หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 250-1 ฉลองสิ้นปีพร้อมหน้า พิธีแต่งตั้งยศ
ตอนที่ 250-1 ฉลองสิ้นปีพร้อมหน้า พิธีแต่งตั้งยศ
วันที่สามสิบเดือนสิบสอง วันนี้เป็นวันสิ้นปีของเผ่าถ่าน่า แตกต่างจากต้าเหลียงที่อากาศหนาวเหน็บเต็มไปด้วยหิมะ ที่แห่งนี้แม้แต่สายลมก็อบอุ่น ร้านรวงที่ตั้งเรียงรายเป็นระเบียบแปะโคลงคู่เต็มพรืด พวกเขาพากันห้อยโคมไฟสีแดงเต็มถนน ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายวันสิ้นปีอันคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
รถม้าแล่นเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลัน องครักษ์ตรวจป้ายของเฉียวเวยตามระเบียบ
ในที่สุดก็เดินเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลันอย่างสง่าผ่าเผยได้เสียที หากบอกว่าไม่ดีใจคงเป็นการโกหก อย่างไรเสียประสบการณ์ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าหลายครั้งนั่นก็ไม่ใช่ความทรงจำที่น่าจดจำอะไรนัก
เฉียวเวยเก็บป้าย จัดเสื้อผ้า จากนั้นลงรถม้ามาพร้อมกับจีหมิงซิว
เรื่องของไซน่าอิง เฉียวเวยไตร่ตรองแล้วก็ตัดสินใจว่าจะบอกเหอจั๋ว มิว่าจะว่าอย่างไรไซน่าอิงก็ถูกคนทำให้สลบอยู่ในเขตของตำหนักธิดาเทพ ตำหนักธิดาเทพย่อมตัดความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้ ตำหนักธิดาเทพมีฐานะสูงส่งในเผ่าถ่าน่า แม้แต่เหอจั๋วก็เชื่อถือนางยิ่งนัก แต่ก็เพราะเป็นเช่นนี้จึงยิ่งจำเป็นต้องบอกความจริงกับเหอจั๋ว
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวเดินไปห้องนอนของเหอจั๋ว พวกเขาได้ยินเสียงวิ่งกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนดังมาแต่ไกล ทั้งสองคนวิ่งฉิวด้วยเท้าเปล่าเข้ามาหา ได้ยินว่าตัวปลอมน้อยพวกนั้นถูกส่งกลับตระกูลปี้หลัวไปแล้ว ตั้งแต่แรกพวกเขาก็ไม่ใช่ลูกของเซวียหรงหรง เป็นเพียงเด็กที่หามาฝึกแล้วให้เล่นละครคู่กับเซวียหรงหรงเท่านั้น ตอนนี้ข่าวหลุดลอดออกไปแล้ว แม้สำนักผู้อาวุโสจะยังไม่พิพากษาความผิดของตระกูลปี้หลัว แต่ตระกูลปี้หลัวก็ถูกผู้คนถ่มน้ำลายใส่จนเกือบจมน้ำลายตายแล้ว
สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือเมื่อวานตอนค่ำพบตัวฮาจั่วแล้ว ทว่าเขาหวาดผวาอยู่ในหุบเขานานเกินไปจึงกลายเป็นวิหคผวาคันศรไปเสียแล้ว ดูท่าผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งตระกูลปี้หลัวคนนี้คงจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับฝันร้ายอันน่าหวาดกลัวไปอีกนาน
พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าปีนี้ช่างสาแก่ใจนักเชียว
สองสามีภรรยาเดินเข้ามาในสวน เจ้าซาลาเปาน้อยผู้มีเหงื่อท่วมศีรษะโถมเข้ามาหา “ท่านพ่อ! ท่านแม่!”
