หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 261-2 ท่านแม่เฉียวลงมือ ไม่ต้องเก็บไว้สักคน
ตอนที่ 261-2 ท่านแม่เฉียวลงมือ ไม่ต้องเก็บไว้สักคน
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็เลือกผลสองภพเจ็ดผล ให้สือชีหนึ่งผล อี้เชียนอินหนึ่งผล เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหนึ่งผล จีอู๋ซวงหนึ่งผล ไห่สือซานหนึ่งผล เฟิ่งชิงเกอหนึ่งผล ลูกน้องของหมิงซิวมียอดฝีมืออยู่เจ็ดคน อีกคนหนึ่งนางยังไม่เคยพบหน้า แต่คิดว่าก็คงเป็นผู้อาวุโสในยุทธภพสักคนเช่นกัน ผลสองภพน่าจะมีประโยชน์กับเขา
ผลไม้อีกร้อยกว่าผลที่เหลือ นางล้วนมอบให้ท่านตากับบิดามารดาของนาง ท่านตากับบิดาของนางคงกินได้ไม่กี่ผล ผลไม้ส่วนใหญ่เป็นของมารดานาง
ศิษย์เหล่านั้นของตำหนักธิดาเทพ วรยุทธ์ของคนหนึ่งสูงส่งกว่าอีกคนหนึ่ง แปดส่วนน่าจะเป็นเพราะกินผลสองภพเข้าไป ในกำมือของมารดานางมีทหารชั้นยอดมากมายถึงเพียงนั้น หากใช้ผลสองภพเพิ่มความสามารถอีกสักหน่อย ไฉนไม่ใช่ยิ่งกำราบได้ทุกทิศ
เฮ่อหลันชิงยกยิ้ม “ให้แม่หมดเลย เจ้าไม่เสียดายหรือ”
เฉียวเวยตอบอย่างไม่หยุดคิด “นี่มีสิ่งใดให้เสียดายนักหนากันเล่า ของของข้าก็คือของของแม่ ท่านแม่แข็งแกร่งขึ้น ข้าก็ยิ่งนอนอหลับได้สบายใจขึ้นไม่ใช่หรือ อีกอย่างหนึ่งมีหลายต้นถอนมาด้วยทั้งราก แม้ต้นหนึ่งจะออกผลยี่สิบปีหน แต่พวกมันล้วนปลูกกันคนละปี ทุกปีล้วนจะมีผลไม้สุกจำนวนมาก ข้าจะปลูกพวกมัน พอปีหน้าก็จะมีผลออกมามากมายอีก!”
ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ถอนมามั่วซั่วเหมือนแมวตาบอดตะปบหนูตาย ทว่าต้นที่ถอนขึ้นมาต่างเป็นต้นสองภพที่อายุสิบกว่าปี อีกไม่กี่ปีก็จะออกดอกติดผล
เฮ่อหลันชิงตั้งแต่เล็กจนโตเคยกินมันมาไม่น้อย ผลไม้ชนิดนี้จึงไม่มีผลกับนางล้ว แต่กับองครักษ์เกราะทมิฬของนางยังได้ผลอย่างยิ่งอยู่
เฮ่อหลันชิงลูบหัวไหล่ลูกสาวอย่างรักใคร่
แต่เฉียวเวยกลับรู้สึกว่าหัวไหล่ของตนชาไปครึ่งหนึ่ง…
พวกไห่สือซานได้กินผลสองภพสักผลในชีวิตก็รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนักแล้ว ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ผลสองภพผลนั้นที่จวนไท่ซือ สำนักซู่ซินจงกับสมาคมกระบี่แย่งชิงกันจนหัวแตกเลือดอาบ พวกเขาชั่วชีวิตได้ดมกลิ่นใบของต้นสองภพก็รู้สึกพอใจแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าจะมีวาสนาได้กินผลไม้ขาวอวบอ้วนผลหนึ่ง
เฉียวเวยเลือกมาแต่ลูกโตๆ ยามถือไว้ในมือรู้สึกหนักอึ้ง
ทุกคนตื่นเต้นดีใจแต่ก็รู้สึกซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีอู๋ซวง
ไห่สือซานมองจีอู๋ซวงแวบหนึ่งแล้วล้อว่า “เห็นแล้วหรือไม่ เจ้าทำกับผู้อื่นเช่นไร ผู้อื่นทำกับเจ้าเช่นไร”
จีอู๋ซวงอึกอัก “ผู้ใด ผู้ใดอยากได้กัน”
ไห่สือซานจึงว่า “ไม่อยากได้ก็ให้ข้าแล้วกัน!”
