หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 239-2 ตัดสินแพ้ชนะ ทั้งตระกูลร่วมต่อสู้
ตอนที่ 239-2 ตัดสินแพ้ชนะ ทั้งตระกูลร่วมต่อสู้
สตรีนางนั้นสังเกตเห็นสายตาของเฉียวเวย จึงหันมามองพร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน
ยิ้มกะผีน่ะสิ!
เฉียวเวยยกชาขึ้นจิบเรียบๆ
ใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว สมาชิกในครอบครัวที่จำนวนเท่ากัน เมื่อทั้งสองฝ่ายมาปรากฏตัว จึงสร้างความฮือฮาขึ้นไม่น้อย
ผู้อาวุโสใหญ่ลุกขึ้นยืน เดินไปทางรั้วระเบียงแล้วยกมือขวาขึ้นอย่างน่าเกรงขาม บรรยากาศค่อยๆ เงียบลง ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงน่าเรียบเฉยว่า “วันนี้ที่เชิญทุกท่านมายังเมืองถ่าน่า เชื่อว่าทุกท่านคงทราบเหตุผลกันดีอยู่แล้ว จั๋วหม่าของพวกเราให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งไว้ที่จงหยวน เวลาผ่านไปยี่สิบปี ในที่สุดจั๋วหม่าน้อยก็ได้กลับชนเผ่าถ่าน่ามาอยู่พร้อมหน้ากับเหอจั๋วสักที อันที่จริงเรื่องนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง แต่ก็นำมาซึ่งความหนักใจเหลือแสน เมืองถ่าน่ามีคนที่อ้างตนว่าเป็นจั๋วหม่าน้อยด้วยกันถึงสองคน พวกเราไม่รู้ว่าควรเชื่อคำพูดใคร แต่พวกเรามีเหตุให้เชื่อมั่นว่า จั๋วหม่าน้อยเป็นเด็กที่องค์เทพตั้งใจเลือกสรร องค์เทพจะชี้นำพวกเราและหาตัวจั๋วหม่าน้อยที่แท้จริงออกมาให้เราเอง”
เขาพูดจบก็เอามือขวาแตะหัวไหล่ซ้าย แล้วก้มหน้าสงบนิ่งเป็นเวลาสามวินาที
ทุกคนในที่นั้นทำท่าเดียวกัน
หลังจากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ลดมือลง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าถ่าน่ามีเพียงหนึ่งเดียว นางมีสติปัญญาที่ไม่อาจเทียบเทียม มีพรสวรรค์โดดเด่นเหนือผู้ใด ในตัวนางมีสายเลือดอันสูงศักดิ์ของชนเผ่าถ่าน่าไหลเวียนอยู่ นางจะใช้ความสามารถที่แท้จริงพิสูจน์กับทุกท่านว่านางคือทายาทแห่งตระกูลเฮ่อหลันโดยแท้จริง!”
ในลานประลองมีเสียงโห่ร้องดังระงม
เฉียวเวยได้รับการเยินยอเสียจนตัวลอย ไม่เสียแรงที่เป็นงานสาธารณชนจริงๆ พูดเสียนางยังเริ่มสงสัยในตัวเอง คล้ายว่าต่อให้เอาชนะเจ้าตัวปลอมนั่นได้ นางก็ไม่มีหน้าไปประกาศตนกับตระกูลเฮ่อหลันอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ยังคงแสดงความสามารถในการปลุกใจชาวประชาต่อไป บรรยากาศภายในงานจึงร้อนระอุถึงขีดสุด
เฉียวเวยหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ ไซน่าฮูหยินเห็นนางทำท่าพร้อมสังหารคนเต็มที่ ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ”
เฉียวเวยตอบ “เตรียมตัวต่อสู้อย่างไรเล่า!”
