หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 244-2 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่
ตอนที่ 244-2 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่
หากบอกว่าเป็นศัตรูทางราชการของจีหมิงซิว แต่อีตานี่ก็ดูไม่เห็นจะเข้าขั้นสักนิด
เฉียวเวยไม่วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก แต่เอ่ยว่า “เจ้าจับตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาที่ชนเผ่าลึกลับเพราะอยากขายพวกเขาหรือเพราะอยากใช้ประโยชน์จากพวกเขาในการเอาคืนพวกเรากันแน่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย ตอบอย่างน่าซัดให้สักทีว่า “เจ้าเดาดูสิ”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ข้าเดาไม่ถูกหรอก เพียงแต่เห็นแก่ที่เจ้าทึ่มทื่อเพียงนี้ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง ข้าจะไม่ซักไซ้เรื่องนี้ต่อแล้วก็ได้”
นางไม่ควรกล่าวว่าเห็นแก่ที่เจ้ามีน้ำใจไม่มีที่สิ้นสุดที่พาลูกๆ มาส่งให้ข้าหรอกหรือ เจ้ากล่าวเช่นนี้นับเป็นการหยามเกียรติข้าอย่างรุนแรงเชียวนะ!
หึ คนตระกูลจีหน้าโง่ เจ้าต้องชดใช้ให้กับการกระทำของเจ้า!
เฉียวเวยเพ่งมองอีกฝ่ายนิ่งๆ อยู่สองวินาที นางคิดอะไรได้ก็ลูบคางเอ่ยว่า “เฮ่อ เจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับตาแก่สามคนนั้นหนอ”
“ตาแก่สามคนอะไรกัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามอย่างไม่สนใจ
เฉียวเวยตอบเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องมาแกล้งโง่ ฝีเท้าเท่าหมัดแมวเหมียวอย่างเจ้ากล้าบุกเข้ามาในหุบเหวร้อยผีคนเดียวด้วยหรือ จะบอกว่าไม่มีคนในคอยรอรับใครจะเชื่อ เจ้าบอกมาเถอะ เจ้ากับพวกที่แต่งตัวเป็นผีมาหลอกคนพวกนั้นเป็นพวกเดียวกันใช่หรือไม่ คนที่มาเมื่อคืนวานใช่เจ้าส่งมาหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักชะงักไป “เดาดูสิ”
“เจ้านี่มันอยากโดนดีนะ!” เฉียวเวยเงื้อหมัดขึ้นอีกครั้ง
“ท่านแม่! ท่านอา!”
เป็นเสียงจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู
ซาลาเปาน้อยสองคนวิ่งจูงมือกันเข้ามา พวกเขามองเฉียวเวยแล้วมองท่านอาที่ถูกเฉียวเวยจับตัวติดอยู่กับต้นไม้ แน่นอนว่าด้วยเพราะมุมมองทำให้พวกเขาไม่เห็นว่ามือของเฉียวเวยกำลังบีบคออีกฝ่ายอยู่ เห็นเพียงว่าทั้งสองกำลังพูดคุยกัน
เฉียวเวยส่งสายตาตักเตือนไปให้อีกฝ่ายก่อนจะปล่อยมือออกแล้วหันไปยิ้ม “พวกเจ้ามากันแล้ว”
จิ่งอวิ๋นชอบท่านอาสุดหล่อคนนี้เสียแล้ว ท่านอาสุดหล่อทำอาวุธลับเป็นแล้วยังเหลาหอกยาวให้เขาด้วย “ท่านอา ท่านก็มาที่นี่ด้วยได้อย่างไร ท่านมาหาพวกเราหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักระบายยิ้ม “เป็นธรรมชาติ” ขณะตอบว่า “ใช่น่ะสิ อาไม่ได้เจอพวกเจ้ามานาแล้ว คิดถึงมากทีเดียวก็เลยมาหาพวกเจ้านี่ไง”
จิ่งอวิ๋น “ข้าก็คิดถึงท่านอา”
เฉียวเวยพลันหน้าบึ้ง เจ้าลูกชาย เจ้าสติปัญญาดีเลิศมาตลอด อย่าได้ลืมมันสมองไว้ที่ปราสาทไซน่าเชียว ถูกคนจับมาขายแล้วยังช่วยเขานับเงินนี่มันนิสัยของน้องเจ้าชัดๆ เหตุใดเจ้าถึงต้องแย่งนางด้วย
วั่งซูยิ้มตาหยี “ข้าก็คิดถึงท่านอา!”