“เหงื่อออกมากเพียงนี้เชียวหรือ” เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าผากให้ทั้งสองคน จากนั้นถอดเสื้อตัวนอกให้ทั้งคู่ เสร็จแล้วเด็กทั้งสองก็ไปเล่นเสียงเจี๊ยวจ๊าวต่อ
ทั้งสองคนเดินไปหาเหอจั๋วที่นั่งอยู่ริมสระน้ำ เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบว่าบนเก้าอี้ไม้หวงหลีตัวใหญ่มีเด็กสาวหน้าตางดงามอ่อนหวานคนหนึ่งนั่งอยู่ นางอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปี สวมอาภรณ์สีเหลืองสดใส ใบหน้าน้อยขนาดเท่าฝ่ามือ ผิวเนียนนุ่มขาวผ่องดั่งหยก ผมหน้าม้าตรงหน้าผากหวีขึ้นเผยหน้าผากกลมมนนวลผ่อง จุดสีแดงแต้มกลางหว่างคิ้วหนึ่งจุด รับกับริมฝีปากสีแดงสดราวกับจะคั้นน้ำออกมา ยิ่งขับเน้นให้นางดูอ้อนแอ้นอ่อนช้อย
นางนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ทั่วทั้งเรือนกายแผ่กลิ่นอายแห่งความบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว แม้นดวงจันทราบนฟากฟ้าก็งามมิสู้นาง
“ผู้นี้คือ…” เฉียวเวยเปิดปาก
เหอจั๋วหันไปมองทั้งสองคนแล้วยิ้มอย่างใจดี “หมิงซิวกับเสี่ยวเวยกลับมาแล้ว”
“ท่านตา” จีหมิงซิวทักทายอย่างอ่อนโยน
สายตาของเหอจั๋วจับอยู่บนใบหน้าของเฉียวเวย เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก “ท่านตา”
เหอจั๋วคิดว่าตนเองฟังผิด เขาตกตะลึงยิ่งนัก แต่จากนั้นก็สีหน้าเบิกบาน เรียกหญิงรับใช้ให้ยกเก้าอี้มาให้หลานสาวกับหลานเขยนั่ง ต่อจากนั้นเขาจึงหันไปมองเด็กสาวด้านข้าง ยิ้มละไมแนะนำว่า “ผู้นี้คือธิดาเทพ”
ที่แท้ก็ธิดาเทพที่เล่าลือกันคนนั้นนี่เอง มิน่ารูปโฉมจึงเหนือกว่าคนธรรมดาถึงเพียงนี้
เฉียวเวยกล่าวทักทาย “ธิดาเทพ”
ธิดาเทพผงกศีรษะเล็กน้อย “จั๋วหม่าน้อย” จากนั้นหันไปมองจีหมิงซิว “ท่านเขยน้อย”
“ธิดาเทพ” จีหมิงซิวทักทายด้วยน้ำเสียงเหมือนเช่นยามปกติ
“วันนี้ธิดาเทพมาเยือนมีเรื่องใดหรือ” เฉียวเวยถาม
เหอจั๋วตอบอย่างอ่อนโยน “ธิดาเทพมาร่วมฉลองสิ้นปีกับพวกเรา”
“เช่นนี้เอง” เฉียวเวยประหลาดใจ แต่ไม่นานก็กดความรู้สึกลงไปได้ อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ต้าเหลียง ขนบธรรมเนียมก็คงมีต่างกันบ้าง
ตอนนี้เองธิดาเทพก็เอ่ยขึ้นมาเสียงอ่อนโยน “ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการแจ้งกับเหอจั๋วจริงๆ”
“เรื่องใด” เหอจั๋วถาม
ธิดาเทพเล่าว่า “หญิงรับใช้ของข้าพบนายน้อยตระกูลไซน่าอยู่ที่เขาด้านหลังของตำหนักธิดาเทพ เขาไม่รู้เป็นอะไรจึงสลบไม่ตื่น ข้าจึงพาเขาไปไว้ในกระท่อมน้อยก่อนชั่วคราว แล้วตั้งใจจะมาแจ้งเหอจั๋ว ดูว่าต้องแจ้งคนของตระกูลไซน่าไปรับคนหรือไม่”
เหอจั๋วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาด้านหลังของตำหนักธิดาเทพห้ามคนนอกเข้า เขาไปที่นั่นได้เช่นไร”
ธิดาเทพส่ายศีรษะ “ข้าก็มิทราบ ตอนที่พบเขา เขาก็หมดสติไปแล้ว”
เฉียวเวยสงสัยทันที ตนเองเดาผิดหรือ ไซน่าอิงไม่ได้ถูกคนของตำหนักธิดาเทพจับตัวไปแต่วิ่งเข้าไปสลบในนั้นเองหรือ ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ไซน่าอิงพบคนผู้นั้นเมื่อตอนกลางวันจะอธิบายอย่างไร ยามนั้นเขายังดีๆ อยู่เลย เหตุใดจึงสลบอยู่ที่เขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุได้