ไซน่าฮูหยินอึ้งไป “ต่อ ต่อสู้?”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าข้าต้องประชันฝีมือกับนางหรือ”
ไซน่าฮูหยินอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะหัวเราะพรืดออกมา “พวกเจ้าต้องประชันฝีมือกันก็จริง ทว่าไม่แน่ว่าจะเป็นการต่อสู้”
ครานี้ถึงคราวเฉียวเวยอึ้งงันไปบ้าง
ไม่นานเฉียวเวยก็ได้เรียนรู้วิธีการ “ต่อสู้” ตามแบบฉบับของชนเผ่าถ่าน่า
“…องค์เทพมีบัญชามายังพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าเพียงต้องเขียนคำบัญชาขององค์เทพออกมา” น้ำเสียงก้องกังวานของผู้อาวุโสใหญ่ สะท้อนไปมาอยู่ในลานประลอง
สาวใช้หลายคนถือกระดาษพู่กันเข้ามา เดินเข้าไปหาผู้เป็นใหญ่ทุกท่าน ผู้เป็นใหญ่เอากระดาษไปเขียนบางอย่าง ก่อนจะพับอย่างเรียบร้อยแล้วส่งให้สาวใช้
ไม่เพียงแต่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แม้แต่พวกเฉียวเวยก็ได้รับกระดาษกับพู่กันเช่นกัน
“นี่ให้ทำอะไร” เฉียวเวยถาม
ไซน่าฮูหยินตอบว่า “พวกเจ้าอยากท้าพวกเขาประลองอะไร ก็ให้เขียนลงบนกระดาษ พวกเขาอยากท้าประลองอะไรกับพวกเจ้า ก็สามารถเขียนลงบนกระดาษนี้ได้เช่นกัน ทุกคนอยากเห็นพวกเจ้าประลองอะไรกัน ก็ให้เขียนลงบนกระดาษนี้ สุดท้ายจะตัดสินด้วยกันจับฉลาก ซึ่งนั่นจะถือเป็นบัญชาจากองค์เทพ”
โอ้สวรรค์ คนชนเผ่าถ่าน่าสนุกกันเพียงนี้เชียวหรือ
เฉียวเวยเผยอปาก “เช่นนั้นหากจับได้อันที่ข้าทำไม่เป็นจะทำอย่างไร”
ไซน่าฮูหยิน “เช่นนั้นก็เท่ากับว่าองค์เทพไม่คุ้มครองเจ้า”
อย่างมงายเพียงนี้ได้หรือไม่!
ไซน่าฮูหยินถามอย่างใส่ใจว่า “พวกเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องอะไรกัน ท่านปู่ของไซน่าอิง ท่านพ่อข้า กับท่านผู้นำอีกหนึ่งคน เขียนให้ได้แล้วสามข้อ แล้วบนชั้นสามยังมีคนของพวกเราอยู่อีก”
เฉียวเวย “…”
แล้วที่บอกไว้เสียดิบดีว่าเป็นบัญชาสวรรค์เล่า
ของอย่างนี้ย่อมต้องเขียนสิ่งที่ตนถนัดและสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้
เฉียวเวยหันไปมองบุตรกับท่านพ่อของตน
จิ่งอวิ๋นเขียนว่า “ท่องกลอน”
วั่งซูเขียนว่า “กินอาหาร!”
เฉียวเจิงเขียนว่า “หมากฉินภาพวาด!”
ยอดเยี่ยมที่สุด!
วิธีการประลองเช่นนี้มองเผินๆ อาจดูน่าขัน แต่เมื่อไตร่ตรองโดยละเอียดแล้วนับว่ามีข้อดีเฉพาะตัวแฝงอยู่ เพราะวิธีการเช่นนี้สามารถทดสอบความสามารถในการพลิกแพลงตามสถานการณ์กับความสามารถโดยรวมของคนคนหนึ่งได้ แน่นอนว่ายังรวมถึงความมีโชคของคนผู้นั้นด้วย เฉียวเวยคิดว่าตนเองดวงไม่นับว่าดีเท่าไร แต่ในชาตินี้ก็ไม่นับว่าย่ำแย่ คงไม่ถึงขั้นจับฉลากได้สิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ ใครกันจะโชคร้ายเพียงนั้น
ไม่นานการประลองก็เริ่มต้นขึ้น
คู่แรกที่ออกมาประลองคือจั๋วหม่าน้อย เฉียวเวยกับสตรีนางนั้นเดินลงมายังพื้นที่โล่งกว้าง
สาวใช้ยกกล่องผ้าไหมไปตรงหน้าเหอจั๋ว เหอจั๋วหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง สาวใช้เปิดออกอ่าน หมากฉินภาพวาด
ชั่วขณะที่ได้ยินสี่คำนั้น เฉียวเวยพลันซวนเซจนเกือบล้มลง!
