิ้ง!”
ทั้งสองเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดออกมา
เฟิงซานเหนียงเอาเนื้อย่างสองจานที่อุ่นร้อนแล้วมาวางบนโต๊ะ “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ เงินข้าก็ให้ไปแล้ว เจ้าลงชื่อประทับนิ้วแล้วด้วย นับว่าตกลงการค้ากันสำเร็จแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเอาตัวพวกเขาไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ ตามกฎแล้วต่อให้ข้าหาคนไปเฉือนเนื้อเจ้าก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรข้าแม้สักคำ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักควักถุงเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนลงบนโต๊ะ
อาต๋าเอ่อร์เหลือบมองเขาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร กินเนื้อย่างในถาดไปเงียบๆ ในตอนนั้นจู่ๆ เขาก็คิดถึงอาหารที่ตาแก่นั่นเป็นคนทำขึ้นมา
เฟิงซานเหนียงเปิดถุงเงินออกมานับ ส่งเสียงหึเย็นๆ แล้วบอกว่า “เหตุใดจึงหายไปครึ่งหนึ่งเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกินเนื้อไปชิ้นหนึ่ง “ถือเสียว่าเป็นค่าที่รังเก่าข้าถูกทำลายก็แล้วกัน”
เฟิงซานเหนียงเดือดจัด “รังเก่าผุๆ พังๆ ของเจ้านั่น! มีค่าสักเท่าไรกัน ยังมีหน้ามาหลอกเอาเงินข้าตั้งขนาดนี้อีก! เจ้าไม่คิดดูบ้างว่าเหตุใดข้าถึงต้องบอกเรื่องของเจ้า ข้าถูกทรมานจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้วรู้หรือไม่! หากไม่ใช่เพราะเจ้าผิดข้อตกลง ข้าจะเดือดร้อนเช่นนี้หรือ ข้าไม่มอบตัวเจ้าออกไปตอนนี้ก็ถือว่ามากล้นคุณธรรมแล้ว คนเลวอย่างเจ้ายังกล้าอมเงินข้าอีก! เจ้าคายออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ได้ยินหรือไม่ เจ้าเอาออกมา…”
นางยังไม่ทันพูดจบ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ลุกขึ้นหอมแก้มนางทีหนึ่ง
เฟิงซานเหนียงพลันอึ้งงัน ก่อนจะได้ยินเขาพูดต่อว่า “ไม่ต้องทอน”
พูดจบก็เดินขึ้นข้างบนไปเงียบๆ
เฟิงซานเหนียงงงงันไปหมด
อาต๋าเอ่อร์ช่วยอธิบายให้อย่างใจดี “จูบของใต้เท้าเจ้าสำนักมีค่าพันเหรียญทอง เขาอมเงินเจ้าไว้หนึ่งร้อยเหรียญทอง ที่เหลือเก้าร้อยเหรียญไม่ต้องทอนแล้ว”
เฟิงซานเหนียงมีก้อนโทสะแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอจนแทบจะขาดอากาศหายใจตาย “ไอเด็กบ้า! ไอเด็กบ้า! ไอเด็กบ้า!”
