หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 267-2 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน
ตอนที่ 267-2 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งสัญญาณมือให้องครักษ์ องครักษ์ปิดประตูของห้องโถงใหญ่แล้วดึงม่านหนาลงมา แสงในห้องโถงมืดสลัวทันที ไข่มุกจันทร์กระจ่างทอแสงสีเขียวหยก แสงสีเขียวเรืองรอง ทว่าพริบตาที่ผู้อาวุโสใหญ่กำมัน มันก็เปลี่ยนสี
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งไข่มุกให้เฉียวเวย เมื่อไข่มุกอยู่ในมือของเฉียวเวยมันก็เปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวหยกอีกหน แต่เมื่อมันมาอยู่ในมือขององครักษ์ทั้งหลาย มันก็เปลี่ยนสีอีกรอบ
ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่เชื่อคำพูดของเฉียวเวยอย่างสนิทใจแล้ว เขาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ เดือดดาลอย่างหาที่สุดไม่ได้ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง! สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหก! ตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้ายังมีคำใดจะพูดอีกหรือไม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
…
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งสารผ่านพิราบไปให้ผู้อาวุโสสี่คนที่เมืองน้อยทันที บอกให้พวกเขาเรียกผู้นำทั้งแปดเดินทางกลับเมืองถ่าน่าเดี๋ยวนี้
ทุกคนรีบเร่งเดินทางไปยังห้องประชุมที่ปราสาทเฮ่อหลันอย่างเร็วที่สุด ผู้อาวุโสใหญ่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้ทุกคนฟังอย่างสั้นกระชับ ผู้อาวุโสใหญ่กับจั๋วหม่าน้อยรีบร้อนออกไปจากเมืองน้อยตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนคิดว่าพวกเขากลับเมืองไปเตรียมข้าวของเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพวกเขากลับมาสืบคดี แล้วยังเป็นการสืบคดีใหญ่สะเทือนฟ้า!
ป้อมปราการสูงพันฉื่อในหัวใจที่คนชนเผ่าถ่าน่าสร้างขึ้นเพื่อตำหนักธิดาเทพถูกคนถล่มดังครืนในพริบตา ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก ความหนาวเย็นแผ่ลามมาจากสันหลัง หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมา พวกเขาหาถ้อยคำที่เหมาะสมมาบรรยากายความรู้สึกในยามนี้ไม่ได้ หากจะบังคับให้พูดสักคำ ก็คงรู้สึกเหมือนถูกคนที่ใกล้ชิดที่สุดแทงข้างหลัง หากจะให้พูดตรงขึ้นอีกก็คือถูกแทงนับครั้งไม่ถ้วน น่าชังนักที่พวกเขาไม่เคยสะกิดใจสักนิด ทุกวันทุกคืนปฏิบัติกับคนผู้นี้อย่างสนิทชิดเชื้อ
พวกเขาช่างโง่จริงๆ!
“ไม่…ไม่มีทาง…” ปี้หลัวฟู่พึมพำอย่างอย่างหวาดผวา “ตำหนักธิดาเทพไม่มีทางทำเช่นนั้นหรอกกระมัง”
แม้ประมุขตระกูลถ่าถาเอ่อร์ผู้เป็นบิดาของไซน่าฮูหยินจะอยู่ฝ่ายเดียวกับจั๋วหม่าน้อย แต่ตอนนี้เขาก็ยังอดพูดแทนตำหนักธิดาเทพไม่ได้ “จริงด้วย ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านเข้าใจผิดหรือไม่”
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบอย่างเจ็บปวด “ข้าก็หวังว่าข้าจะเข้าใจผิด เมื่อวานตอนรู้เรื่องนี้ ข้านอนพลิกไปมามิอาจหลับใหลตลอดคืน วันนี้ข้าจึงตัดสินใจครั้งใหญ่เดินทางไปค้นตำหนักธิดาเทพ แต่ว่าถึงข้าจะเห็นหลักฐานเหล่านั้นแล้ว ในใจข้าก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่..ข้าเสียใจยิ่งนักที่ต้องบอกพวกเจ้าว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องจริง”