แล้วยังคิดถึงไข่มุกทอง ขลุ่ยทอง พัดทองของท่านอาด้วย งดงามไปหมดทุกอย่าง!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาขลุ่ยของตนไปซ่อนอย่างมิดชิด เขาลูบศีรษะเด็กทั้งสอง “เห็นพวกเจ้าปลอดภัยดี อาก็สบายใจแล้ว อายังมีธุระต้องไปก่อนล่ะ ไว้วันหน้าค่อยมาหาพวกเจ้าใหม่”
“ไว้พบกันใหม่นะท่านอา!” ซาลาเปาน้อยโบกมือให้เขาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
แล้วใต้เท้าเจ้าสำนักก็เดินยุรยาตรจากไปพร้อมสีหน้าเป็นต่อ โดยมีเฉียวเวยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคอยมองตามอยู่ด้านหลัง
เมื่อเดินออกมาพ้นจากระยะสายตาของเฉียวเวยแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เก็บสีหน้าได้ใจเป็นสีหน้าขรึมลง เดินผ่านจุดที่ทำค่ายอำพรางตาไว้แล้วไปยังป่าเล็กๆ ผืนหนึ่ง เขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วกดเปิดค่ายกล ประตูไม้เปิดออก เขาเดินเข้าไปในโพรงไม้นั้น
ภายในโพรงไม้ ผีร้ายสามตนที่เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดคืนกำลังนอนกรนเสียงดังกันอยู่
ใต้เท้าเจ้าสำนักปลุกทั้งสามคนขึ้นมาอย่างโหดร้าย “ตาแก่อย่างพวกเจ้าสามคน สร้างเรื่องอะไรให้ข้าอีกแล้ว!”
ผีร้ายสามตนลืมตาตื่นอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นสีหน้าเจ้าสำนักดูโกรธขึ้ง ความง่วงงุนที่มีพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง!
เจ้าสามพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “อี้อี้น้อยกลับมาแล้วหรือ พอดีเลย มีข่าวดีมากอยากจะบอกเจ้าอยู่พอดี! เมื่อวานพวกเราสั่งสอนคนผู้หนึ่งไป! ก็คือคนนั้นที่ประกาศจับกับไปทำลายรังเก่าของเจ้า! พวกเราอัดนางเสียน่วมจนแม้แต่พ่อแม่นางก็จำไม่ได้แล้ว!”
ทั้งสามพาใต้เท้าเจ้าสำนักไปหา “จั๋วหม่าน้อย” ยังจุดเกิดเหตุที่พวกเขาสั่งสอนนาง “จั๋วหม่าน้อย” ถูกจับแขวนอยู่บนต้นไม้ เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กายประหนึ่งถูกหินมหึมาบดขยี้ ข้อมือนางดูเหมือนจะหัก ริมฝีปากแห้งแตก สีหน้าขาวซีด เรียกได้ว่าสภาพย่ำแย่กว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอาตัวนางลงมา นางสายตาพร่ามัวมองเห็นร่างคนเพียงเลือนราง จำไม่ได้ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักก็คือโจรที่นางประกาศตามหามาหลายวันแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักบีบคางนางขึ้นมา “เหมือนกันราวกับแกะจริงๆ เสียด้วย”
“จั๋วหม่าน้อย” เอ่ยเสียงงึมงำว่า “ท่าน…ผู้กล้า…ช่วยข้า…”
“อื้อ” ใต้เท้าเจ้าสำนักพยักหน้า ลุกขึ้นยื่นมือไปหาชายชราทั้งสาม
ชายชราทั้งสามงงงวย “อะไรหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ไม้กระบอง”
สตรีนางนั้นดูหมิ่นเขา หาเรื่องเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ปอดเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว จับยัยนี้มาระบายอารมณ์แทนสตรีนางนั้นสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน!