บนห้องใต้หลังคาสามเหลี่ยมที่แน่นขนัดเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ บนพื้นใช้ฟางแห้งกับนุ่นเก่ามาปูพื้นอย่างง่ายๆ
ตอนเฟิงซานเหนียงเดินถือโคมไฟหอบผ้าห่มขึ้นมานั้น ใต้เท้าเจ้าสำนักนอนหลับอยู่บนพื้นไปแล้ว
บนห้องใต้หลังคามีของเก็บอยู่ไม่น้อย บางส่วนเป็นของนาง บางส่วนเป็นของใต้เท้าเจ้าสำนัก
เมื่อตอนเขาเด็กๆ พ่อเลี้ยงของเขาเป็นแขกประจำของโรงสุรา พอได้กินเหล้าก็ไม่สนใจเขาอีก เขาไม่มีที่ใดให้ไป นางจึงให้เขานอนอยู่ในห้องใต้หลังคาบ้างเป็นครั้งคราว ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุห้าหกปี ตัวเล็กกระเปี๊ยก ผอมแห้งแรงน้อย ต่อให้ลุกขึ้นยืนหัวก็ยังไม่ชน
เขาถูกพ่อเลี้ยงทุบตีจนหัวปูดเลือดออกอยู่หลายครั้ง ก็เป็นนางที่แอบเอาเขาขึ้นมาซ่อนไว้บนห้องใต้หลังคา
ในห้องใต้หลังคามีเสื้อผ้าและของเล่นของเขาอยู่ แน่นอนว่าพวกเขายากจนมาก ดังนั้นของเล่นของเขาจึงเป็นกริชผุๆ กับธนูพังๆ ที่เก็บได้จากกองขยะเท่านั้น
ในตอนนั้นห้องใต้หลังคาสำหรับเขายังนับว่าใหญ่ เขายังตีลังกากลิ้งไปกลิ้งมาได้ แต่เวลานี้เขาโตแล้ว แม้แต่จะนอนยังต้องนอนขด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีที่ให้วางขา
เฟิงซานเหนียงวางโคมไฟลง กางผ้าห่มแล้วเอาห่มให้เขาอย่างเบามือ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินลงไป
…
ภายในห้องที่มืดสลัวแต่กว้างขวาง เตากำยานมีควันลอยออกมาอ่อนๆ
ฮาจั่วคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น ก้มหน้าลงด้วยความละอาย “ขอประทานอภัย ข้าจับพวกมันมาไม่ได้”
สตรีในห้องเอามือกุมหน้าผาก เบือนหน้าหนีไปด้วยความผิดหวัง
ด้านหลังฉากกั้น น้ำเสียงที่ยากจะแยกว่าเป็นบุรุษหรือสตรีพูดขึ้นเรื่อยๆ เจือแววเย็นชา “เหตุใดถึงจับไม่ได้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าสืบจนพบร่องรอยของพวกมันแล้วหรอกหรือ”
ฮาจั่วตอบว่า “หมาล่าเนื้อของเฟ่ยจยาสืบหาที่อยู่พวกเขาพบแล้ว ข้าพาองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุดสิบเก้าคนมุ่งหน้าไปจับตัวพวกเขา เดิมทีทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่แล้วจู่ๆ เฟ่ยจยากับหมาล่าเนื้อก็ไปโดนกับดักของพวกมันเขา ในกับดักมีกระดิ่งเตือนแขวนอยู่ พวกมันเลยรู้ว่าพวกเราบุกเข้ามา จึงหลบหนีไปได้ก่อน!”
คนที่อยู่หลังฉากกั้นพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ฮาจั่ว เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง จริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นทหารหาญที่เก่งกาจที่สุดของตระกูล จะต้องช่วยข้าเก็บกวาดอุปสรรคทุกอย่างไปได้แน่ แต่ดูจากผลงานของเจ้าในเดือนนี้ คล้ายว่าเจ้าไม่อาจเอาชนะใจและขึ้นมาอยู่ตำแหน่งข้างกายข้าได้”
ฮาจั่วก้มหน้า เอ่ยออกมาจากใจจริงว่า “ขอท่านโปรดอภัย! หลายครั้งนี้เป็นความผิดของข้าจริงๆ ขอท่านให้โอกาสข้าได้ชดเชยให้ท่านอย่างเต็มความสามารถด้วยเถิด! จงหยวนไม่ได้มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าใช้ความดีลบล้างความผิดหรอกหรือ ขอท่านให้โอกาสข้าได้ทำความดีชดใช้ความผิดด้วยเถิด!”
