หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 24 ตกลง
ตอนที่ 24 ตกลง
การที่ซิ่วไฉเฒ่าเสนอตัวเป็นอาจารย์ให้เด็กๆ เป็นเรื่องที่เฉียวเวยคิดไม่ถึง ประการแรกนางกับซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยมีไมตรีต่อกัน ประการที่สองซิ่วไฉเฒ่าเป็นผู้รักสันโดษ หากเขาต้องการรับลูกศิษย์จริงก็คงรับไปนานแล้ว แปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้จะหาเด็กที่ต้องการเรียนหนังสือไม่ได้เชียวหรือ
แน่นอนว่าส่วนที่ทำให้เฉียวเวยคิดไม่ถึงที่สุดก็คือประโยคที่ว่า ‘ข้าไม่คิดเงิน’
ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้
เฉียวเวยมองสำรวจซิ่วไฉเฒ่าอย่างระแวง เขาคงไม่ได้คิดอะไรแปลกๆ กับลูกๆ ของตนหรอกกระมัง
ซิ่วไฉเฒ่าเห็นสีหน้าของเฉียวเวยก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจตนผิดแล้ว เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไม่ออกแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเช่นไร
ในตอนนี้เองมารดาของเอ้อร์โก่วจื่อที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ก็เดินเข้ามา “ท่านบัณฑิต เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะสอนหนังสือให้เด็กๆ ไม่คิดเงิน จริงหรือไม่”
ซิ่วไฉเฒ่า “…”
ข้าหมายถึงลูกน้อยของคุณหนู ไม่ได้พูดถึงเด็กน้อยบ้านเจ้าเสียหน่อย!
มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อเอ่ยว่า “ถ้าไม่คิดเงิน ข้าจะส่งเอ้อร์โก่วจื่อกับน้องชายเขาไปเรียนกับท่านด้วย”
ปีนี้เอ้อร์โก่วจื่ออายุสิบปีแล้ว น้องชายอายุเจ็ดปี แต่ทั้งคู่ต่างอ่านหนังสือไม่ออก
เสียงของนางดังมาก โวยวายเหมือนจะเรียกคนทั้งหมู่บ้านมามุง หลังจากนั้นทุกคนก็รู้เรื่องที่บัณฑิตเฒ่าจะสอนหนังสือไม่คิดเงิน
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาไม่อยากสั่งสอนเจ้าลิงทโมนพวกนี้สักนิด หากอยากสอนคงทำไปนานแล้ว จะต้องรอถึงตอนนี้หรือ ในอดีตนายท่านเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตเขาไว้ เขาตอบแทนนายท่านไม่ได้จึงอยากดูแลคุณหนูให้มากสักหน่อย คนกลุ่มนี้เหตุใดจึงบิดเบือนเจตนาของเขาเช่นนี้เล่า
“เสี่ยวเฉียว…” เขามองไปหาเฉียวเวย
เฉียวเวยเอ่ยขัดคำพูดเขา “เจตนาดีของท่านบัณฑิต เดิมทีข้ามิควรปฏิเสธ แต่ข้าไม่ต้องการรบกวนท่านบัณฑิต ให้ข้าพาพวกเขาไปเข้าสถานศึกษาเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบเอ่ยว่า “สถานศึกษาไม่รับเด็กผู้หญิง! ต่อให้เป็นจิ่งอวิ๋น เขาก็อายุน้อยเกินไป สถานศึกษาย่อมไม่รับ”
น้องชายของชุ่ยอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงัก สถานศึกษาของพวกเขารับแต่เด็กชายที่อายุเต็มเจ็ดปีแล้วเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เฉียวเวยจึงลำบากใจ แต่นางต้องการให้ลูกเรียนหนังสือจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะรู้สึกว่าพาลูกไปค้าขายด้วยไม่สะดวกเท่าอนั้น แต่นั่นเป็นความต้องการอันแน่วแน่จากก้นบึ้งหัวใจนางด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าจึงเอ่ยว่า “เจ้าวางใจฝากลูกไว้กับข้าเถอะ”
