หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 263-1 พี่ซิวลงมือ ความจริงของแผ่นดินไหว
ตอนที่ 263-1 พี่ซิวลงมือ ความจริงของแผ่นดินไหว
ข่าวแผ่นดินไหวแพร่ไปทั่วทั้งเกาะอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ทั้งเกาะตื่นตระหนก เพราะในประวัติศาสตร์เคยมีตัวอย่างอยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงนึกโยงไปถึงเหตุการณ์แท่นประกอบพิธีบวงสรวงถล่มเมื่อวันขึ้นปีใหม่ได้ไม่ยาก ธิดาเทพบาดเจ็บในพิธีบวงสรวง แต่เดิมก็เป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งอยู่แล้ว น่าเสียดายปราสาทเฮ่อหลันในยามนั้นก็ดี หรือสำนักผู้อาวุโสก็ดี ล้วนไม่มีผู้ใดแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้ ยังคงบีบบังคับให้ธิดาเทพทำพิธีต่อไปให้เสร็จ ครานี้เป็นอย่างไรเล่า องค์เทพพิโรธแล้ว เกาะแผ่นดินไหวแล้ว
ภัยพิบัติเกิดขึ้นใกล้กันเกินไป หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับพิธีบวงสรวงคงไม่มีผู้ใดเชื่อ
หนนี้ไม่ต้องให้ตำหนักธิดาเทพเปลืองแรงปลุกปั่นอันใด ชาวเผ่าบนเกาะก็เริ่มตำหนิปราสาทเฮ่อหลันแล้ว
“โธ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
“ไม่ใช่มีคนทำให้องค์เทพพิโรธหรือ”
“เจ้าหมายถึงจั๋วหม่าน้อยหรือ”
“ข้าได้ยินว่าบิดาของจั๋วหม่าน้อยไม่ใช่คนเผ่าถ่าน่า เขาเป็นบุรุษจงหยวนคนหนึ่ง ตัวนางก็แต่งงานแล้ว สามีก็เป็นคนจงหยวนเหมือนกัน ในตัวนางมีเลือดคนจงหยวนอยู่ ลูกของนางก็มีสายเลือดจงหยวนอยู่ สายเลือดของนางไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นองค์เทพจึงไม่ยินดียอมรับนาง ไม่ต้องการให้นางกลายเป็นจั๋วหม่าน้อยของเผ่า”
“จั๋วหม่ายังปกป้องนางด้วย”
“ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า…ธิดาเทพบาดเจ็บแต่นางไม่สงสารสักนิด ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า”
ไม่ทราบว่าทุกคนเคยชินกับนิสัยโมโหร้ายของเฮ่อหลันชิงหรือหวาดกลัวความดุร้ายของนาง คำพูดจึงตำหนิติเตียนนางน้อยกว่าเฉียวเวยอยู่บ้าง แต่ก็ยังถูกนับว่าเป็น ‘พรรคพวกของคนร้าย’ อยู่ดี
หน้าปราสาทเฮ่อหลันมีชาวเผ่าบนเกาะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทุกคนขวางหน้าประตูใหญ่ของปราสาทเฮ่อหลัน เรียกร้องให้เหอจั๋วออกมาให้คำอธิบายกับทุกคน ปากของทุกคนพร่ำเรียกร้องต้องการคำอธิบาย แต่ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจากเหอจั๋วคือการตัดสินใจ
พอเหอจั๋วรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา บนศีรษะก็มีก้อนปูดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อนแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองได้มาอย่างไร นางกำนัลชิงเหยียนทายาแก้ฟกช้ำช่วยไหลเวียนเลือดให้เขา ในตัวยามีส่วนประกอบของสะระแหน่อยู่จำนวนหนึ่ง หลังจากทาแล้วทำให้คนสดชื่นขึ้นไม่น้อย
แผ่นดินไหวผ่านไปแล้ว เขาถูกแบกกลับขึ้นมาบนเตียงของตนเอง แต่บอกไม่ถูกว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติอยู่!