จีอู๋ซวงกลอกตาใส่เขา แล้วซุกผลสองภพเข้าไปในอกเสื้อ
ไห่สือซานอยากล้อเขาอีกสักหลายประโยค แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะนัก ยังไม่รู้ว่านายน้อยอยู่ที่ใด เรื่องด่วนคือต้องรีบตามหานายน้อยให้พบ
เฉียวเวยปรึกษากับพวกเขาอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจให้ไห่สือซานกับสือชีลอบเข้าไปสืบในสำนักผู้อาวุโสก่อน ดูว่าหมิงซิวอยู่ข้างในหรือไม่
“อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น อย่าสู้ติดพันกับศัตรู”
ศิษย์กลุ่มนั้นเลือกคนใดออกมาสักคนก็ล้วนซัดไซน่าอิงให้หมอบได้ หากพูดแบบมารดาของนางก็คือ ถ้ายอดฝีมือแบ่งเป็นสิบระดับ ไซน่าอิงพอฝืนอยู่ระดับสาม ส่วนคนกลุ่มนั้นทั้งหมดล้วนบรรลุถึงระดับห้า
แน่นอนว่านี่เป็นการเปรียบเทียบของมารดานางเท่านั้น แต่สองฝ่ายพลังต่างกันมากเกินไป เรื่องนี้เฉียวเวยกับอี้เชียนอินสัมผัสมาอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองจริงๆ ดังนั้นต่อให้ร้ายกาจเท่าสือชี ดีที่สุดก็อย่าสู้ซึ่งหน้ากับยอดฝีมือโขยงนั้นดีกว่า
สือชีพาไห่สือซานเดินทางไปที่สำนักผู้อาวุโส
ค่ำคืนนั้นคงถูกลิขิตให้เป็นค่ำคืนที่ผู้ใดก็มิอาจหลับตานอน ตอนที่ไห่สือซานกับสือชีเดินทางไปสืบที่สำนักผู้อาวุโสนั่นเอง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามผู้ประจักษ์ภาพการฆ่าล้างบางกับตาก็วิ่งโซซัดโซเซกลับไปยังตำหนักธิดาเทพ
แม้ค่ำคืนนี้นางจะพาคนออกไปก็จริง แต่นางทั้งลงทั้งราก สูญเสียพละกำลังไปมากมายนัก ฝีเท้าจึงสู้ศิษย์กลุ่มนั้นไม่ได้อยู่มาก ดังนั้นเมื่อนางรีบเร่งไปถึงสถานที่เกิดเหตุในที่สุด ทหารม้าเหล็กของเฮ่อหลันชิงก็ล้อมศิษย์ทั้งหลายของนางไว้แล้ว
จำนวนคนมากมายเหลือเกิน นางตัวคนเดียวสู้กับคนมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเฮ่อหลันชิงยังอยู่ที่นั่นด้วย วรยุทธ์ของศิษย์พี่รองเหนือกว่านางยังถูกเฮ่อหลันชิงลอบสังหารในกระบวนท่าเดียว ตอนนี้นางสูญเสียเรี่ยวแรงไปมากมาย จะเป็นคู่ต่อสู้ของเฮ่อหลันชิงได้เช่นไรเล่า
นางไม่กล้าโผล่ออกไป ทำได้แต่ปิดปาก ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ มองดูศิษย์สายตรงที่ตนเองลำบากลำบนฝึกฝนมาถูกเข่นฆ่าจนตายสิ้น
เฮ่อหลันชิงเป็นมารร้าย!