ด้านหลังฉากกั้นมีเสียงดูแคลนดังออกมา
สตรีในห้องเอ่ยปากบอกว่า “ใต้เท้า ตามที่ข้าเห็น เรื่องเมื่อหลายครั้งก่อนนั้นไม่อาจโทษฮาจั่วแต่เพียงผู้เดียวได้ คนพวกนั้นเจ้าเล่ห์มากทุบายกันเกินไปจริงๆ แผนการในเวลานี้ควรต้องรีบเร่งขับไล่พวกมันออกจากชนเผ่าถ่าน่าไปถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นแล้วหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกมันอาจทำการใหญ่ของเราพังได้”
คนที่อยู่หลังฉากกันเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าคิดว่าแขกของตระกูลไซน่าไล่ออกไปได้ง่ายเพียงนั้นหรือ ตระกูลไซน่า ตระกูลปี้หลัว สำนักผู้อาวุโส เป็นสามกลุ่มอิทธิพลที่กล้าแกร่งที่สุดของชนเผ่าถ่าน่า นอกจากตำหนักธิดาเทพแล้ว ไม่มีพละกำลังใดที่สามารถข่มพวกเขาอยู่ ต่อให้เป็นเหอจั๋วก็ใช่ว่าจะลงดาบพวกเขาได้ง่ายๆ”
สตรีนางนั้นเริ่มร้อนใจ “เช่นนั้น…ควรทำเช่นไร”
ฮาจั่วเอ่ยปลอบว่า “เสี่ยวจั๋วหม่าอย่าได้ร้อนรน พวกมันแค่หนีออกจากป่าไปได้ แต่ไม่แน่ว่าจะเข้าไปอยู่ในปราสาทไซน่าแล้ว พวกเราคอยรักษาปากประตูเอาไว้ให้ได้ อย่าให้พวกมันเข้าเมือง…”
เสียงที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นเอ่ยอย่างดูแคลน “เจ้ายังกลับเข้าเมืองมาแล้วเลย เจ้าคิดว่าพวกมันยืดยาดกว่าเจ้าหรือ”
ฮาจั่วไม่พูดอะไรอีก
คนที่อยู่หลังฉากกั้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ จะขวางคงขวางไม่อยู่แล้ว ทำได้เพียงค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว จำไว้ว่าอย่าให้เหอจั๋วได้พบนางเด็ดขาด!”
สตรีนางนั้นคิดถึงความเอ็นดูที่เหอจั๋วมีให้ตนแล้วพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ข้ารู้แล้ว”
…
วันต่อมา เด็กน้อยทั้งสองตื่นจากหลับฝัน ลืมตาขึ้นมา ท่านพ่ออยู่ ท่านแม่ก็อยู่ ในใจเต็มตื้นไปด้วยความยินดี จึงมีรอยยิ้มอิ่มเอมเผยออกมาให้เห็น
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ไซน่าฮูหยินกลับมาจากบ้านมารดา พอเข้ามาก็ได้ยินว่าบิดาและลูกๆ ของจั๋วหม่าน้อยมาที่นี่ จึงรีบไปเยี่ยมที่ห้องของเฉียวเวยทันที
จีหมิงซิวกับเฉียวเจิงกำลังวางหมากกันอยู่ ซาลาเปาน้อยทั้งสองกินอะไรกันอยู่ข้างๆ เสี่ยวไป๋เล่นสนุกกับม้วนผ้าอยู่คนเดียว พอหลุดมือก็วิ่งไปคว้ากลับมาเอง ต้าไป๋คร้านจะขยับตัว ฟุบอยู่ตรงต้นขาจิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นกินคำหนึ่ง ป้อนต้าไป๋คำหนึ่ง กินอีกคำหนึ่ง ป้อนต้าไป๋อีกคำหนึ่งโดยไม่รังเกียจน้ำลายมันสักนิด จูเอ๋อร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือถือกระจกด้ามไม้ที่ไม่รู้ไปลักมาจากจีหว่านตั้งแต่เมื่อไร กำลังส่องดูอย่างรักสวยรักงาม ทั้งยังคอยเอาดอกไม้แดงในจินตนาการขึ้นทัดหูเป็นระยะๆ
ไซน่าฮูหยินตกใจกับภาพที่ได้เห็น
เฉียวเวยเชิญนางเข้ามา เริ่มแนะนำเฉียวเจิงให้นางรู้จักก่อน
ทั้งสองทักทายปราศรัยกันด้วยความเกรงใจ
จากนั้นไซน่าฮูหยินก็หันไปมองเด็กชายและเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังกินผลไม้อยู่ที่โต๊ะ คนหนึ่งเป็นเทพบุตรตัวน้อย อีกคนเป็นเทพธิดาตัวน้อย น่ารักงดงามประหนึ่งหยกสลักก็มิปาน ตากลมโตกะพริบปริบๆ ขนตาทั้งยาวทั้งงอน ปากน้อยๆ แดงก่ำ ใบหน้าอวบอิ่มประหนึ่งเต้าหู้น้ำ ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก!