ผู้นำทั้งหลายใช้เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยเต็มๆ ในการยอมรับข่าวอันน่าสะเทือนใจหนนี้
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นพวกเรายังมีทางช่วยหรือไม่” ปี้หลัวฟู่ถามออกมาอย่างกลัวตาย
ผู้อาวุโสใหญ่หันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “สามีของข้ากำลังอ่านตำราที่โหราจารย์ทิ้งเอาไว้ให้อยู่ หวังว่าจะหาวิธีรักษาพบในนั้น”
ทุกคนถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีความหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งไม่ใช่หรือ
หลังจากสำนักผู้อาวุโสกับผู้นำทั้งแปดหารือกันอย่างดุเดือด สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจเปิดศาลไต่สวนพิพากษาความผิดของตำหนักธิดาเทพ การพิพากษาหนนี้มีสำนักผู้อาวุโสเป็นศาลคุณธรรม ศาลคุณธรรมในเผ่าถ่าน่ามีฐานะเทียบเท่ากรมอาญา สำนักผู้อาวุโส ผู้นำทั้งแปดและโหราจารย์ร่วมกันไต่สวนคดี หากเปลี่ยนเป็นที่จงหยวนก็คงเป็นการไต่สวนร่วมของสามกรม
แต่เดิมปราสาทเฮ่อหลันก็สมควรเข้าร่วมด้วย แต่เฉียวเวยเป็นผู้ฟ้อง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา เฮ่อหลันชิงจึงถอยจากกระบวนการของการไต่สวน ท่านโหราจารย์จีหมิงซิวก็ทำเช่นเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักแม้จะเป็นน้องสามีของเฉียวเวย แต่ตั้งแต่เล็กเขาเติบโตอยู่ในเผ่าถ่าน่า อีกทั้งยังไม่สนิทสนมกับตระกูลจี อาจถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นศัตรู จึงมาเข้าร่วมการไต่สวนอย่างไม่สนใจธรรมเนียม
ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของผู้พิพากษาหลักตรงกลางอย่างยโสโอหัง ที่นั่งสองตำแหน่งข้างกายเขาเป็นของผู้อาวุโสใหญ่กับประมุขตระกูลไซน่าผู้เป็นตัวแทนของผู้นำทั้งแปด
เก้าอี้ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งมีผู้นำทั้งเจ็ดกับผู้อาวุโสสี่คนที่เหลือยึดครอง
สิ่งที่ควรกล่าวถึงสักหน่อยก็คือสถานที่ไต่สวนหนนี้คือที่ลานประลอง
สาเหตุที่เลือกสถานที่นี้ก็เพราะทั่วทั้งเผ่าถ่าน่ามีเพียงสถานที่แห่งนี้ที่ใหญ่พอให้คนนับพันมาชม ทุกคนในเผ่ามีสิทธิรู้ความจริง
ชั้นสามเต็มไปด้วยชาวเผ่าที่เบียดเสียดมุงดู ชั้นสองก็มีตระกูลใหญ่ชนชั้นสูงอยู่เต็มแน่น
บนลานกว้างที่ชั้นหนึ่ง การตัดสินคดีที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เริ่มต้นขึ้นแล้ว
โจทก์คือจั๋วหม่าน้อย
จำเลยคือตำหนักธิดาเทพ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกคนของตำหนักธิดาเทพถูกพาตัวออกมาตามลำดับ เพราะฐานะของพวกนาง พวกนางจึงไม่จำเป็นต้องใส่ตรวนกับชุดนักโทษเหมือนนักโทษทั่วไป พวกนางเพียงปลดเครื่องประดับมีค่าออก สวมอาภรณ์สีขาวทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้น เรือนร่างของพวกนางยังคงเหยียดตรง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งดวงตาวาวโรจน์ “พวกเจ้าล่วงเกินองค์เทพเช่นนี้ องค์เทพจะส่งความพิโรธลงมาหาพวกเจ้า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงชิชะอย่างดูแคลน จากนั้นเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอุรา ท่อนขาเรียวยาวยกขึ้นไขว้กันบนโต๊ะ การกระทำหยาบช้าเช่นนี้ พอเขาเป็นผู้กระทำกลับงดงามชวนให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจไปอีกแบบ
แม่นางทั้งหลายบนชั้นสามกรีดร้อง
ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจจนขมับเต้นตุ้บๆ รีบอุ้มขาของท่านโหราจารย์ลงมา หลังจากนั้นจึงตบไม้ปลุกสติเอ่ยว่า “เชิญจั๋วหม่าน้อย!”
