หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 269-1 ความตายของธิดาเทพและสตรีศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 269-1 ความตายของธิดาเทพและสตรีศักดิ์สิทธิ์
อรุณรุ่งของเกาะนิรนามมาเยือนเร็วกว่าต้าเหลียงเล็กน้อย ยังไม่พ้นยามอิ๋น ทางทิศตะวันออกก็มีแสงตะวันสีขาวดุจพุงปลาฉายขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีอ่อน สีฟ้าอ่อนขมุกขมัวเริ่มโผล่ขึ้นมาบนท้องนภา
เมื่อคืนวาน ชาวเผ่าบนเกาะส่วนใหญ่นอนไม่หลับ ทว่าหลังจากโศกเศร้าโกรธแค้นจบแล้ว ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ชาวเผ่าผู้ขยันขันแข็งและซื่อตรงลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง จากนั้นก็เริ่มงานอันวุ่นวายตลอดทั้งวัน
ชนเผ่าถ่าน่ามีระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง พวกเขาไม่ค้าขายกับโลกภายนอก มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่เสี่ยงอันตรายออกจากเกาะไปเที่ยวเล่นแล้วซื้อข้าวของกลับมา ชาวเผ่าถ่าน่าทำอาชีพจับปลาล่าสัตว์เป็นส่วนมาก แต่ก็มีบางคนเพาะปลูก เทียบกันแล้วจำนวนคนที่ทำไร่ไถนามีไม่มาก นี่จึงนำไปสู่การขาดแคลนผลิตผลทางการเกษตร บางสถานที่ข้าวสารราคาแพงยิ่งกว่าปลา
แสงตะวันค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย ประตูร้านรวงส่วนใหญ่ยังไม่ทันเปิด ยกเว้นแต่โรงเตี๊ยมกับร้านค้าเล็กๆ บางแห่ง สองฟากฝั่งถนนทยอยมีหาบเร่แผงลอยมาตั้งร้าน
ธิดาเทพเดินตัดผ่านถนนใหญ่อันคึกคัก นางถูกเลือกเข้าไปอยู่ในตำหนักธิดาเทพตั้งแต่เล็ก อายุหกขวบถูกเลือกให้เป็นธิดาเทพรุ่นต่อไป นับแต่นั้นก็ใช้ชีวิตดั่งจันทราที่มีหมู่ดารารายล้อม นอกจากฝึกฝนวรยุทธ์ ร่ำเรียนตำราและวิชาต่างๆ ก็มิต้องกังวลเรื่องใดอีก ชีวิตของปุถุชนธรรมดาอยู่ห่างจากนางไกลเสมือนอีกฟากฝั่งสมุทร
“ทำอะไร ไม่มีตาหรืออย่างไร!”
ร้านแผงลอยร้านหนึ่งเข็นรถเข็นเดินเข้ามา เขารีบร่อนจะไปส่งของ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ตาบอดหรือว่าสติฟั่นเฟือน เหตุใดจึงยืนขวางอยู่กลางถนนใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นเขาตะโกนอยู่ตั้งนานแล้ว แต่นางกลับเหมือนไม่ได้ยิน!
ธิดาเทพเรียกสติกลับมาได้ก็ยกมือขึ้น ฟาดฝ่ามือใส่รถเข็นของร้านแผงลอยจนรถเข็นแหลกกระจุย
พ่อค้าร้านแผงลอยตกใจจนนิ่งอึ้ง ผู้คนรอบด้านต่างก็อึ้งตาม แม่นางน้อยผู้นี้อายุน้อยนัก แต่เหตุไฉนลงมือทีกลับโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
พ่อค้าร้านแผงลอยอาศัยว่ามีคนหมู่มากเป็นพวก จึงรวบรวมความกล้า คำรามใส่นาง “เฮ้ย! เจ้าเป็นบ้าอะไร ข้าหาเรื่องเจ้าหรืออย่างไร เจ้าขวางทางข้าอยู่ชัดๆ! ยังจะกล้ามาทำลายรถเข็นของข้าอีก! เจ้ามีเหตุผลบ้างหรือไม่”
ธิดาเทพแววตาเย็นชา เอ่ยออกมาทีละคำ “ไม่อยากตาย ก็ไสหัวไปเสีย!”