หลังจากถูกไม้กระบอกฟาดอย่างไร้ปราณีไปอีกหนึ่งยก “จั๋วหม่าน้อย” ก็แทบจะเป็นบ้าไปทันที นี่มันเรื่องอะไรกันอีกนี่…
ในขณะที่ “จั๋วหม่าน้อย” ถูกกระหน่ำฟาดจนแทบจะเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้อยู่นั้น คณะของเฉียวเวยก็ได้มาเจอกับพวกจีหมิงซิว
สภาพของทั้งสามดูไม่จืดอยู่พอสมควร ดูออกว่าเป็นการเดินทางที่ยากลำบาก พวกเฉียวเวยใช้เส้นทางหลัก ก็อย่างที่กล่าวกันไว้ว่าคนหน้าฟันเปิดทาง คนข้างหลังเดินตามกันสบาย เพราะมีคนใช้เส้นทางนั้นมาก นอกจากผีร้ายตนเล็กๆ ไม่กี่ตนแล้ว ก็ไม่มีอันตรายอื่นอีก แต่จีหมิงซิวกลับต่างไป พวกเขาเข้ามาในหุบเหวในทางเข้าที่ห่างไกลไร้ผู้คน ที่นั่นไม่มีใครผ่านไปมา อันตรายไม่แน่ชัด แค่พลั้งเผลอเพียงเล็กน้อยก็อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
เฉียวเวยเห็นสีหน้าติดจะเหนื่อยล้าของเขา จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
จีหมิงซิวจับต้นไม้ใหญ่นั่งลง “ไม่เป็นอะไรแล้ว”
แล้ว?
เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าให้เขา ก่อนจะส่งถุงน้ำตามไปให้ อีกด้านหนึ่งเฉียวเจิงก็หาถุงน้ำจากในตะกร้าอีกสองถุงมาส่งให้จีอู๋ซวงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
“พวกท่านพบเจออะไรกันมา สภาพถึงได้ย่ำแย่เพียงนี้” เฉียวเวยถาม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระดกน้ำอักๆ ลงไปหลายอึก พอเช็ดปากเสร็จก็บอกว่า “อย่าไปพูดถึงเลย ทางสายนั้นข้าไม่ไปอีกแล้ว! น่ากลัวเกินไปจริงๆ!”
จีอู๋ซวงกลับสงบนิ่งกว่าเขาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรนัก มือที่ถือถุงน้ำสั่นระริก พยายามเอาขึ้นไปจ่อปากดื่มไปหลายอึก แต่ก็หกรดตัวไปมากเช่นกัน
น้ำในถุงน้ำกระดกจนหมดแล้ว เฉียวเวยเอาถุงน้ำทั้งสามถุงส่งให้จูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์เอาไปหาน้ำรองกลับมาให้ใหม่
จีอู๋ซวงถอนหายใจ “พวกเรานี่นับว่าดีแล้วนะ อย่างน้อยก็ออกมาได้ พวกฮาจั่วนั่นยังติดอยู่ในหุบเขาอยู่เลย เวลานี้น่ากลัวคงจะหมดแรงกันจนสลบไปหมดแล้ว”
เฉียวเวยอึ้งไป “อันตรายมากเลยหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “นับว่าใช่กระมัง เพียงแค่ไม่ได้อันตรายอย่างที่พูดกันทั่วไป”