ในเมื่อเขารู้ทั้งรู้ว่าเขาด้านหลังของตำหนักธิดาเทพห้ามเข้าก็ยิ่งสมควรหลีกให้ห่างจึงจะถูก…เขาใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว แม้แต่เรื่องเท่านี้ก็ยังไม่เข้าใจหรือ
วิธีเข้าไปในภูเขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพมีอยู่เพียงสองวิธี วิธีแรกเข้าไปจากตำหนักธิดาเทพ แต่หากเข้าไปผ่านตำหนักธิดาเทพ คนของตำหนักธิดาเทพก็ไม่สมควรไม่รู้เรื่องนี้ วิธีที่สองก็คือเดินผ่านหุบเขา นางจำได้ว่าไซน่าฮูหยินเคยเล่าว่าไซน่าอิงเคยพลัดหลงเข้าไปในหุบเขาแล้วหวาดกลัวอย่างหนัก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่กล้าลองท้าทายมันอีก ดังนั้นไซน่าอิงน่าจะไม่มีทางเลือกเส้นทางนี้เองแน่
ไซน่าอิงไม่ได้เข้าไปสลบอยู่ที่เขาด้านหลังด้วยตนเอง ตำหนักธิดาเทพน่าสงสัยแน่นอน!
เฉียวเวยทำหน้าประหลาดใจ “ไซน่าอิงไปตำหนักธิดาเทพมาหรือ เช้าวันนี้ข้ายังเห็นเขาอยู่เลย”
นัยน์ตาของธิดาเทพฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง “เขากลับไปแล้วหรือ”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ใช่ กลับมาแล้ว แต่ได้ยินว่าเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายย่ำแย่ พอกลับถึงบ้านก็สลบไป”
เรื่องที่กลับมาแล้วย่อมปิดบังไม่ได้ แต่เรื่องที่ว่ากลับมาได้อย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับคำพูดของนาง
“เขากลับไปเองหรือ” สีหน้าของธิดาเทพดูฉงนเล็กน้อย
เฉียวเวยยิ้ม “ใช่แล้ว ธิดาเทพไม่ทราบหรือ ข้ายังคิดว่าเขาไปคารวะธิดาเทพมาแล้วเสียอีก”
ธิดาเทพส่ายหน้าเบาๆ “เอาเถิด ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เขาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เฉียวเวยเอ่ยต่อโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ข้าได้ยินว่าเขาเคยไปเยือนภูเขาอวิ๋นซานหนหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปทำไม”
ธิดาเทพตอบหน้าซื่อ “หนก่อนเขาบอกว่าเขาอยากล่าเพียงพอนเมฆาสักตัวจึงขอผ่านภูเขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพเข้าไปในภูเขาอวิ๋นซาน ข้าอนุญาตแล้ว ส่วนหนนี้…ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเข้าไป”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ที่แท้เขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพกับภูเขาอวิ๋นซานก็เชื่อมกันอยู่หรอกหรือ ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่ได้มีทางเข้าแค่เพียงทางเดียวกระมัง บางทีเขาอาจจะไปล่าเพียงพอนเมฆาอีก แต่จับพลัดจับผลูล่วงล้ำเข้าไปในภูเขาด้านหลัง ท่านตา ในเมื่อเป็นการล่วงล้ำอย่างไม่ตั้งใจก็อภัยให้เขาสักหนเถิด”
เหอจั๋วตอบอย่างเมตตาอารี “พวกเจ้าล้วนบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องสืบสาวเอาความก็แล้วกัน”
ไซน่าอิงที่น่าสงสารถูกคนทำให้สลบอยู่ที่เขาด้านหลัง แล้วยังต้องแบกความผิดว่าบุกรุกตำหนักธิดาเทพอีก ไม่อาจไม่พูดว่าชั้นเชิงของมือมืดเบื้องหลังม่านยอดเยี่ยมพอสมควรจริงๆ แต่ยามนี้นางเริ่มระวังตัวแล้ว นางก็อยากดูซิว่าอีกฝ่ายจะเล่นลูกไม้อะไรอีก!