แต่นางไม่ลองคิดบ้างว่าตอนที่คนทั้งสามสิบกว่าคนนั่นไล่ฆ่าเฉียวเวย พวกเขาก็ไม่ยั้งมือแม้แต่น้อยเช่นกัน สิ่งที่ใช้คือมีดบินอาบยาพิษที่มีพิษร้ายแรงที่สุด มีดบินอาบยาพิษเช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงสิบเล่มร้อยเล่ม เพียงเล่มเดียวก็ส่งเฉียวเวยไปพบองค์เทพได้แล้ว เฉียวเวยรอดชีวิตมาได้ ไม่ใช่เพราะความสงสารของพวกนาง ถ้าเช่นนั้นเฮ่อหลันชิงไยต้องยั้งมือไว้ไมตรีอีกเล่า
พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็คือผู้ใดเก่งกาจกว่าผู้นั้นก็อยู่รอดต่อไปก็เท่านั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่…ศิษย์พี่ใหญ่… ศิษย์พี่ใหญ่ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้ข้านะ…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามถลาเข้ามาในห้องก่อนจะสะดุดล้มลงบนพื้น นางไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวด คลานลุกขึ้นถลามาที่เตียง แล้วกอดเอวของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอาไว้ น้ำตาไหลนองหน้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเพิ่งดึงตัวเองออกมาจากฝันร้ายที่สูญเสียยากับผลสองภพทั้งหมดอย่างยากลำบาก กำลังจะนอนหลับก็ถูกศิษย์น้องของตนเองร่ำไห้ถลามากอด นางหน้าบึ้งอย่างห้ามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้ากับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกก็อยู่ด้วย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสี่แตกคอกับนางแล้วจึงคร้านจะสนใจนาง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้าถูกสภาพของนางทำเอาตกใจกลัวจึงไม่กล้าสนใจนาง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกที่ปกติสุขุมหนักแน่นที่สุดเป็นผู้เอ่ยปาก “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม มีเรื่องใดท่านก็เล่ามาดีๆ ปล่อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งก่อน นางยังขจัดพิษในร่างไม่หมด กำลังอ่อนแออยู่นะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามร่ำไห้พลางปล่อยมือออก แต่นางร้องไห้หนักเกินไป พูดจาไม่เป็นประโยคสักนิด
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกมองนางแล้วเอ่ยว่า “ท่านไม่ได้พาคนตามจั๋วหม่าน้อยไปหรือ ตามไม่ทันหรือไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามเอาแต่ร่ำไห้ไม่พูดไม่จา
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกเอ่ยอีกว่า “ท่านบาดเจ็บหรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามส่ายหน้า
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกเอ่ยปลอบ “ไม่บาดเจ็บก็ดี ตามคนไม่ทัน พวกเราค่อยคิดหาวิธีก็ได้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับห้าเอ่ยตาม “ใช่แล้ว ศิษย์พี่สาม สุดท้ายพวกเราก็จะคิดหาวิธีได้ พวกเราจับนางได้หนึ่งหน ก็ต้องจับนางได้สองหน ท่านไม่ต้องเสียใจเกินไปหรอก”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสะอึกสะอื้นบอกว่า “ตายแล้ว…สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหก…ชิงซวงพวกนาง…หมด…หมด…ตายแล้ว…”