พ่อค้าถูกแรงกดดันอันแข็งแกร่งของนางคุกคามจนขวัญผวา ถอยหลบไปด้านข้างอย่างอึ้งๆ คนที่ล้อมมุงอยู่รอบด้านก็รีบก้มหน้าไปทำงานของตนเอง ธิดาเทพเดินผ่านรถเข็นที่แหลกละเอียดไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เมื่อนางเดินจากไปไกลแล้ว ผู้คนจึงเริ่มถกกันอย่างคึกคัก
“เหมือนข้าจะเคยเห็นนางมาก่อน” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
ตาเฒ่าด้านข้างเขาจึงถามว่า “เจ้าเคยเห็นนางที่ใด”
“ลานประลอง” เด็กหนุ่มนึกย้อนความทรงจำแล้วเอ่ยตอบ “ตอนที่จั๋วหม่าน้อยตัวจริงกับตัวปลอมประลองกันหนนั้น ข้าเห็นนางยืนอยู่ข้างเหอจั๋ว นางคงเป็นหญิงรับใช้ของเหอจั๋ว”
ตาเฒ่าจิ๊ปาก ตอบว่า “หญิงรับใช้ของเหอจั๋วจะใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ครั้งก่อนที่ข้าเห็นนาง นางไม่ได้มีสภาพเป็นเช่นนี้” เด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หนก่อนที่ลานประลอง แม่นางผู้นี้ดูอ่อนโยนท่าทางโอบอ้อมอารี มองแล้วชวนให้คนรู้สึกดียิ่งนัก ไหนเลยจะเหมือนเมื่อครู่ ดุร้ายเหมือนนางยักษ์ก็มิปาน
เรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้มีอยู่ทุกวี่ทุกวัน ผู้คนก่นด่ากันสองสามคำก็แยกย้ายกันไปทำงานของตนเอง
ธิดาเทพมาถึงปราสาทเฮ่อหลัน
เพราะใบบุญของเหอจั๋ว นางจึงมีป้ายคนสนิทของเหอจั๋วอยู่หนึ่งชิ้น หากถือไว้นางก็เข้าปราสาทได้อย่างอิสระ เวลานี้นางกำนัลชิงเหยียนน่าจะยังรับใช้เหอจั๋วอยู่ องครักษ์ผลัดเวรกะใหม่แล้ว จึงไม่ใช่คนที่เฝ้าเมื่อคืนวาน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่รู้ว่าหลังจากนางกำนัลชิงเหยียนกลับมาเมื่อคืนก็ไม่ได้ออกมาอีก
นางมีป้ายคำสั่ง มีใบหน้าของชิงเหยียน การลักลอบเข้าปราสาทย่อมไม่ใช่ปัญหา
ครุ่นคิดในใจจบ ธิดาเทพก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง ทว่ายังไม่ทันที่นางจะเดินเข้าไปก็มีองครักษ์นายหนึ่งควบอาชาตัวสูงใหญ่ทะยานมาอย่างรีบร้อน คนยังมาไม่ถึง เขาก็ตะเบ็งเสียงตะโกน “เร็ว! รีบแจ้งจั๋วหม่าน้อย! มีคนพาตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายออกไปแล้ว!”
“ผู้ใดพาไป” องครักษ์จางถาม
องครักษ์ประจำคุกตอบว่า “นางกำนัลชิงเหยียน!”
องครักษ์จางขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ นางกำนัลชิงเหยียนไม่มีทางทำเช่นนั้น!”
องครักษ์ประจำคุกรีบเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน ผู้คุมสงสัยว่าจะเป็นคนปลอมตัวมาหรือเปล่า ตอนนี้เป็นห่วงว่าคนผู้นั้นจะลักลอบเข้าไปในปราสาทเฮ่อหลัน!”
องครักษ์จางนึกถึงเรื่องจั๋วหม่าน้อยตัวปลอมขึ้นมาจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ก็ไม่แปลกอะไร เขาชักกระบี่ออกมาแล้วสั่งลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าไปแจ้งจั๋วหม่าน้อย พวกเจ้า ปิดประตูปราสาททั้งหมด! อย่าปล่อยให้ผู้ใดเข้ามา! แล้วก็อย่าปล่อยให้ผู้ใดออกไป!”