“นี่คือไซน่าฮูหยิน” เฉียวเวยแนะนำ
ซาลาเปาน้อยวางผลไม้กลับลงบนถาด ลงมายืนที่พื้น แล้วทำความเคารพอย่างชนเผ่าถ่าน่าตามที่เพิ่งได้เรียนมา “ไซน่าฮูหยิน”
“ชื่อของพวกเจ้าเล่า” เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ
“ข้าชื่อวั่งซู!”
“ข้าชื่อจิ่งอวิ๋น”
ไซน่าฮูหยินตบบ่าเด็กน้อยทั้งสอง เอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้ายินดี “ช่างเป็นเด็กที่น่ารักเหลือเกิน มาเที่ยวที่นี่สนุกหรือไม่”
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อันที่จริงขอเพียงได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ที่ไหนก็สนุกทั้งสิ้น!
ไซน่าฮูหยินจูงเด็กทั้งสองกลับไปที่เก้าอี้ พวกเด็กๆ ปีนกลับขึ้นบนเก้าอี้กันเอง แล้วลงมือกินผลไม้อีกครั้ง บนเกาะถ่าน่าอุดมสมบูรณ์ ผลไม้สดรสชาติดี อร่อยกว่าผลไม้ที่จงหยวนมากนัก
สายตาไซน่าฮูหยินมองไปที่หน้าของวั่งซู “ลูกสาวเจ้าหน้าเหมือนเจ้ายิ่งนัก แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นบุตรแท้ๆ ผู้อาวุโสที่โง่เขลาเหล่านั้น ครานี้คงได้เข้าใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นคนตระกูลเฮ่อหลัน ใครกันแน่ที่เป็นตัวปลอมจากต่างถิ่น!”
“อะไรคือคนตระกูลเฮ่อหลัน อะไรคือตัวปลอม” เฉียวเจิงถามด้วยความงุนงง เมื่อวานทุกคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการถกกันเรื่องที่มาที่ไปของเจ้าสำนักจนลืมบอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ให้เฉียวเจิงรู้
เฉียวเวยบอกเล่าว่าชนเผ่าลึกลับเป็นสถานที่เช่นไรรวมถึงฐานะของท่านแม่ให้เฉียวเจิงฟังทั้งหมด เฉียวเจิงอ้าปากค้างเป็นรูปตัว O กว้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้!
“แม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่” เขาคว้าหัวไหล่เฉียวเวยเอาไว้
เฉียวเวยถูกเขาบีบจนเจ็บ “ใช่”
“ข้ารู้อยู่แล้ว! ข้ารู้อยู่แล้ว! ข้ารู้อยู่แล้ว…” หน้าอกของเฉียวเจิงกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง “ข้าจะไปหาแม่เจ้า! นางไม่ได้พบหน้าข้าตั้งหลายปีเพียงนี้ ต้องคิดถึงข้าแล้วเป็นแน่!”