บ่าวรับใช้เชิญเฉียวเวยเข้ามาในลาน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทุกคนเห็นเฉียวเวยบนลานประลอง ท่วงท่าประหลาดยามเฉียวเวยประลองกับเจ้าตัวปลอมยังคงชัดเจนราวกับฉายอยู่ตรงหน้า ยามนั้นรู้สึกน่าขัน ตอนนี้พอนึกย้อนดูกลับรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดู
เฉียวเวยยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางคำนับคนที่นั่งประจันหน้าอยู่
“เหอะ” ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทางร้ายกาจ นางยักษ์น้อยก็มีเวลาที่ก้มหัวให้เขาเหมือนกันสินะ!
เฉียวเวยตวัดสายตาเย็นชาไปมอง ใต้เท้าเจ้าสำนักผู้กำลังแอบล้วงเมล็ดแตงออกมาจากแขนเสื้อถูกถลึงตาใส่จนหัวใจสั่นระริก เกือบจะพลัดตกจากเก้าอี้ เมล็ดแตงในมือหล่นกระจาย
ผู้อาวุโสใหญ่ถ่มเมล็ดแตงที่ร่วงตกมาอยู่ในปากและปัดเมล็ดแตงบนศีรษะออกอย่างเงียบๆ “เปิดศาล”
ประมุขตระกูลไซน่าถามขึ้นว่า “จั๋วหม่าน้อย ท่านบอกว่าท่านต้องการฟ้องตำหนักธิดาเทพ ขอถามว่าท่านจะฟ้องอะไรพวกนาง”
เฉียวเวยสีหน้าเคร่งขรึม “ประการแรกข้าต้องการฟ้องที่พวกนางทำร้ายท่านตาของข้า ตอนธิดาเทพกับท่านตาของข้าผูกคำสาบานเลือด นางสลับพิษไสยเวทมาไว้บนตัวท่านตาของข้า จวบจนวันนี้ท่านตาของข้าก็ยังมิหลุดพ้นจากพิษ แล้วข้าก็ต้องการฟ้องเรื่องที่พวกนางบงการศิษย์ให้ปลอมตัวเป็นข้า แอบเข้าใกล้ท่านตาของข้าเพื่อจุดประสงค์ที่มิอาจบอกผู้ใด นอกจากนี้ข้ายังต้องการฟ้องที่พวกนางบงการฮาจั่วให้ลอบสังหารท่านโหราจารย์กับลูกน้อยทั้งสองของข้า และข้ายังต้องการฟ้องเรื่องที่พวกนางตั้งค่ายกลจะสังหารมารดาของข้า กักขังท่านโหราจารย์ กักขังข้า แล้วยังมีเรื่องที่ธิดาเทพทำลายแท่นประกอบพิธีใส่ร้ายข้าว่าล่วงเกินองค์เทพ แล้วก็มีเรื่องที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามกับลูกศิษย์สามคนของนางตั้งใจจะปลอมตัวเป็นทหารม้าเหล็กของแม่ข้าเข่นฆ่าชาวเผ่าผู้บริสุทธิ์เพื่อโยนความผิดมาให้มารดาของข้า ประการสุดท้ายข้าต้องการฟ้องเรื่องที่พวกนางใช้แมลงกู่ขับขานราตรีตามอำเภอใจเพื่อควบคุมชาวเผ่าทุกคนบนเกาะ”
คำฟ้องร้องยาวติดกันเป็นพรวนทำให้ทั่วทั้งลานประลองเงียบกริบ
มนุษย์ยามตกใจจนถึงขีดสุดจะไม่ตะโกนโหวกเหวก เพราะห้วงเวลานั้นพวกเขาจะตกใจจนนิ่งอึ้ง
สีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่ำแย่ยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่รู้แต่เรื่องที่พวกนางใช้แมลงกู่ขับขานราตรีเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าพวกนางยังทำเรื่องชั่วช้ามามากมายเช่นนั้น ส่วนประมุขตระกูลไซน่าผู้ล่วงรู้สิ่งต่างๆ ที่พวกเฉียวเวยประสบก็คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะเป็นฝีมือของตำหนักธิดาเทพ
ทั้งสองคนตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นผู้แย่งไม้ปลุกสติมาจากมือผู้อาวุโสใหญ่มาตบลงบนโต๊ะอย่าแรง “เจ้าฟ้องนางปีศาจเฒ่าฝูงนี้…”
ทุกคนหันขวับมามองเขา
เขาเปลี่ยนคำพูด “เจ้าฟ้องร้องพวกนาง มีหลักฐานะอะไร”
เฉียวเวยตอบว่า “หมอทั้งหลายไปตรวจพิสูจน์พิษไสยเวทในร่างท่านตาของข้าแล้ว ขอใต้เท้าผู้พิพากษาโปรดอนุญาตให้เบิกตัวหมอมาเป็นพยาน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบไม้ปลุกสติ “อนุญาต!”