สายไปก้าวเดียว!
ธิดาเทพแววตาเย็นยะเยือก นางหันหลังเร้นกายไปหลบหลังต้นไม้
เดินผ่านประตูไม่ได้ ก็ได้แต่ปีนกำแพงแล้ว
ปราสาทเฮ่อหลันคุ้มกันแน่นหนา ทุกร้อยก้าวจะมีเวรประจำยามหนึ่งจุด ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ยากจะซ่อนร่างกาย แต่นางรู้ว่าปราสาทเฮ่อหลันมีมุมลับตาอยู่จุดหนึ่ง ตรงนั้นเป็นจุดที่เคยมีภูตผีอาละวาด ได้ยินว่าเป็นองครักษ์ที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมคนหนึ่ง หลังสิ้นใจกลายเป็นวิญญาณแค้นไม่ยอมจากไปไหน ทุกคืนจะออกมาเวียนวนอยู่ในปราสาท สมัยสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเป็นธิดาเทพเคยมาทำพิธีขับไล่วิญญาณแค้นดวงนั้นอยู่หนหนึ่ง ตอนนั้นนางยังอายุน้อย ยืนอยู่ด้านข้างคอยเฝ้าดูสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกอย่างเชื่อฟัง จึงจำสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไม่ตั้งใจ
ธิดาเทพตามหาสถานที่จุดนั้นพบ หากเป็นตอนที่นางมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด กำแพงสูงร้อยฉื่อก็เป็นระยะห่างเพียงชั่วลมหายใจ ทว่ายามนี้ร่างกายของนางบาดเจ็บหนัก ทั้งยังฝืนเร่งเร้าพลังปราณ เหินร่างหนหนึ่งคงมิอาจเหยียบถึงยอดกำแพงได้
นางล้วงมีดบินออกมาจากอกเสื้อ ออกแรงขว้างใส่กำแพง มีดบินปักลงบนกำแพง
นางอาศัยมีดบินหยั่งเท้า ทะยานร่างสามสี่หนก็น่าจะเหินขึ้นไปได้
จั๋วหม่าน้อย โหราจารย์ พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ ข้ามาล้างแค้นพวกเจ้าแล้ว!
…
ณ เรือนทิศใต้ของปราสาทเฮ่อหลัน ใต้เท้าเจ้าสำนักนอนตั้งแต่เมื่อคืนจนตะวันสายโด่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่เคยนอนบนเตียงที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน มันใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ เขาพบว่าตอนตื่นนอนตัวเองก็ยังอยู่บนเตียง ต้องรู้ก่อนว่านอกจากห้องใต้หลังคาอันคับแคบแห่งนั้น เขาไปนอนที่ใดล้วนกลิ้งตกลงมาเสมอ
แน่นอนว่าสิ่งที่ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ทราบก็คือ ตอนดึกเขากลิ้งตกลงมาสองรอบแล้ว แต่จีหมิงซิวเป็นคนอุ้มกลับขึ้นไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักเปิดผ้าห่มลงมายืนบนพื้น เมื่อวานง่วงเกินไปจึงยังไม่ทันสำรวจภายในห้องดีๆ วันนี้ได้มองดูจึงเพิ่งรู้ว่าด้านในมีแต่ของดีๆ ทั้งสิ้น!
ถาดหยก จี้หยกมันแพะสีขาว อัญมณีน้ำตานางเงือก แจกันวาดลายลงยาประดับเส้นทองใบน้อย และอื่นๆ อีกมากมาย
ใต้เท้าเจ้าสำนักสูดน้ำลายแล้วเปิดหีบร้อยสมบัติ จากนั้นยัดจี้หยกขาว อัญมณีน้ำตานางเงือก แจกันน้อย ถาด…สิ่งใดที่ยัดลงไปได้ล้วนยัดเข้าไปทั้งหมด
ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงหญิงรับใช้ดังขึ้น “ท่านโหราจารย์ ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าค่ะ ข้าจะเข้าไปรับใช้ท่าน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบปิดหีบร้อยสมบัติ แล้วตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เข้ามาเถิด!”