“ชิงเหยียน” เขาเรียก
นางกำนัลชิงเหยียนเก็บยาเรียบร้อยแล้ว “เหอจั๋ว ท่านเรียกข้าหรือ”
เหอจั๋วถามอย่างแปลกใจ “เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฉียวเจิงสั่งไว้ก่อนแล้วว่าสภาพของเหอจั๋วในยามนี้ไม่อาจรับเรื่องสะเทือนใจใดๆ ได้ เรื่องแผ่นดินไหวย่อมต้องปิดปากให้สนิทห้ามบอกเขา
นางกำนัลชิงเหยียนหลุบตาลง แววตาวูบไหวก่อนจะคลี่ยิ้มตอบว่า “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ท่านไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”
“ปวดหัว” เหอจั๋วลูบรอยปูดบนศีรษะ
นางกำนัลชิงเหยียนกระแอมเบาๆ “ข้าสะพร่าเอง แมลงพิษเข้ามาในห้องก็ยังไม่รู้ตัว”
“ถูกแมลงกัดหรือ” เหอจั๋วถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ชิงเหยียนกะพริบตา “ใช่…ใช่แล้วเจ้าค่ะ! แน่นอนว่าถูกแมลงกัด ไม่เช่นนั้นท่านคิดว่าชนถูกตรงไหนเล่าเจ้าค่ะ”
เหอจั๋วจำไม่ได้ หากชนสิ่งใดปกติย่อมต้องตื่น แต่เมื่อครู่เขากระแทกแล้วสลบไปทันที พอลืมตาขึ้นมาก็เป็นตอนที่ชิงเหยียนกำลังทายาให้เขาเมื่อครู่แล้ว
เขามองทิวทัศน์อันงดงามนอกหน้าต่าง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้านอนอยู่บนเตียงนานเกินไปแล้ว น่าจะลุกขึ้นไปเดินสักหน่อย”
คิ้วของชิงเหยียนเด้งขึ้นทันที มือขยับคว้าแขนเขาทันควัน “ไปไม่ได้เจ้าค่ะ!”
“เหตุใดเล่า” เหอจั๋วถามอย่างงุนงง
นางกำนัลชิงเหยียนอ้าปากพะงาบๆ “เพราะ…ท่านหมอบอกว่า ท่านต้องอยู่นิ่งๆ รักษาตัว โดยเฉพาะช่วงสองสามวันนี้”
เหอจั๋วหัวเราะ “เมื่อวันก่อนยังบอกให้ข้าลงจากเตียงไปเดินอยู่เลย”
นางกำนัลชิงเหยียนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อวันก่อนก็คือเมื่อวันก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้! ท่านถูกแมลงพิษกัดมา พิษที่เหลืออยู่ยังขจัดไม่หมด! หากเดินส่งเดช…จะทำให้พิษแพร่กระจาย ตอนนี้ท่านรู้สึกปวดหัวมากเป็นพิเศษใช่หรือไม่”
ศีรษะถูกกระแทกจนปูดเท่าไข่ไก่ ผู้ใดก็ต้องปวดอย่างยิ่งทั้งนั้น
เหอจั๋วลูบศีรษะ “ก็ปวดอยู่นิดๆ”
นางกำนัลชิงเหยียนพูดต่อว่า “ปวดก็ถูกแล้ว ท่านนอนลง พักผ่อนดีๆ สักสองสามวัน รอก้อนปูดก้อนนี้หายไป พิษถูกขจัดหมดเกลี้ยงแล้ว ถึงตอนนั้นท่านอยากไปเดินเล่นที่ใดก็ได้ทั้งสิ้น”
เหอจั๋วครุ่นคิด “ก็ได้ ข้าไม่ออกไปสร้างความลำบากให้พวกเขาแล้ว”
นางกำนัลชิงเหยียนยิ้มเก้อกระดาก
“ชิงเหยียน” เหอจั๋วกำลังจะล้มตัวลงนอน ทันใดนั้นร่างกายก็ชะงัก
หัวใจของนางกำนัลชิงเหยียนตึงเครียด “มีเรื่องใดหรือ เหอจั๋ว”
เหอจั๋วครุ่นคิด “ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงบางอย่าง”
นั่นคือเสียงตะโกนโหวกเหวกของชาวเกาะที่มาก่อเรื่อง นางกำนัลชิงเหยียนยิ้มเจื่อน “ท่านฟังผิดแล้วเจ้าค่ะ มีเสียงอะไรที่ไหน”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นปิดหน้าต่าง
เหอจั๋วเพ่งสมาธิฟัง “มีเสียง คนมากมาย หนวกหูยิ่งนัก”
นางกำนัลชิงเหยียนรีบปิดประตู แล้วบอกว่า “นั่นเป็นเสียงทหารม้าเหล็กของจั๋วหม่ากำลังฝึกวรยุทธ์เจ้าค่ะ!”