ท่าทางสาแก่ใจยิ่งนัก!
หมอถูกคนพาตัวออกมา เขาหันไปคำนับคนที่นั่งอยู่แล้วกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าตรวจร่างกายของเหอจั๋วแล้ว เหอจั๋วต้องพิษไสยเวทจริง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งหัวเราะ “แปลกจริง หากเหอจั๋วต้องพิษไสยเวท เหตุไฉนก่อนหน้านี้เจ้าตรวจมิพบ”
หมออธิบายว่า “พิษไสยเวทไม่ใช่พิษทั่วไป จับชีพจรหรือใช้เข็มเงินตรวจไม่พบ ผู้ที่ต้องพิษภายนอกจะดูเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติทั้งสิ้น แต่หากหยดโลหิตของผู้ต้องพิษไสยเวทลงบนใบอ้ายเฉ่า ใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจางๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยสงสัยมาก่อนว่าเหอจั๋วถูกพิษไสยเวท จึงไม่เคยตรวจให้เหอจั๋ว เมื่อครู่ข้าตรวจดูแล้ว เป็นพิษไสยเวทอย่างไม่ต้องสงสัยจริงๆ”
เฉียวเวยถาม “เจ้าตรวจธิดาเทพแล้วหรือยัง”
หมอพยักหน้า “ตรวจแล้ว”
“เลือดของนางผิดปกติหรือไม่”
“ตอบจั๋วหม่าน้อย ไม่ขอรับ”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ธิดาเทพที่เดิมสมควรต้องพิษไสยเวทกลับไม่ต้องพิษ แต่เหอจั๋วผู้ไม่สมควรต้องพิษกลับโดนพิษแทน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากแล้ว”
ความผิดประการแรกประจักษ์ชัดแจ้งแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวขึ้นว่า “ท่านบอกว่าพวกนางเป็นผู้บงการเรื่องจั๋วหม่าน้อยตัวปลอม ความผิดประการนี้ ท่านมีหลักฐานอีกหรือไม่”
“แน่นอนว่ามี” เฉียวเวยหยิบจดหมายลายมือฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อกว้าง “ตอนนั้นหลังจากจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมถูกเปิดโปง นางเคยแสร้งทำเป็นแตกหักกับพวกนางเพื่อเข้าใกล้ข้า นางไม่เพียงสารภาพความผิดของตนเอง แต่ยังเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งยังลงชื่อ ประทับตรา ประทับลายนิ้วมือกับลายฝ่ามือไว้อีกด้วย ข้าจำได้ว่าตอนประลองบนลานประลองตอนนั้น นางเคยเขียนภาพอักษรไว้ชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่ายังเก็บรักษาเอาไว้หรือไม่”
แน่นอนว่ายังเก็บเอาไว้ ผู้อาวุโสใหญ่รีบให้คนไปนำมา ผู้อาวุโสทั้งหลายเปรียบเทียบดูทีละตัวก็แน่ใจว่าจดหมายฉบับนี้กับอักษรศิลป์ชิ้นนั้นเขียนด้วยลายมือของคนเดียวกัน ส่วนลายนิ้วมือกับลายฝ่ามือ นั้นเปรียบเทียบไม่ง่าย แต่ไม่จำเป็นแล้ว ตัวอักษรตรงกันก็เพียงพอ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามผู้สะกดโทสะได้แย่ที่สุดโพล่งออกมา “เจ้า…เจ้าใส่ร้ายป้ายสี! จดหมายฉบับนี้เป็นของปลอมชัดๆ!”