“ท่านพูดว่าอะไรนะ”สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถามเป็นเสียงเดียว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามร่ำไห้ “เฮ่อหลันชิงมา…”
เพียงได้ยินว่าเฮ่อหลันชิงมาประโยคเดียว ทุกคนก็เข้าใจทุกสิ่งแล้ว
ดาวหายนะน้อยคนนั้น ปกป้องลูกของตนเองจนไม่สนใจสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่เดิมนางก็เห็นตำหนักธิดาเทพขัดหูขัดตาอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ขัดหูขัดตา แต่พบว่าพวกนางไล่ฆ่าลูกสาวของนางอยู่ก็คงกลายเป็นขัดหูขัดตาเหมือนกัน
สำหรับนางมารผู้นั้นแล้วการสังหารมนุษย์ก็เหมือนการเหยียบมดปลวกตัวหนึ่งตายเท่านั้น
ศิษย์กลุ่มหนึ่งก็เท่ากับเหยียบมดปลวกรังหนึ่งตาย
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งโกรธจนหน้าซีดเผือด “มีอย่างที่ไหน มีอย่างที่ไหน มีอย่างที่ไหน พวกนางแม่ลูก คนหนึ่งปล้นสมบัติของตำหนักธิดาเทพของข้า คนหนึ่งฆ่าล้างบางศิษย์ตำหนักธิดาเทพของข้า พวกนางจะรังแกคนมากเกินไปแล้ว! ไม่สั่งสอนบทเรียนให้พวกนางสักหน่อย พวกนางคงคิดว่าตำหนักธิดาเทพไม่มีคนอยู่แล้วจริงๆ!”
ทุกคนหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกขมวดคิ้ว “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ท่านคิดจะทำเช่นไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกำหมัดแน่น สีหน้าเหี้ยมเกรียม “ไปสำนักผู้อาวุโส…จับตัวนายน้อยตระกูลจีมาให้ข้า! ข้าจะดูซิว่าจั๋วหม่าน้อยจะไม่สนใจไยดีความเป็นความตายของสามีนางหรือไม่!”
…
ณ สำนักผู้อาวุโส ผู้อาวุโสทั้งหมดถูกคนของตำหนักธิดาเทพกล่อมให้กลับบ้านไปแล้ว สำนักผู้อาวุโสกับตำหนักธิดาเทพเชื่อใจและเป็นมิตรต่อกันอย่างยิ่งมาตลอด ดังนั้นตอนที่ตำหนักธิดาเทพเสนอว่าจะทำพิธีกรรมรักษาความมงคลส่งเสริมความรุ่งเรืองให้สำนักผู้อาวุโส ผู้อาวุโสทั้งหลายจึงตกลงอย่างแทบจะไม่ลังเลแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสกับศิษย์ทั้งหลายล้วนกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ยามนี้ทั่วทั้งภูเขาและพงพนาล้วนมีแต่ศิษย์ของตำหนักธิดาเทพแน่นขนัดดำทะมึน
ศิษย์พี่ใหญ่ชิงหงเป็นลูกศิษย์ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งภาคภูมิใจที่สุด ไม่เพียงวรยุทธ์ยอดเยี่ยม แต่ยังฉลาดเฉลียว ขยันขันแข็ง ได้รับความไว้วางใจจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยิ่งนัก
ภารกิจของนางหนนี้คือการเฝ้าหอศิลาทั้งสิบสามหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าแขกที่อยู่ด้านในต่อให้ติดปีกก็บินหนีไปไม่ได้ แล้วก็ทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีคนผู้ใดพาเขาจากไปได้