เฉียวเวยดึงเขาไว้ “ท่านพ่อ! ท่านแม่กักตัวฝึกวิชาอยู่ ท่านไปก็ไม่ได้พบนางหรอก! เรื่องเมื่อครานั้นไว้ข้าค่อยเล่าให้ท่านฟังโดยละเอียดอีกที เวลานี้จัดการพวกตัวปลอมกลุ่มนั้นให้เรียบร้อยเสียก่อนดีกว่า คนพวกนั้นไม่เพียงปลอมตัวเป็นข้า แต่ยังปลอมตัวเป็นวั่งซู จิ่งอวิ๋น ต้าไป๋เสี่ยวไป๋ จูเอ๋อร์ แล้วยังปลอมตัวเป็นท่านด้วย! หากไม่ฉีกหน้ากากพวกตัวปลอมเหล่านั้นออก แล้วเกิดท่านตาข้าให้ท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อตัวปลอมนั่นด้วยความดีใจ ท่านแม่ข้าคงได้กลายเป็นสะใภ้คนอื่นไปจริงๆ!”
เฉียวเจิงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะโดยพลัน ชิงเหยาเป็นภรรยาของเขา การจะมาแย่งชิงเหยาไปจากเขา นับว่าเกินไปแล้วจริงๆ!
พอกินมื้อเช้าเสร็จ ไซน่าฮูหยินพาพ่อลูกเฉียวเจิงกับเจ้าตัวน้อยทั้งห้าขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังปราสาทเฮ่อหลัน เฉียวเวยกับไซน่าฮูหยินไปด้วยกันคันหนึ่ง เฉียวเจิงกับพวกเด็กๆ อีกคันหนึ่ง
บนรถม้า เฉียวเวยหยิบภาพเหมือนของฮาจั่วขึ้นมา ภาพนี้เฉียวเจิงเป็นคนวาดเองกับมือ “ไซน่าฮูหยิน หลังจากพวกท่านพ่อข้าเข้ามาในชนเผ่าลึกลับแล้ว เคยถูกคนผู้นี้ไล่สังหาร ท่านรู้จักเขาหรือไม่”
ไซน่าฮูหยินตอบว่า “เขาคือฮาจั่ว เป็นบุตรนอกสมรสของตระกูลปี้หลัว”
ในชนเผ่าถ่าน่า ฐานะบุตรนอกสมรสนับว่าต่ำเตี้ยมาก ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นชนชั้นเดียวกับข้าทาสบริวาร แต่ก็ไม่อาจใช้แซ่ของบิดาได้ และไม่สามารถสืบทอดทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูล ไม่อาจมีชื่อในบัญชีตระกูล ถึงขั้นไม่เป็นที่ยอมรับของวงศ์ตระกูลด้วย
หลังจากพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะถูกขับออกจากตระกูล ไปตามหาหนทางเติบโตของตนเองข้างนอก พวกเขามีชีวิตที่รันทดยิ่งนัก แต่ก็บางคนที่ชีวิตมากล้นด้วยพละกำลัง อาศัยสองมือบุกบั่นไปทั่วหล้า ฮาจั่วเป็นหนึ่งในคนประเภทหลัง
ไซน่าฮูหยินพูดต่อว่า “เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ เขาเอาชนะเด็กทั้งหมดในตระกูลได้ตั้งแต่ยังเล็ก ความเป็นเลิศของเขาทำให้คนในตระกูลปี้หลัวต้องมองเขาใหม่ เสื้อผ้าอาหารการกินของเขาทั้งหมดอาศัยว่าได้มาจากเด็กคนอื่นในตระกูล พอเติบใหญ่จึงยังได้อยู่ในตระกูลปี้หลัว รับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองทหารปีกขวาของตระกูลปี้หลัว เขาเป็นคนที่เก่งกาจมาก”
เฉียวเวย “ไซน่าอิงกับเขา ใครวรยุทธ์ล้ำเลิศกว่ากัน”
“ย่อมต้องเป็นไซน่าอิงสิ!” ในใจของมารดาทุกคน บุตรของตนย่อมเก่งที่สุดเสมอ! “ไซน่าอิงเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งตระกูลไซน่า ต่อไปทุกอย่างของตระกูลไซน่าจะตกเป็นของเขา ต่อให้ฮาจั่วเก่งกาจเพียงใด อย่างดีที่สุดก็เป็นได้เพียงหัวหน้ากองทหารเท่านั้น เขาก็ไม่มีวันนำมาเอ่ยถึงในบรรทัดฐานเดียวกับไซน่าอิงของข้าได้!”