จั๋วหม่าน้อยตัวปลอมจะทิ้งของเช่นนี้ไว้ได้อย่างไร ไม่เห็นนางเคยเอ่ยถึงมาก่อน! แน่นอนว่านางไม่อาจเอ่ยคำนี้ออกมาได้ หากพูดออกมาไม่เท่ากับยอมรับว่าตำหนักธิดาเทพสมคบกับจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมหรือ
เฉียวเวยเลิกคิ้วหันไปมองนาง “ต่อให้เจ้าไม่เชื่อข้า ก็สมควรเชื่อผู้อาวุโสผู้มีความรู้กว้างขวางทั้งหลายนะ พวกเขาจะแยกแยะแม้แต่ลายมือจริงกับลายมือปลอมไม่ออกได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “จดหมายฉบับนี้ไม่มีร่องรอยของการปลอมแปลง เป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”
เฉียวเวยเดินเยื้องย่างเข้าไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม แล้วเอ่ยด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “บางทีจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมคนนั้นอาจจะไม่ได้อยากช่วยพวกเจ้าปิดบังเท่าไรนัก”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามโทสะอัดแน่นเต็มอก เงื้อฝ่ามือขึ้นทันที ผู้อาวุโสใหญ่ตบไม้ปลุกสติ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสาม!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งกดมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามลงอย่างเยือกเย็น
เฉียวเวยเดินสบายใจเฉิบกลับไปยังตำแหน่งของตนเอง
ในจดหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าหลังจากจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจะระเบิดเฮ่อหลันชิงให้ตายในสถานที่เก็บตัวฝึกฝนวิชา นับจากนี้อำนาจหัวหน้าเผ่าของตระกูลเฮ่อหลันจะเป็นของในกระเป๋าของตำหนักธิดาเทพ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความผิดประการที่สองก็ประจักษ์ชัดแจ้งเช่นกัน
ในหมู่คนเสียงกระซิบกระซาบดังกระหึ่ม ทุกคนมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของตำหนักธิดาเทพผู้เคยสูงส่งเหลือคณา ความผิดหวังอันอยากจะเอื้อนเอ่ยเป็นถ้อยคำทะลักขึ้นมาในหัวใจ
ความผิดประการที่สามที่เฉียวเวยฟ้องร้องตำหนักธิดาเทพคือตำหนักธิดาเทพบงการฮาจั่วให้ลอบสังหารท่านโหราจารย์ จิ่งอวิ๋นและวั่งซู ความผิดประการนี้มีพยานในเหตุการณ์
เฉียวเวยมองสามคนที่นั่งอยู่ด้านบน “โปรดอนุญาตให้เบิกตัวเฟิงซื่อเหนียงมาสอบถาม”
ผู้อาวุโสใหญ่ทำท่าให้เชิญคนมา
เฟิงซื่อเหนียงถูกพาตัวเข้ามา นางก้มหน้า ไม่มองผู้ใดทั้งสิ้น ราวกับไม่ทราบว่าเด็กน้อยที่ตนเองเลี้ยงดูมาหลายปีกำลังนั่งอยู่บนตำแหน่งของผู้พิพากษา
เฟิงซื่อเหนียงให้การว่าฮาจั่วเข้าไปในตลาดมืดเพื่อซื้อเด็กแฝดกับเพียงพอนหิมะ แล้วยังให้การว่าฮาจั่วพาลูกน้องไล่ล่าใต้เท้าเจ้าสำนักกับเด็กน้อยทั้งสอง แน่นอนว่าเพื่อกันใต้เท้าเจ้าสำนักออกไป นางจึงเปลี่ยนเรื่องจากใต้เท้าเจ้าสำนักนำคนมาขาย กลายเป็นใต้เท้าเจ้าสำนักนึกสงสัยจึงช่วยกันวางกับดักกับนางเพื่อล่องูออกจากโพรง