…
เหอจั๋วกำลังจะได้ฉลองวันสิ้นปีกับเฉียวเวยเป็นหนแรก เขากลัวว่าเฉียวเวยจะไม่คุ้นชินกับขนบธรรมเนียมบางอย่าง จึงตั้งใจถามถึงขนบธรรมเนียมของจงหยวน แล้วให้คนหากระดาษสีแดง กรรไกรกับสี่สมบัติแห่งห้องอักษรมา คนทั้งครอบครัวนั่งอยู่ในสวนอันอบอุ่น ตัดกระดาษเป็นลวดลายพร้อมกับเขียนคำโคลงคู่
ตัวอักษรของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีมีเงินพันตำลึงทองก็มิอาจหาซื้อได้ เขาตวัดพู่กันด้วยท่วงท่างามสง่า อักษรชดช้อย ลายเส้นงดงาม พลิ้วไหวดุจเมฆาลอยล่อง งามดุจมังกรทะยาน เขียนคำโคลงคู่ออกมาสองสามคู่ก็ทำให้อักษรโคลงคู่ที่ปราสาทเฮ่อหลันซื้อมากลายเป็นเศษขยะ
ส่วนตัวอักษรของเฉียวเจิงค่อนข้างดูสบายตา แต่ก็แฝงความประณีต
เหอจั๋วเห็นตัวอักษรที่ทั้งสองคนเขียนก็หยิบตัวอักษรของตนเองมานั่งทับไว้เงียบๆ
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็เขียนออกมาไม่น้อย ตัวอักษรของจิ่งอวิ๋นงามสง่าเช่นตัวคน ฝ่ายวั่งซูสืบทอดกรรมพันธุ์จากเฉียวเวยมาเป็นอย่างดี ตัวอักษรที่เขียนเรียกได้ว่าเหมือนหนอนคลานออกมาจากปลายพู่กัน แล้วหนอนที่ว่านั่นยังเป็นหนอนขนแต่ตัวโย้ไปเย้มาอีกต่างหาก
จีหมิงซิวจับมือลูกสาวค่อยๆ จรดพู่กันเขียนคำโคลงคู่ ‘มิ่งมงคลสถิตย์เรือนตลอดปี ปีติปรีดาคู่ครอบครัวตลอดไป’ ประโยคที่แปะขวางด้านบนเขียนว่า ‘ครอบครัวมีแต่ความสุขสันต์’
วั่งซูมองตัวอักษรที่ฉับพลันก็งดงามขึ้นมากของตนเองแล้วดีใจจนอ้าปากไม่หุบ
หลังจากนั้นวั่งซูก็เขียนคำโคลงคู่อีกหลายคู่อย่างสนุกสนาน ต่อมาหญิงรับใช้ก็เข้ามาเก็บคำโคลงคู่ของทุกคน นางพบคำโคลงคู่ที่ถูกพับแล้วนั่งทับไว้หลายแผ่น จึงถามวั่งซูว่า “พวกนี้ท่านเป็นคนเขียนหรือ”
วั่งซูจำไม่ได้ แต่พอเห็นตัวอักษรขยุกขยุยบนกระดาษสีแดงก็เกาหัวแกรกแล้วตอบว่า “ข้าน่าจะเป็นคนเขียนกระมัง!”