รถม้ามาถึงปราสาทเฮ่อหลัน
ไซน่าฮูหยินควักป้ายคำสั่งออกมา “ข้าต้องการพบเหอจั๋ว”
องครักษ์บอกว่า “ขออภัยด้วย ไซน่าฮูหยิน วันนี้เหอจั๋วติดธุระ จึงปฏิเสธไม่พบแขกขอรับ”
ไซน่าฮูหยินถามว่า “แม้แต่ข้าก็ไม่พบหรือ”
องครักษ์พยักหน้า “ขอรับ ฮูหยิน เหอจั๋วไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”
เฉียวเวยลอบพึมพำ นี่มันอะไรกัน อุตส่าห์รวมตัวกันได้ครบ ท่านตานางก็ไม่ยอมพบพวกนางเสียแล้ว
ไซน่าฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เรื่องอะไรกันแน่ถึงได้สำคัญเพียงนี้”
องครักษ์ตอบว่า “จั๋วหม่าน้อยล้มป่วย เหอจั๋วต้องดูแลนางขอรับ”
ไซน่าฮูหยินพลันหน้าบึ้ง “จั๋วหม่าน้อยกับผีน่ะสิ! นั่นมันตัวปลอม!”
องครักษ์รีบบอกว่า “ไซน่าฮูหยิน โปรดระวังคำพูดด้วย”
“ถุย!”
องครักษ์ไม่พูดอะไรอีก
เฉียวเวยหัวเราะเยาะในใจ เจ้าตัวปลอมนี้เก่งกาจนักนะ รู้ว่านางจะพาลูกๆ มาฉีกหน้ากากนาง เลยยึดท่านตาของนางไว้ ขัดขวางไม่ให้พวกนางได้พบหน้ากัน เพื่อให้ยืนอยู่ในตำแหน่งได้มั่นคง นางเองก็สู้เต็มที่เหมือนกัน
ไซน่าฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกๆ ข้าต้องการพบเยียนฮูหยิน เช่นนี้คงได้กระมัง”
“เรื่องนี้…” องครักษ์มีท่าทีลังเล
ไซน่าฮูหยินพูดเสียงดังขึ้น “เยียนฮูหยินก็ต้องดูแลจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมนั่นด้วยหรือ”
องครักษ์บอกว่า “เยียนฮูหยินไปด้วยกันกับเหอจั๋วขอรับ”
“เจ้าคนสารเลว!” ไซน่าฮูหยินถีบองครักษ์จนลงไปกองกับพื้น นางลงจากรถม้า จะเดินเข้าไปในปราสาท ในตอนนั้นองครักษ์สิบกว่าคนถือหอกยาวเข้ามาล้อมไว้
หัวหน้าองครักษ์เอ่ยเสียงเข้มว่า “ไซน่าฮูหยิน พวกเราไม่อยากพลั้งมือทำร้ายท่าน เชิญท่านกลับขึ้นรถม้าเถิด”
ไซน่าฮูหยินเอ่ยเสียงเย็น “ข้าต้องการพบเหอจั๋ว!”
หัวหน้าองครักษ์ไม่ยอมผ่อนปรน “เหอจั๋วมีคำสั่ง วันนี้จะไม่พบใครทั้งสิ้น หากไซน่าฮูหยินต้องการพบเหอจั๋ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่จะดีกว่า!”
ไซน่าฮูหยินทำเสียงหึ “หากข้าจะพบวันนี้ให้ได้เล่า”
“เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องไม่เกรงใจแล้ว” พูดจบเขาก็ส่งสัญญาณมือ องครักษ์ทั้งหมดกรูกันเข้ามาจับแขนไซน่าฮูหยินไว้ แล้วลากนางกลับขึ้นรถม้า
เฉียวเวยกระโดดลงมา ดึงองครักษ์สองคนนั้นออกไป องครักษ์คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแรงเยอะเพียงนี้ พอยืนไม่มั่นจึงล้มลงกับพื้นไปทั้งอย่างนั้น!