ตอนที่ฮาจั่วไล่โจมตีรถม้าของใต้เท้าเจ้าสำนักในเมือง เขาไม่สนใจจะหลบเลี่ยงสายตาของผู้คน ด้วยเหตุนี้นอกจากเฟิงซื่อเหนียงจึงยังมีผู้เห็นเหตุการณ์ไม่น้อย พวกเขาล้วนถูกเฟิงซื่อเหนียงพามาแสดงตัวด้วย
ฮาจั่วก็ถูกเรียกตัวมายังลานประลองเช่นกัน นับตั้งแต่ฮาจั่วถูกเล่นงานในหุบเขา จวบจนวันนี้ก็ยังไม่กลับเป็นเหมือนเดิม เขายังคงสติฟั่นเฟือนอยู่ แต่เฟิงซื่อเหนียงกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองน้อยมองปราดเดียวก็จำเขาได้
ระหว่างที่ฮาจั่วกับองครักษ์ไล่ตาม พวกเขายิงธนูใส่รถม้าจำนวนนับไม่ถ้วน หากจะบอกว่าไม่มีเจตนาร้ายย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามข่มความโกรธไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “ต่อให้ฮาจั่วไล่ตามฆ่าพวกเขาจริง นั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลปี้หลัว เหตุใดจึงโยนมาใส่หัวตำหนักธิดาเทพ”
ปี้หลัวฟู่พองขนทันควัน “จะเป็นเรื่องของตระกูลปี้หลัวได้อย่างไร ข้าไม่รู้เรื่องด้วยสักนิดเดียว!”
เด็กคนนี้เป็นลูกชายที่เขารักที่สุด เขาภาคภูมิใจในตัวฮาจั่วมาเสมอ เขาเย็นชากับบุตรชายจากภรรยาเอกของตนเพื่อฮาจั่ว แต่สุดท้ายเจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนี้กลับลากทั้งตระกูลลงคลองไปด้วย!
ปี้หลัวฟู่โกรธจนเดินเข้าไปเตะฮาจั่วล้มกลิ้งบนพื้น
“เจ้าตัวสารเลว! เหตุใดข้าจึงให้กำเนิดเจ้าออกมา!”
ฮาจั่วกลัวจนฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ ถามสิ่งใดเขาก็ตอบสิ่งนั้น เรื่องที่ตำหนักธิดาเทพบงการตน รวมทั้งเรื่องที่ตนเคยพบจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมล้วนสารภาพออกมาอย่างไม่ปิดบัง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโกรธจนแทบวางวาย!
แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็ทนไม่ไหวแล้ว “ไม่เห็นหรือว่าเขาสติฟั่นเฟือน คำพูดที่เขากล่าวออกมาเป็นหลักฐานในศาลได้หรือ”
เฉียวเวยยิ้มอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เรื่องนี้คงไม่รบกวนให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งใส่ใจกระมัง ผู้อาวุโสทั้งหลายกับผู้นำทั้งหลายย่อมพิจารณาอย่างถี่ถ้วน พวกเขาต้องตัดสินออกมาอย่างเที่ยงธรรมแน่นอน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าประจบให้มันน้อยๆ หน่อย!”
เฉียวเวยกะพริบตา “ไม่อยากจะยอมหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ประจบบ้างสิ!”
เพื่อสลัดข้อสงสัยให้พ้นจากตระกูลของตนเอง ปี้หลัวฟู่อยากจะให้ความผิดประการนี้ของตำหนักธิดาเทพถูกตัดสินว่าผิดเสียเดี๋ยวนี้ เขาจึงเขียนคำว่า ‘มีความผิด’ ลงไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด พอเขาพิพากษาแล้ว ประมุขตระกูลฉาฮาเอ่อร์ก็ตัดสินบ้าง ประมุขตระกูลไซน่ากับถ่าถาเอ่อร์เป็นพวกของจั๋วหม่าน้อยย่อมยืนอยู่ฝั่งเฉียวเวย แต่หนนี้ที่พวกเขาพิพากษาว่ามีความผิด ไม่ใช่เพราะเฉียวเวย แต่พวกเขาให้คำตัดสินที่ตรงกับความรู้สึกในใจมากที่สุด