เรื่องการต่อสู้นางไม่เป็นรองใคร แต่หมาก ฉินอะไรนี่ นางไม่เอาอ่าวเลยสักนิด!
ท่านพ่อ นี่ท่านกะจะแกล้งข้าใช่หรือไม่!
เฉียวเจิงเอามือปิดตา เขาไม่มีกำลังใจจะดูต่อแล้ว
สาวใช้ถือฉินโบราณเข้ามา สตรีนางนั้นเอาปลอกนิ้วขึ้นมาสวม พอปลายนิ้วกรีดลง เพลง “กว่างหลิงซั่น” อันไพเราะก็ดังขึ้น
ขุนนางไม่เป็นขุนนาง ประมุขไม่เป็นประมุข ความเจริญรุ่งเรืองม้านับหมื่นกลับคืนสู่ภูผา กระต่ายเจ้าเล่ห์ ธนูชั้นยอด หลังจากข้า ประมุขบาดเจ็บ บทเพลงกว่างชิงซั่นบรรเลงอีกครั้งเฝ้ารออวิ๋นเหนียง
ความดุดัน เศร้าหมอง ทอดถอนใจ… รวมอยู่ในเสียงฉินที่บรรเลงจากปลายนิ้วของนาง ส่งอารมณ์สะท้อนก้องไปมา
เมื่อจบเพลง ทุกคนพากันเผยสีหน้าชื่นชม
สาวใช้เดินเข้าไปหาเฉียวเวย “ฮูหยิน ตาท่านแล้ว”
เฉียวเวยลอบโอดครวญ นางดีดฉินไม่เป็นสักนิด ใช้ฉินดีดค่อยว่าไปอย่าง!
เฉียวเวยกระแอมไอ ยื่นมือไปวางลงบนสายฉิน ออกแรงดีดเบาๆ เพี๊ยะ! สายฉินขาด!
ในลานประลองพลันเกิดเสียงฮือฮา
เฉียวเวยกลั้นใจ ดีดฉินอีกเส้นหนึ่ง พลันได้ยินเสียงเพี๊ยะ ขาดอีกแล้ว!
ดีดอีก ก็ขาดอีก!
แค่เพียงไม่กี่ที สายพินทั้งห้าก็ขาดสะบั้นจนสิ้น
ในลานมีเสียงฮาครืน
เฉียวเวยลุกขึ้นยืนด้วยความหัวเสีย “ฉินอะไรไม่ได้ความเลย เอาออกไป!”
สาวใช้เข้ามายกฉินออกไปอย่างเชื่องช้า ใจคิดว่าดีดสายฉินชั้นเลิศเพียงนี้ให้ขาดหมดได้ก็ไม่ง่ายเลย
พูดตามจริง สตรีนางนั้นก็แปลกใจมากเช่นกัน ดีร้ายอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูจวนเอินปั๋ว เหตุใดกับแค่ดีดฉินก็ยังทำไม่ได้ ทว่าสำหรับนางแล้วกลับนับเป็นเรื่องดี
สตรีนางนั้นยิ้มอย่างได้ใจ “บอกแต่แรกแล้วว่าเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้”
การประชันหลังจากนั้น เฉียวเวยก็แพ้เรียบอย่างไม่เกินความคาดหมายสักนิด ทำไมยุคนี้ถึงไม่มีหมากฮอสนะ ทำไมๆๆ…
การเขียนพู่กันยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตัวอักษรของอีกฝ่ายเรียวสวยงามสง่า ส่วนของเฉียวเวยกลับคล้ายฝืนกดลงบนกระดาษ แต่ละตัวแทบอยากจะกระโดดออกมาจากกระดาษ ซ้ำยังขาดขีดนั้นจุดนี้เสียอีก
ย่ำแย่ ย่ำแย่เสียเหลือเกิน!