แต่จู่ๆ นางก็ได้รับคำสั่งจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง ให้คุมตัวบุรุษผู้นี้ไปที่ตำหนักธิดาเทพ
ชิงหงเก็บแถบกระดาษเรียบร้อยก็ก้าวขึ้นไปบนหอศิลา สั่งกับศิษย์ที่เฝ้ายามอยู่ว่า “เปิดประตู”
“เจ้าค่ะ”
ศิษย์หญิงล้วงกุญแจออกมาไขแม่กุญแจบนประตูศิลา หลังจากนั้นจึงกดกลไกด้านข้าง ประตูศิลาเปิดออก
ชิงหงก้าวเท้าเดินเข้าไปในหอตำราลับ
ศิษย์หญิงเตือนว่า “ศิษย์พี่ชิงหง ท่านพกอาวุธเข้าไปด้วยดีหรือไม่”
ชิงหงตอบอย่างเฉยเมย “อาจารย์ของข้าบอกว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ์แม้แต่น้อย ไม่มีค่าให้กลัว พวกเจ้าถอยไปเถิด”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ชิงหง” ศิษย์หญิงกับสหายถอยออกไปพร้อมกัน
ชั้นสองมีแสงจากเทียนไขส่องลงมาตกต้องบันได ชิงหงก้าวขึ้นบันไดท่ามกลางแสงสลัวนี้
ตำหนักธิดาเทพก็มีหอตำราลับของตนเองเช่นกัน แต่เทียบกับสำนักผู้อาวุโส มันไม่มีค่าให้พูดถึงอย่างสิ้นเชิง
แต่ชิงหงเป็นคนฝึกยุทธ์ นางไม่ชอบการสะบัดปลายพู่กันเขียนอักษรอะไรพวกนั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นทะเลตำราแห่งนี้ นางจึงรู้สึกทึ่งกับจำนวนอันมหาศาลก็เท่านั้น
ชิงหงยืนอยู่ท่ามกลางทะเลตำรา มองดูชั้นหนังสือหนาหนักแถวแล้วแถวเล่าแล้วเอ่ยขึ้นเสียงดัง “นายน้อยจี อาจารย์ของข้าเชิญเจ้าไปพบ”
ไม่มีเสียงตอบรับ
ชิงหงหัวเราะหยัน “หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะไปจับตัวด้วยตนเอง ข้าคนนี้อารมณ์ร้าย พละกำลังก็ไม่น้อย ถูกข้าลากตัวออกมาคงลำบากสักหน่อย”
ยังไม่มีผู้ใดสนใจนาง
ชิงหงมองเงาคนต้องแสงเทียนไขที่ทอดผ่านบนชั้นหนังสือ แล้วหัวเราะอย่างดูแคลน “ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบดื่มสุราคารวะแต่อยากจะดื่มสุราลงทัณฑ์ ก็ดีข้าได้ยินว่าวันนี้ภรรยาของเจ้าก่อเรื่องที่ตำหนักธิดาเทพร้ายแรงพอดู อาจารย์ของข้ากำลังโกรธอยู่ ข้าซัดเจ้าระบายโทสะให้อาจารย์ของข้าสักที นายน้อยตระกูลจีคงไม่ถือสาหรอกกระมัง”
ตุ้บ!
เสียงหนังสือร่วงลงบนพื้น
ชิงหงไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจกระโดดหลบ ทว่าไม่นานก็สงบอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว นางหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แน่นอนว่าหากเจ้ากลัวแล้วคุกเข่าขอร้องข้า บางทีข้าอาจจะลองยั้งมือไว้ไมตรี”
สายลมเย็นม้วนเป่าเทียนไขให้สั่นไหว เปลวเทียนวูบไหว เงาคนส่ายเบาๆ มองดูแล้วประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
หัวใจของชิงหงขนลุกซู่ นางตั้งสมาธิ แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ข้าว่าเจ้าคงไม่ชอบดื่มสุราคารวะแต่อยากจะดื่มสุราลงทัณฑ์จริงๆ เสียแล้ว!”
กล่าวจบ ชิงหงก็อ้อมชั้นหนังสือสาวเท้าเร็วไวไปยังทิศของแท่นวางเทียนไขกับเงาคน ทว่านอกจากเสื้อคลุมตัวนอกเปล่าๆ ที่กางเอาไว้ตัวหนึ่ง ยังมีเงาของจีหมิงซิวอยู่ที่ไหนอีกเล่า