“ถ้าเช่นนั้น…” เฉียวเวยกวาดสายตามองทุกคน “ทุกคนไปด้วยหรือไม่”
“ไปสิ!” ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
ซิ่วไฉเฒ่า “…”
ไม่มีผู้ใดถามเขาหรือว่าจะรับหรือไม่
เฉียวเวยลังเลเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ หากทุกคนไปกันหมด ข้าก็จะให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปด้วย”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ หากทุกคนไม่ไป ลูกของเจ้าก็จะไม่ไปหรือ
ซิ่วไฉเฒ่าอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา รู้สึกว่าถูกคุณหนูของตนหลอกให้ตกหลุมพรางเข้าแล้ว
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าก็ยอมรับการตัดสินใจ (การข่มขู่) ของเฉียวเวย เขารับลูกศิษย์รวดเดียวสิบกว่าคน นี่แค่คนที่ทราบข่าวตอนนี้เท่านั้น หลังจากนี้หากกลายเป็นเรื่องปกติ จำนวนคนคงเพิ่มขึ้นอีก
เฉียวเวยในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจอย่างไม่ตั้งใจของตนจะทำให้ในอนาคตอันใกล้หมู่บ้านซีหนิวกลายเป็นหมู่บ้านที่ไม่มีผู้ใดอ่านหนังสือไม่ออกแห่งแรกของยุคนี้
หัวหน้าหมู่บ้านได้ข่าวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เขารีบส่งคนไปมอบข้าวสารยี่สิบชั่งกับเนื้อแดดเดียวที่ตากอย่างดีสิบชั่งให้ซิ่วไฉเฒ่า บัณฑิตเฒ่าไม่รับเงินเป็นความยิ่งใหญ่ของบัณฑิตเฒ่า เขาหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้ต้องให้รางวัลการกระทำเช่นนี้สิ!
ทุกคนทยอยกันหิ้วของเล็กน้อยมามอบให้ซิ่วไฉเฒ่า เฉียวเวยก็มอบไก่ป่าที่ล่าได้เมื่อวานให้ซิ่วไฉเฒ่าเช่นกัน
ซิ่วไฉเฒ่าผู้ที่บ้านโล่งโจ้งมีแต่กำแพงสี่ด้าน เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นคนมั่งคั่งที่สุดในหน้าหนาวนี้!
ยุ่งเรื่องเรียนเสร็จ เฉียวเวยก็พาลูกๆ ไปดูที่ดินทางตะวันออกของหมู่บ้านผืนนั้น ขนาดใหญ่โตยิ่งนัก กะประมาณด้วยสายตาก็เกือบสิบหมู่ ฟังจากป้าหลัวว่าสาเหตุที่ว่างมาตลอดเพราะฮวงจุ้ยไม่ดี คิมหันต์ฤดูมีผีร้ายอาละวาด ปลูกสิ่งใดก็ตายหมด ทุกคนรู้สึกว่าอัปมงคลจึงไม่กล้าไปปลูก
น้าหลิวทางบ้านจนปัญญาเพราะติดหนี้ เจ้าหนี้บีบคั้นจึงหมดหนทางต้องไปหาหัวหน้าหมู่บ้านขอที่ดินผืนนี้มา หวังว่าปีหน้าจะเพาะปลูกเล็กน้อยแล้วเก็บเกี่ยวมาเสริมค่าใช้จ่ายในบ้าน
เสี่ยวเฉียวตั้งใจจะมาดูที่ดิน แต่ฟ้ามืดแล้ว ทั้งยังมีหิมะกองถมอยู่นานจึงมองไม่ชัดนัก
ถึงอย่างไรฤดูใบไม้ผลิก็อีกไม่ไกลแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนทำตอนนี้
เฉียวเวยกับเด็กๆ กลับขึ้นเขา