“เช่นนั้นเป็นอย่างไร” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวเพ่งสายตานึกย้อนไป ชั่วขณะนั้นเขาถึงกับไม่รู้ว่าควรอธิบายให้เฉียวเวยฟังอย่างไรดี เรื่องนี้ต้องเริ่มตั้งแต่เมื่อวานที่พวกเขาเข้ามาในหุบเหว
พวกเขาเดินทางอ้อมไปยังอีกฝั่งหนึ่งของหุบเหว แล้วเดินเท้าเข้าไปตามซอกผา ตอนนั้นฟ้ายังสว่างอยู่ ไม่ได้มีสัตว์ร้ายออกมากนัก จึงไม่ได้เจอเรื่องอันตรายอะไร แต่พอตกกลางคืน พวกเขาไปถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ตรงกลางหุบเขามีดอกไม้อยู่ทั่วไปหมด เป็นจุดโล่งกว้างที่มีทิวทัศน์งดงาม แต่เพราะเปิดโล่งมากเกินไป จึงง่ายที่พวกเขาจะไปปรากฏอยู่ในสายตาของสัตว์ร้าย พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินผ่านหุบเขาแห่งนี้ไปก่อนแล้วค่อยหยุดพัก
เพียงแต่ว่าหุบเขาแห่งนั้นที่ดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่เดินไปเดินมากลับทำให้หลงทาง
พวกเขาตัดสินใจกินอาหารให้อิ่มท้องกันก่อนแล้วค่อยเร่งเดินทางต่อ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเก็บเห็ดมาจำนวนหนึ่ง ใช้ไฟเผาแล้วกิน พอกินเสร็จทุกคนก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ
ภาพที่เห็นในตอนนั้น แม้แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เป็นชายผู้กล้าหาญ แค่นึกย้อนกลับไปยังถึงกับมีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมา
“ข้าเห็น…เห็นสิงโตสามหัวที่มีปีกใหญ่ยาว!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเล่าด้วยความหวาดผวา “ข้าอยู่มาจนอายุปูนนี้ ยังไม่เคยเห็นอะไรน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน!”
สิงโตสามหัว อาจคิดได้ว่าเป็นสิงโตที่ตัวติดกันเท่านั้น แต่ที่มีปีกงอกออกมาด้วยนั่นออกจะอธิบายไม่ได้เกินไปสักหน่อย สิงโตจะมีปีกได้อย่างไร
เฉียวเวยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยด้วยสีหน้าประหลาด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกอดแขนตัวเอง สั่นสะท้านไปทั้งตัว จากนั้นเฉียวเวยก็หันไปมองจีอู๋ซวง จีอู๋ซวงเองก็หน้าขาวซีดเสียยิ่งกว่าอะไร “ที่ข้าเห็นคือเงือก”
เฉียวเวยอึ้งงัน “ตัวเป็นคนหางเป็นปลา?”
จีอู๋ซวงพยักหน้า
เงือกที่ว่านี้มีอยู่เพียงในนิทานเด็กเรื่อง “ภูผาและห้วงมหรรณพ” เท่านั้น ไม่ได้มีอยู่ในโลกจริงๆ เสียหน่อย!