สี่ประเภทแพ้ไปแล้วสาม วาดภาพก็ไม่ต้องแข่งแล้ว
เฉียวเวยหน้าบึ้ง กลับไปนั่งที่แล้วปลดผ้าม่านลง ซุกหน้าเข้ากับอกของจีหมิงซิว ทำเสียงกระซิกๆๆ ขอคำปลอมใจ
จีหมิงซิวลูบศีรษะภรรยาด้วยความเอ็นดู “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่ายังมีพวกจิ่งอวิ๋นหรอกหรือ”
จิ่งอวิ๋นทั้งสองลงสนาม ครานี้หัวข้อที่จับได้คือ…กินอาหาร
ในใจเฉียวเวยรู้สึกคล้ายโลกถล่ม วั่งซู… วั่งซู ลูกสาวที่น่ารักของข้า เจ้าวางยาพี่ชายเจ้าเสียแล้ว!
คนท้องเล็กกระเพาะเล็กอย่างจิ่งอวิ๋น ข้าวครึ่งชามยังกินไม่หมด แม้แต่เด็กทั่วไปยังกินมากกว่าเขา กระทั่งหลิวเกอร์ที่เลือกกินยังกินเยอะกว่าเขา ตานี้จิ่งอวิ๋นแทบจะไม่มีหวังชนะอีกฝ่ายได้เลย
ไม่นานก็ถึงตาวั่งซู
วั่งซูตบบ่ามารดา “ท่านแม่วางใจเถิด ข้าต้องชนะแน่!”
ใช่สิ เด็กคนนี้ไม่เคยดวงไม่ดีมาก่อน ครานี้ก็ต้องไม่ต่างกันแน่
หัวข้อการประชันของวั่งซูทั้งสองออกมาว่า…ท่องกลอน
เฉียวเวย “…”
“ห่านห่านห่าน ส่งเสียงร้องก้องฟ้า ขนขาวลอยเหนือผิวน้ำเขียว ขาแดงแหวกผิวน้ำ”
นี่คือวั่งซู “ห่านห่านห่าน ส่งเสียงร้องก้องฟ้า ขนขาวลอยเหนือผิวน้ำเขียว ขาแดงแหวกผิวน้ำ”
ยังคงเป็นวั่งซู
“ห่านห่านห่าน ส่งเสียงร้องก้องฟ้า ขนขาวลอยเหนือผิวน้ำเขียว ขาแดงแหวกผิวน้ำ”
ก็ยังคงเป็นวั่งซู
“เจ้าท่องบทอื่นได้อีกหรือไม่” สาวใช้ถาม
“ไม่ได้แล้ว!” วั่งซูตอบ
อีกด้านหนึ่ง เด็กหญิงท่องกลอน “หอกระเรียนเหลือง” “เห็นใจชาวนา” “ใบไม้ผลิยามย่ำค่ำ” “ล่องเรือสู่เมืองไป๋ตี้” และ “ผู้สันโดษที่หายไป” อันที่จริงนางท่องบนอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่ได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับวั่งซูก็แทบจะเรียกว่าเป็นเด็กอัจฉริยะได้เลย!
ครอบครัวนี้นับว่าวางยาตัวเองได้อย่างหมดรูปจริงๆ
เฉียวเวยซบอยู่กับอกจีหมิงซิว หมดสิ้นความหวังไปแล้ว
คนสุดท้ายที่ออกโรงคือเฉียวเจิง
คราก่อนตอนประลองความรู้เกี่ยวกับเฮ่อหลันชิง เฉียวเจิงแพ้ราบคาบ ใจจึงอัดแน่นไปด้วยไฟโทสะ เขากำลังหงุดหงิดที่ไม่มีโอกาสได้เผาทำลายเจ้าตัวปลอมนี้ให้สิ้นซากอยู่ทีเดียว ครานี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกู้หน้ากลับคืนมาให้ได้!
ชิงหลวนเป็นของเขา ใครก็แย่งไปไม่ได้ทั้งสิ้น!
วันนี้ไม่ว่าจะประลองอะไร เขาจะต้องบดขยี้เจ้าคนที่น่าโมโหนั่นให้จมดินให้ได้! ต้องสั่งสอนให้เขารู้ว่าความเก่งกาจของเฉียวปั๋วเป็นอย่างไร!
หลังจากนั้น หัวข้อของท่านพ่อเฉียวทั้งสองคนของออกมา
เฉียวเจิงพอได้เห็นตัวอักษรตัวใหญ่ห้าตัวเขียนว่า – ใช้หน้าอกบีบหิน สองตาก็พลันลอยคว้าง เป็นลมหงายหลังไปทันที!