วันนี้ดึกเกินไป เฉียวเวยจึงไม่เข้าป่าไปดูเหยื่อ แต่อาบน้ำให้เด็กๆ เสร็จก็เข้านอน
นอกจากเรื่องที่เพียงพอนหิมะน้อยถูกขโมย เด็กๆ ก็เล่นกันเต็มที่มาทั้งวัน พวกเขาคุยเจี๊ยวจ๊าวกันไม่หยุดตลอดทาง เมื่อขึ้นไปนอนบนเตียงจริงๆ ยังไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็เข้าสู่ห้วงฝัน
เฉียวเวยเก็บมุมผ้าห่มให้ลูกทั้งสองคน แล้วขยับยิ้มพลางหลับตาลง
เพียงพอนหิมะน้อยปีนขึ้นมาที่หัวเตียง พวงหางน้อยๆ คล้องอยู่รอบคอเฉียวเวยเหมือนผ้าพันคอขนเฟอร์
นอกห้องลมหนาวเย็นยะเยือก ครอบครัวสี่คนกลับอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู
วันรุ่งขึ้นยังคงมีหิมะตกหนัก ความจริงอากาศเช่นนี้ไม่เหมาะจะออกจากบ้านนัก แต่เมื่อคิดถึงกิจการของตนเอง เฉียวเวยก็ยังจ้างรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าไปในเมือง ก่อนออกเดินทาง นางส่งจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปบ้านซิ่วไฉเฒ่า
ป้าหลัวจะตามไปด้วย แต่ถูกนางปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เรื่องที่นางจะทำวันนี้อาจรุนแรงอยู่บ้าง นางไม่ต้องการทำให้แม่บุญธรรมตกใจ
หลังจากเฉียวเวยเข้าเมือง เรื่อกแรกที่ทำก็คือตามหา ‘มือมืดหลังม่าน’ ที่จ้างวานอันธพาลสามคนนั้นเมื่อครั้งก่อน หากนางต้องการทำกิจการระยะยาวก็จำต้องขจัดภัยคุกคามให้หมดในคราวเดียว ไม่ปล่อยให้วันนี้ไล่คนนี้ไป วันพรุ่งนี้ก็มีคนนั้นมา ทำเสมือนนางเป็นลูกพลับนิ่ม ผู้ใดล้วนรังแกได้
การจะหา ‘ผู้ร้ายตัวจริง’ ไม่ยาก นางค้าขายอยู่ที่ถนนต้าซิง ผู้ที่ล่วงเกินย่อมเป็นร้านค้าบนถนนต้าซิง ทว่าสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือนางเดินวนทั่วทั้งถนนแล้วกลับไม่พบคนน่าสงสัยสักคน แม้แต่ป้าที่ยึดที่ตั้งร้านของนางครั้งก่อนก็ไม่โผล่หน้ามา
“แม่นาง! แม่นาง!” เถ้าแก่โรงน้ำชาวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “เจ้ากำลังตามหาต้าจินกับภรรยาใช่หรือไม่”
เฉียวเวยมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นางเคยตั้งร้านอยู่หน้าประตูโรงน้ำชาของเขาอยู่สองวัน จึงรู้ว่าเขาคือเถ้าแก่แซ่หรงของโรงน้ำชา
เถ้าแก่หรงเอ่ยว่า “พวกเขาถูกนายอำเภอจับตัวไปแล้ว!”
ที่แท้อันธพาลสามคนนั่นไม่ทนการโบยตี เมื่อสอบสวนก็สารภาพผู้จ้างวานที่อยู่หลังม่านออกมา นายอำเภอจึงจับผู้จ้างวานมายังที่ว่าการอำเภอในคืนเดียวกัน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ปล่อยตัวออกมา
ทุกคนไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเหตุใดต้าจินกับภรรยาจึงไม่มาตั้งร้าน แต่เถ้าแก่หรงข่าวสารว่องไวจึงสืบพบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวสี่คนที่ขายขนม
“ท่านนายอำเภอเป็นขุนนางดี” เฉียวเวยเอ่ยจากใจจริง