แต่คนนิสัยอย่างจีอู๋ซวง หากไม่ได้เห็นกับตาไม่มีทางหวาดผวาถึงเพียงนี้
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวอีกครั้ง “ท่านเล่า ท่านเห็นอะไรประหลาดบ้างหรือไม่”
จีหมิงซิวอึ้งไป “ข้าเห็นเจ้า”
“ข้า?” เฉียวเวยอึ้งไปอีกครั้ง
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสายตาจดจ่อ “ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย ตามทุ่งหญ้าป่าเขามีแต่เจ้าเต็มไปหมด”
เฉียวเวยเอามือแตะหน้าผากเขา “ตัวก็ไม่ร้อนนี้”
การเห็นภาพประหลาดเช่นนี้ทั้งๆ ที่ไข้ไม่ขึ้นตัวไม่ร้อน ยิ่งน่าอกสั่นขวัญแขวนเข้าไปใหญ่ ทั้งสามเล่าสิ่งที่เห็นให้ฟังเพียงน้อยนิดเท่านั้น พวกเขาเห็นอะไรมามากกว่า น่ากลัวยิ่งกว่านี้เสียอีก บางอย่างแค่เพียงอยู่อย่างสงบนิ่งในที่ของมัน บางอย่างกลับแยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้ามาจู่โจมพวกเขา ลองคิดดูว่าคนหรือสัตว์ที่ตัวใหญ่ราวกับผู้เขาหนึ่งลูกกำลังพุ่งเข้ามาจะโจมตีพวกเขา แต่ความแข็งแกร่งของจิตใจกับความกดดันทางความคิด ก็เพียงพอที่จะบีบคั้นคนดีๆ ให้เป็นบ้าได้แล้ว
ทั้งสามไม่ได้เสียสติไปก็เพราะสติสัมปชัญญะของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก
เฉียวเวยเข้าใจในบัดดล “มิน่าเล่าไซน่าฮูหยินถึงได้บอกว่า หลังจากไซน่าอิงกลับจากหุบเหวร้อยผีไปแล้ว ก็เอาแต่นอนกอดนางกับสามีของนางเป็นเด็กน้อยอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ เมื่อวานข้ายังคิดอยู่เลย แค่ตาแก่ไม่กี่คนแต่งตัวเป็นผีมาหลอกคน จะทำคนตกใจถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เวลานี้ดูแล้ว น่ากลัวว่าไซน่าอิงก็คงเหมือนพวกเจ้าที่เกิดภาพหลอนให้เห็นเช่นนี้”
จีหมิงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ภาพหลอน?”
เฉียวเวยอธิบายว่า “ใช่แล้ว ที่พวกเจ้าสามคนต้องเห็นภาพหลอนแน่ ถึงได้เห็นภาพอะไรเหล่านั้น! ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นอะไรไป บังเอิญเจอนางมารหรือปีศาจร้ายงั้นหรือ”
จีหมิงซิวลองนึกย้อนกลับไปโดยละเอียด รู้สึกว่าภาพเหล่านั้นที่เห็นไม่ใช่เพียงภาพหลอนธรรมดาๆ
เฉียวเวยพูดต่อว่า “เวลานั้นพวกเจ้าสามคนอยู่ด้วยกัน แต่ภาพที่เห็นกลับไม่เหมือนกัน นอกจากเป็นภาพหลอนแล้ว ยังจะอธิบายอย่างอื่นได้อีกหรือ”
จีหมิงซิวนิ่งไปพักหนึ่ง “ตอนนั้นพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกไปสำรวจเส้นทาง จีอู๋ซวงไปทำธุระส่วนตัว ข้านั่งอยู่ข้างกองไฟ”
เฉียวเวยอึ้งไป “นั่น… แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าเห็นเป็นความจริง! ในโลกนี้ไม่มีของหน้าตาประหลาดเช่นนั้นแน่ ท่านเชื่อข้าสิ! พวกท่านน่ะ…อือ… พวกท่านน่าจะต้องกินอะไรที่ทำให้เกิดภาพหลอนเข้าไปแน่ๆ! เช่นว่า…เช่นว่า… หลั่วโถวเฉาเจี่ยน!”