เหอจั๋วพูดขึ้นมาอย่างสงสัย “เมื่อครู่ตอนนอนอยู่ ข้าเหมือนจะรู้สึกว่าเตียงสั่นๆ”
นางกำนัลชิงเหยียนรีบบอกว่า “ก็พวกเขากำลังฝึกวรยุทธ์อย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
“เช่นนั้นหรือ” เหอจั๋วพึมพำ
นางกำนัลชิงเหยียนคลี่ยิ้ม “แน่นอนสิเจ้าคะ หากท่านรังเกียจว่าเสียงดัง ข้าจะไปบอกจั๋วหม่าให้พวกเขาเลิกฝึก”
เหอจั๋วโบกมือ “ไม่ต้อง ไม่หนวกหู ให้พวกเขาฝึกต่อไปเถิด”
นางกำนัลชิงเหยียนยิ้มแหย “เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นท่านก็รีบนอนดีๆ เถิด”
เหอจั๋วล้มตัวลงนอน นางกำนัลชิงเหยียนห่มผ้าให้เขา จากนั้นจึงหันหลังให้แล้วถอนหายใจเงียบๆ
เหอจั๋วล้มป่วยจนเป็นเช่นนี้แล้ว หากทราบว่าบนเกาะเกิดแผ่นดินไหว แล้วทุกคนยังโทษจั๋วหม่ากับจั๋วหม่าน้อยอีก น่ากลัวว่าคงโมโหจนจากไปแน่
ภายในสวนดอกไม้น้อย ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะหินเพื่อหารือมาตรการรับมือ
จีอู๋ซวงกล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่าหาวิธีเปิดโปงแผนร้ายของตำหนักธิดาเทพน่าจะดี ให้คนข้างนอกพวกนั้นรู้ว่าแท่นพิธีถล่มเพราะฝีมือของธิดาเทพ ไม่ใช่องค์เทพพิโรธอะไรนั่น”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจิ๊ปาก “เพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อนัก!”
จีอู๋ซวงเถียง “เพ้อเจ้ออย่างไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “ฐานะของธิดาเทพในใจพวกเขาก็เหมือนฐานะของนายน้อยในใจพวกเรา เจ้าจะสงสัยนายน้อยหรือ ต่อให้วันใดนายน้อยสังหารเจ้า ข้าว่าเจ้าก็โกรธแค้นเขาไม่ลงหรอก”
ไห่สือซานพยักหน้าเห็นด้วย “เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดไม่ผิด หลายวันนี้ข้าตระเวนสืบข่าวบนเกาะอยู่ตลอด ข้าค้นพบว่าบารมีของตำหนักธิดาเทพในหมู่ชาวบ้านเกือบจะเหนือกว่าตระกูลเฮ่อหลันอยู่แล้ว ต่อให้พวกเราบอกว่าธิดาเทพมีเจตนาแอบแฝง คาดว่าก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ”
ถึงจีอู๋ซวงจะมีนิสัยสุขุมถึงเพียงนั้น แต่ยามนี้ก็อดไม่ได้ร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว “ธิดาเทพเป็นวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ บีบให้นางแสดงฝีมือออกมาก็พอแล้ว”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแค่นเสียงดังเหอะ “นั่นจะพิสูจน์อะไรได้เล่า ต่อให้ธิดาเทพเป็นวรยุทธ์ก็ไม่ได้หมายความว่านางทำให้แท่นถล่มเสียหน่อย!”
จีอู๋ซวงเอ่ยสีหน้าจริงจัง “แต่นางเป็นคนทำให้ถล่ม!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างจนปัญญา “เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจความหมายของข้า ข้าเข้าใจว่านางเป็นคนทำให้มันถล่ม พวกเราต่างรู้! แต่คนพวกนั้นบนเกาะไม่มีทางเชื่อ! ในใจพวกเขาธิดาเทพเป็นที่เคารพศรัทธา ผู้ใดทำให้นางมีมลทิน ผู้นั้นย่อมเป็นศัตรูขององค์เทพของพวกเขา”
“ถูกต้องแล้ว” ไห่สือซานนึกถึงเรื่องนี้ก็ปวดหัวเหมือนกัน
จีอู๋ซวงว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าสองคนเหตุใดจึงเอาแต่เชิดชูผู้อื่น ดูถูกตนเอง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “พวกเรามองตามความเป็นจริงต่างหาก ใช่หรือไม่สือซาน”
ไห่สือซานกระแอม แล้วตบอี้เชียนอินที่อยู่ด้านข้างเบาๆ “เชียนอิน เจ้าพูดอย่างเป็นธรรมซิ”
อี้เชียนอินกำลังเท้าศีรษะอยู่บนแขนข้างหนึ่ง มองเฮ่อหลันชิงที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ดวงตามีแต่ความเหม่อลอย ไม่ได้ยินสักนิดว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
ไห่สือซานตบกะโหลกเขา “เจ้าเด็กเวร!”
อีกโต๊ะหนึ่ง เฮ่อหลันชิงเปิดปากว่า “คนพวกนี้อยากถูกซ้อม ข้าจะออกไปสังหารสักสองสามคน! ดูซิว่าพวกเขายังจะกล้าก่อเรื่องอีกหรือไม่!”