นอกจากนางยังมีผู้ใดเขียนลายมือน่าเกลียดเช่นนี้อีกเล่า
เหอจั๋วตบหัวไหล่นางเบาๆ ท่าทางนิ่งสงบยิ่งนัก “พยายามเข้านะ”
บนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง เฉียวเวยกับธิดาเทพตัดกระดาษอยู่ด้วยกัน ลายมือของเฉียวเวยเอามาโอ้อวดไม่ได้ แต่นางตัดกระดาษได้ประณีตเป็นที่หนึ่ง ตัดสิ่งใดก็เหมือนสิ่งนั้น นางตัดจูเอ๋อร์น้อยออกมาหลายตัว จากนั้นก็ตัดต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ออกมาอีกหลายตัว ชนเผ่าถ่าน่าไม่มีความเชื่อเรื่องปีนักษัตร แต่เฉียวเวยยังพอจำได้เลาๆ ว่าปีหน้าคือปีมะแม จึงตัดแพะตัวน้อยออกมาสิบกว่าตัว
มือของธิดาเทพก็คล่องแคล่วนักเช่นกัน นางตัดไม่กี่หน ตัวอักษรคำว่า ‘ฝู’ (ความผาสุข) อันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเฉลิมฉลองก็โผล่ออกมาสามตัวห้าตัว
“เจ้าเคยตัดมาก่อนหรือ” เฉียวเวยถาม
ธิดาเทพวางตัวอักษรคำว่า ‘ฝู’ ที่ตัดเสร็จแล้วไว้บนโต๊ะ “ก่อนหน้านี้เคยเห็นจั๋วหม่าตัด”
มองหนเดียวก็ตัดเก่งเช่นนี้แล้ว ชาติก่อนนางใช้เวลาตั้งยี่สิบกว่าปีกว่าจะตัดได้ถึงขนาดนี้ ชิ ฉลาดเฉลียวเกินผู้คนจริงนะ
ทุกคนนำคำโคลงคู่กับกระดาษไปติด ห้องนอนอันเงียบเหงามีกลิ่นอายของการเฉลิมฉลองเพิ่มขึ้นมาในพริบตา
เหอจั๋วยืนอยู่ในลานบ้าน มองประตูกับระเบียงที่แปะคำโคลงคู่สีแดงสดเอาไว้แล้วเผยสีหน้าอิ่มเอมใจออกมา พอคิดอะไรขึ้นมาได้จึงบอกเฉียวเวยกับจีหมิงซิวว่า “หลังจากเดินทางไปจงหยวน วันสิ้นปีของทุกปีท่านแม่ของพวกเจ้าจะต้องกินเกี๊ยว วันนี้ท่านตาจะแสดงฝีมือให้พวกเจ้าดู”
เหอจั๋วเข้าไปในห้องครัว ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ห้องครัวก็ไฟไหม้ เหอจั๋วพุ่งออกมาพร้อมกับเส้นผมที่เกือบจะถูกเผาจนเกรียม เขาสาบานว่าตอนแต่งงานเขายังวิ่งไม่ไวเท่านี้
ได้เวลาลูกเขยแสดงฝีมือแล้ว!
เฉียวเจิงยืดอกอาสา ปรี่เข้าไปดับไฟในห้องครัว เขาเช็ดล้างเตาจนสะอาด จากนั้นจึงเริ่มหั่นผักกับเนื้อ สับอาหารทะเลจนเรียบร้อย รอพ่อตามาลองแสดงความสามารถอีกรอบอย่างนอบน้อม
เหอจั๋วพาหมวก (เส้นผมที่ถูกเผาจนหงิก) กลับเข้ามาในห้องครัวอีกหน
หนนี้มีเฉียวเจิงเป็นลูกมือ ทุกสิ่งจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เกี๊ยวเนื้อวัวกับเกี๊ยวไส้ทะเลหอมฉุยหม้อหนึ่งก็ออกจากเตา จีหมิงซิวกับจิ่งอวิ๋นแบ่งเกี๊ยวเนื้อวัวไป ส่วนเกี๊ยวทะเลลงไปอยู่ในท้องของเฉียวเวย ลูกสาวกับเฉียวเจิง
เหอจั๋วเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะพบสักหนของเผ่าถ่าน่า บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องที่เหอจั๋วทำไม่ได้ มีแต่เรื่องที่เหอจั๋วไม่อยากทำ ดังนั้นแม้จะเป็นการลงครัวครั้งแรก แต่เหอจั๋วก็มั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองยิ่งนัก
เพียงแต่ว่าหลังจากถูกไซน่าอิงผู้เชื่อว่า ‘ฝีมือทำอาหารของข้าเลิศเลอจนต้องตะลึง’ กับน้ำชาของไซน่าฮูหยินทำร้าย ทุกคนก็ไม่คาดหวังกับฝีมือการทำอาหารของชนเผ่าถ่าน่าอีก ทุกคนหยิบตะเกียบขึ้นมา ในใจนึกหวาดหวั่น ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ มีเพียงเฉียวเจิงผู้กล้าหาญคีบเกี๊ยวตัวหนึ่งส่งเข้าปากอย่างไร้ความหวาดกลัว