“หลั่วโถวเฉาเจี่ยนคืออะไร” จีหมิงซิวถามด้วยความงงงวย
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “มันเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณในการหลอนประสาทในระดับหนึ่ง ทำให้คนเกิดภาพหลอนได้ ยังมีอะไรอีกนะ… เห็ดหลั่วไก้ มันมีสารไซโลไซบิน กินเข้าไปไม่เท่าไร ภาพตรงหน้าจะประหลาดไป หมุนติ้วไม่หยุด คนที่กินจนเมาจะทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ มือไม้อยู่ไม่นิ่ง แน่นอนว่าเห็ดสองประเภทนี้เป็นพืชที่มีฤทธิ์หลอนประสาทค่อนข้างอ่อน ยังมีบางประเภทที่ให้ฤทธิ์รุนแรง อาการหลอนประสาทที่เกิดกับคนก็จะหนักขึ้นไปอีก อาการอย่างพวกเจ้าน่าจะเกิดเพราะกินอะไรผิดไป…”
จีอู๋ซวงขมวดคิ้ว “เห็ดพวกนั้นดูไม่เหมือนว่ามีพิษ…”
“เจ้าบอกว่าไม่เหมือนก็เท่ากับมันไม่มีงั้นหรือ ถึงแม้เจ้าจะเป็นราชันพิษ แต่สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้งเลยไม่ใช่หรือ” สรุปก็คือเฉียวเวยไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีแม่มดหรือปีศาจร้ายอยู่จริงๆ
จีอู๋ซวงพูดอย่างไม่สู้จะเห็นด้วยว่า “แต่พวกฮาจั่วนั้นไม่ได้กินเห็ดเข้าไป แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ขวัญผวากันจนร้องโหยหวนเลยเล่า”
ฮาจั่วเดินตามหลังพวกเขาทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ตลอด พวกเขาคิดเอาเองว่าสะกดรอยตามได้อย่างแนบเนียน แต่เอาเข้าจริงพวกเขารู้ตัวกันตั้งนานแล้ว พวกเขาวางแผนที่จะหาจุดเหมาะแก่การลงมือแล้วค่อยจัดการคณะของฮาจั่ว แต่กลายเป็นว่าพวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไร พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็เริ่มประสบกับเหตุการณ์ที่น่าสลดหดหู่เสียแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านั้น เพราะเขาคอยจับสังเกตความเคลื่อนไหวของฮาจั่วอยู่ตลอดเวลา จึงมั่นใจว่าพวกฮาจั่วทั้งคณะไม่ได้เอาอะไรเข้าปากเลย
เฉียวเวยคิดแล้วบอกว่า “เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าดื่มน้ำแถวนั้นลงไป เห็ดตกลงไปเน่าในน้ำ พิษเลยเจือปนอยู่ในนั้น ก็อาจจะเป็นไปได้นะ”
จีอู๋ซวง “แต่ว่า…”
จีหมิงซิวตัดบทเขา “เรื่องนี้ให้พอที่เท่านี้ก่อน ไม่ต้องถกกันแล้ว”
จีอู๋ซวงหุบปากลงอย่างไม่ยอมแพ้
หลังจากนั้นจีหมิงซิวก็ถามถึงสถานการณ์ทางฝั่งเฉียวเวย เฉียวเวยเล่าแค่เรื่องผีสามตนนั้นให้จีหมิงซิวฟัง และเอ่ยถึงเรื่องใต้เท้าเจ้าสำนักด้วย “…อีตานั่นน่ะ แปดส่วนต้องเป็นพวกเดียวกับตาแก่นั่นแน่ น่าเสียดายที่เด็กสองคนเข้ามาพอดี ไม่อย่างนั้นข้าคงซ้อมเขาจนยอมพูดความจริงไปแล้ว”
จีหมิงซิวพลันรู้สึกเสียดายขึ้นมาติดหมัด เขาก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกเช่นนี้ คล้ายกับว่าไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้พบคนผู้นั้นอย่างไรอย่างนั้น
“ไข่มุกจันทร์กระจ่างยังจะหาอยู่หรือไม่” เฉียวเวยถาม
ทันใดนั้นจีหมิงซิวก็บอกว่า “ไม่ใช่ว่าหาเจอแล้วหรือ”
เฉียวเวยตกใจ “พวกท่านหาเจอแล้ว?”
จีหมิงซิวอมยิ้มส่ายหน้า ชี้ไปทางไข่มุกเม็ดหนึ่งที่จูเอ๋อร์กำลังจับเล่นอยู่ในมือ
ตาเฉียวเวยพลันเบิกกว้าง เจ้าลิงแสบนี้ไปฉวยเอามาจากไหน!