“แม่นาง เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป” เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างจริงใจ “แม่นางอาจไม่รู้ ต้าจินเขาเป็นคนมีเบื้องหลัง เบื้องหลังของเขาใหญ่ยิ่งกว่านายอำเภอ เจ้าอย่าเพิ่งดีใจว่าวันนี้เขาถูกจับไปแล้ว ผ่านไปอีกสองสามวันรับรองต้องถูกปล่อยออกมาแน่ พอเขาออกมา แม่นาง ชีวิตของเจ้าย่อมไม่มีวันดีๆ แล้ว”
“ข้าไม่กลัว” ตอนนี้นางตัวคนเดียวแล้วใครอยากรังแกนางก็เชิญเข้ามา
เถ้าแก่หรงเบิกตาโต “แม่นางจะพูดเช่นนี้มิได้ พวกเขาเป็นเจ้าถิ่นแล้วยังใช้ลูกไม้สกปรก เจ้าป้องกันก็ป้องกันมิไหว แม่นางเป็นคนทำการค้า ย่อมไม่ต้องการสิ้นเปลืองกำลังกับเรื่องเหล่านี้”
เฉียวเวยเข้าใจความนัยอย่างรวดเร็ว ต้าจินมีเบื้องหลังหรือไม่ นางไม่แน่ใจ แต่ในคำพูดของเถ้าแก่หรงแฝงความนัยอยู่ “เถ้าแก่หรงมีสิ่งใดต้องการบอกมิสู้บอกมาตามตรงเถิด ไม่จำเป็นต้องยกต้าจินขึ้นมาขู่ข้า ข้าไม่ใช่คนขลาด”
เถ้าแก่หรงเอ่ยพร้อมสีหน้าจริงจัง “เรื่องต้าจิน ข้าไม่ได้ขู่เจ้าจริงๆ เบื้องหลังของเขาอยู่ในเมืองหลวง พวกเราที่นี่ ผู้ใดล้วนไม่กล้าหาเรื่องเขา ยกเว้นข้า”
“อ้อ” เฉียวเวยถูกเถ้าแก่หรงหยอกจนหัวเราะ “เหตุใดท่านกล้าหาเรื่องเขาเล่า”
เถ้าแก่หรงตบหน้าอกเอ่ยว่า “เพราะข้าก็มีเบื้องหลังเหมือนกันน่ะสิ! ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของข้าก็เหนือกว่าเขา!”
เฉียวเวยหัวเราะอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เพิ่งเคยพบเถ้าแก่ที่ทำตัวเหมือนเลวแต่น่ารักเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาวางแผนหลอกล่อนาง แต่นางกลับไม่รู้สึกไม่ดี “ถ้าเช่นนั้นเถ้าแก่หรงมาบอกเรื่องเหล่านี้กับข้าเพราะอยากได้สิ่งใดจากข้าหรือ”
เถ้าแก่หรงกระแอมสองครั้ง “อย่าพูดจาทำร้ายความรู้สึกเช่นนั้นสิ ข้าเห็นเจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียว ข้างบนมีแม่เฒ่า ข้างล่างมีลูกน้อย หาเลี้ยงครอบครัวไม่ง่ายจึงอยากดูแลเจ้าสักหน่อย”
เฉียวเวยอมยิ้มมองเขา
เขาถูกมองจนกระอักกระอ่วน เหมือนสิ่งที่ตนพยายามอ้อมไปอ้อมมาเปิดเปลือยอยู่ตรงหน้าแม่นางน้อยผู้นี้จนหมด “ก็ได้ๆ ข้าอยากให้เจ้าเอาขนมมาวางขายที่ร้านข้า! เงินที่ขายได้แบ่งกันคนละห้าส่วน! อยู่ข้างนอกเจ้าขายชิ้นละสามอีแปะ อยู่ในร้านข้าขายได้ชิ้นละสิบอีแปะ! ต่อให้เจ้าได้แบ่งห้าส่วนก็ได้มากกว่าก่อนหน้านี้สองอีแปะ เจ้าคิดว่าคุ้มหรือไม่!”
“สามส่วนต่อเจ็ดส่วน”
“สี่ส่วนต่อหกส่วน”
“สามส่วนต่อเจ็ดส่วน หากไม่ได้ข้าจะไปหาร้านอื่น วิธีการนี้ของท่านไม่เลว ข้าเชื่อว่าในเมืองน่าจะมีเหลาสุราไม่น้อยซื้อขนมของข้า”
เฉียวเวยพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
เถ้าแก่หรงร้อนใจจนกระทืบเท้า “เดี๋ยวๆ! สามส่วนต่อเจ็ดส่วนก็สามส่วนต่อเจ็ดส่วน! ข้าสามส่วน เจ้าเจ็ดส่วน! แม่สาวน้อยคนนี้ เจ้ารีดไถข้าจนตัวแห้งแล้ว!”
เฉียวเวยหันกลับมายิ้มหวาน “ตกลงตามนี้”