เฉียวเจิงรั้งแขนของนางไว้แล้วดึงนางนั่งลง “เจ้าอย่าวู่วาม คนพวกนั้นล้วนเป็นชาวเผ่าผู้บริสุทธิ์ พวกเขาหวาดกลัวจะแย่แล้ว ไยต้องไปสร้างความลำบากให้พวกเขาอีกเล่า”
เฮ่อหลันชิงว่าอย่างดูแคลน “ไม่สร้างความลำบากให้พวกเขา รอพวกเขามาสร้างความลำบากให้พวกเราหรือ”
เฉียวเวยปลอบเสียงอ่อนโยน “ชิงหลวน อดทนไว้ๆ จัดการเรื่องเช่นนี้ ข้าเก่งที่สุด สังหารไปก็สังหารไม่หมด พวกเราต้องเลียนแบบวิธีของตำหนักธิดาเทพ เกลี้ยกล่อมด้วยความจริงใจ โน้มน้าวด้วยเหตุผล ใช้ความจริงใจกับความอ่อนโยนกล่อมเกลาพวกเขา”
เฮ่อหลันชิงกับเฉียวเวยมองเฉียวเจิงด้วยแววตาแปลกประหลาด
เฉียวเจิงตบหน้าอกอย่างมั่นใจ “ข้าจัดการเอง ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย!”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เฉียวเจิงหิ้วตะกร้าใส่ขนมอย่างดีหลายใบเดินออกไปจากปราสาทเฮ่อหลัน
สองเค่อหลังจากนั้น เฉียวเจิงร่างกายเต็มไปด้วยใบผักกับไข่เน่ากลับเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลัน
เฮ่อหลันชิงคว้าแส้บนโต๊ะขึ้นมา “ข้าจะไปเชือดพวกเขา!”
เฉียวเวยกอดนางไว้ “ท่านแม่ ท่านแม่ของข้า! ตอนนี้ท่านจะบุ่มบ่ามไม่ได้เด็ดขาด! หากท่านวู่วามจะตกหลุมพรางของนางปีศาจเฒ่าฝูงนั้น นางปีศาจเฒ่าของตำหนักธิดาเทพรอให้ท่านลงมือกับชาวเผ่าผู้บริสุทธิ์พวกนั้นอยู่นะ หากเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะจุดโทสะของคนทั้งเกาะ! ข้ารู้ว่าท่านไม่สนว่าผู้อื่นจะมองท่านอย่างไร แต่ท่านกับคนบนเกาะสู้กันไปสู้กันมา นางปีศาจเฒ่าของตำหนักธิดาเทพก็จะได้นั่งชมละครกันสนุกสนาน เช่นนั้นไม่ยกประโยชน์ให้พวกนางเกินไปหรือไร”
เฮ่อหลันชิงคิดดูก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริง นางจึงวางแส้แล้วกลับมานั่ง “ลูกสาวคนดีพูดถูกแล้ว จะปล่อยให้คนต่ำช้าพวกนั้นหัวเราะเยาะไม่ได้”
นางนิ่งไปครู่หนึ่งก็ลุกพรวดขึ้นมาใหม่ “ข้าจะไปสังหารคนต่ำช้าฝูงนั้น!”
เฉียวเวยรู้อยู่แล้วเชียว “ท่านแม่ สังหารคนเป็นเรื่องง่าย แต่สังหารพวกนางไปเช่นนี้ จะปล่อยให้พวกนางสบายเกินไป อย่างไรก็ต้องให้พวกนางลิ้มรสชาติของการถูกชี้นิ้วรุมประณามก่อนสิ!”
เฮ่อหลันชิงมองนิ้วมือเรียวเล็กครู่หนึ่ง “ชี้นิ้วรุมประณามหรือ ความคิดนี้ดี”
“เชียนอิน” เฉียวเวยกวักมือเรียกอี้เชียนอิน
อี้เชียนอินเดินกระโดดโลดเต้นเข้ามา ท่าทางเหมือนหนุ่ม (สาว) น้อยวัยแรกรักยิ่งนัก “ฮูหยินน้อย!”
เฮ่อหลันชิงกำลังขบคิดว่าจะทำให้คนชี้นิ้วรุมประณามพวกนางได้อย่างไรจึงไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินเข้ามา
เขาเรียกพี่เฮ่อหลันเสียงหวาน
หัวใจดวงน้อยของเฉียวเวยกรีดร้องรับว่ารับไม่ได้ๆ กับท่าทางของเขา นางดันใบหน้าของเขาให้หันไปอีกด้าน “ตอนนี้เจ้ายังสวมใบหน้าของชิงหงอยู่ ไม่สู้ฉวยโอกาสไปสืบข่าวที่ตำหนักธิดาเทพสักหน่อย ดูซิว่าก้าวต่อไปพวกนางจะทำอะไร”
…