หัวหน้าองครักษ์เริ่มขุ่นเคือง ที่เขาเกรงใจไซน่าฮูหยิน นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นประมุขหญิงแห่งตระกูลไซน่า แต่สตรีนางนี้โผล่มาจากไหนกัน ถึงขั้นกล้ากระทำการอุกอาจในปราสาทเฮ่อหลัน!
“ทหาร! จับตัวนางไว้ให้ข้า!”
“ธิดาเทพมา…”
บนถนนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงรายงานที่ยืดยาวแต่น่าเกรงขามดังขึ้น องครักษ์ที่ชักดาบเข้าใส่เฉียวเวยพร้อมใจกันวางดาบลง มือขวาแตะบนหัวไหล่ซ้าย ก้มศีรษะลงจากใจจริง
หัวหน้าองครักษ์ก็เช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ไซน่าฮูหยินยังดึงเฉียวเวยไปให้ถอยหลบไปด้านหนึ่ง จากนั้นไซน่าฮูหยินก็ก้มศีรษะที่เย่อหยิ่งลง รักษาท่าทางให้อยู่ในความเคารพ
เสลี่ยงที่มีสาวใช้ในชุดสีอ่อนสิบหกคนหามค่อยๆ เคลื่อนมาถึงหน้าประตูใหญ่ บนเสลี่ยงมีผ้าโปร่งสีแดงกึ่งโปร่งใสคลุมอยู่ ด้านในผ้าคลุมมีเรือนร่างงดงามปรากฏให้เห็นลางๆ
พอมีลมอ่อนๆ พัดมา ในอากาศก็มีกลิ่นบุปผาหอมอ่อนๆ ลอยมาด้วย
สาวใช้ทั้งสิบหกคนรูปลักษณ์งดงามประหนึ่งดอกไม้ จังหวะการก้าว สีหน้าท่าทาง การวางเท้าไม่มียุ่งเหยิงสักนิด
เสลี่ยงนั้นเคลื่อนผ่านเฉียวเวยไป ไม่มีทีท่าจะหยุดชะงัก ส่วนองครักษ์ที่ก่อนหน้านี้ยังปฏิเสธไม่ให้ไซน่าฮูหยินเข้าไปด้านใน เวลานี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางเสลี่ยงไม่ให้เข้าไปข้างในกันสักคน
แต่แล้วจู่ๆ เสลี่ยงก็หยุดลง
สาวใช้ในชุดสีฟ้าที่เป็นหัวหน้าถามว่า “เหอจั๋วอยู่หรือไม่”
หัวหน้าองครักษ์ตอบว่า “อยู่ขอรับ”
สาวใช้ในชุดสีฟ้าไม่พูดอะไรอีก เดินนำเสลี่ยงเข้าประตูใหญ่ไปทันที
เฉียวเวยเบ้ปาก เหตุใดครานี้ถึงไม่บอกว่าเหอจั๋วกำลังอยู่เป็นเพื่อนหลานสาวที่กำลังล้มป่วย ปฏิเสธไม่พบแขกคนใดแล้วเล่า
สตรีบนเสลี่ยงยกมือขึ้น
สาวใช้ในชุดสีฟ้าเอ่ยว่า “หยุดก่อน”
ทุกคนจึงหยุดฝีเท้า
สาวใช้ในชุดสีฟ้าเขยิบเข้าไปใกล้เสลี่ยง พูดบางอย่างกับธิดาเทพผ่านม่านโปร่ง เสียงเบาจนไม่มีใครได้ยิน จากนั้นสาวใช้ในชุดสีฟ้าก็เดินเข้ามาหาไซน่าฮูหยินกับเฉียวเวย “ธิดาเทพถามว่าพวกเจ้ามีธุระอะไร”
ไซน่าฮูหยินตอบว่า “พวกเรามีธุระต้องการเข้าพบเหอจั๋ว”