หญิงรับใช้ถือน้ำร้อนอ่างหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน นางยิ้มแย้มบอกว่า “คารวะท่านโหราจารย์ ข้ามารับใช้ท่านล้างหน้า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองหีบร้อยสมบัติบนโต๊ะ แววตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไป ข้าทำเอง!”
หญิงรับใช้รับถอยออกไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอ่างล้างหน้าสีทองอร่าม แล้วเทน้ำในอ่างทิ้ง อยากจะยัดอ่างเข้าไปในหีบร้อยสมบัติ แต่จนปัญญาที่หีบยัดของลงไปพอประมาณแล้ว อ่างใบใหญ่เช่นนี้ทำอย่างไรก็ยัดเข้าไปไม่ลง!
ใต้เท้าเจ้าสำนักโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงพยายามจะยัดแล้วยัดอีก!
ไม่นานเขาก็คิดวิธีดีๆ ได้ เขาเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ตัวหลวมโพรกอย่างยิ่งตัวหนึ่งแล้วซ่อนอ่างทองไว้ในแขนเสื้อกว้างข้างหนึ่ง จากนั้นซ่อนหีบร้อยสมบัติไว้ในแขนเสื้อกว้างอีกข้างหนึ่ง
“ใครเข้ามาทีซิ” เขาเอ่ยเรียกอย่างวางท่า
หญิงรับใช้คนก่อนหน้านี้เปิดประตูเข้ามา “ท่านโหราจารย์”
ใต้เท้าเจ้าสำนักบอกว่า “เจ้าไปเตรียมสำรับเช้าให้ข้า ข้าคนนี้ไม่จู้จี้เรื่องกิน ทำอาหารมาสักสองสามอย่างก็พอแล้ว อย่างเช่น…นกพิราบทอดกรอบสักสองตัว ปูนึ่งสักสองตัว กุ้งมังกรผัดสักตัว แล้วก็เอาหม้อไฟสันหลังแพะตุ๋นอีกสักหม้อ บะหมี่เนื้อวัวอีกชาม แล้วก็ยกเครื่องเคียงมาอีกหน่อย เครื่องเคียงไม่ต้องพิถีพิถันเกินไปนัก ถั่วปากอ้า ถั่วแระ ถั่วเหลือง ถั่วเขียวเอามาอย่างละหน่อย แล้วก็โสมกับรังนกก็ต้มมาอย่างละถ้วย เนื้อกระต่ายก็นุ่มดีเอามาสักครึ่งตัวก็แล้วกัน ต้องย่างให้ด้านนอกเกรียมด้านในนุ่ม กรอบนุ่มหอมฉุย อย่าใส่เครื่องปรุงให้เผ็ดเกินไปนัก”
หญิงรับใช้ฟังจนขมับปูดโปน “ท่าน…ท่านจะกินคนเดียวหรือเจ้าคะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วอย่างสง่างาม “หรือจะให้ข้าแบ่งเจ้ากินเล่า”
หญิงรับใช้ตกใจก้มหน้างุด “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามด้วยท่าทางร้ายกาจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารังเกียจว่าข้ากินมาก กินจนจั๋วหม่าน้อยของพวกเจ้าหมดตัวหรืออย่างไร”
หญิงรับใช้รีบตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ ท่านคือโหราจารย์ ท่านกินมากอีกเท่าใดก็สมควร ข้าจะไปสั่งให้คนเตรียมเดี๋ยวนี้!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขานอืมตอบอย่างค่อนข้างพึงพอใจ “เจ้าไปเตรียม ข้า…จะออกไปเดินเล่น! สูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย!”
“เจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้ถอยออกไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว เขาเดินไปชะโงกมองนอกประตู เมื่อเห็นว่าในโถงทางเดินไม่มีคนอยู่ก็เดินออกไปอย่างลับๆ ล่อๆ
ฉกของมีค่ามามากมายถึงเพียงนี้ย่อมเพียงพอให้เขากินๆ นอนๆ ไปอีกหลายชาติ จีหมิงซิวเจ้าโง่คนนั้น คิดว่าตนจะไปกับเขาจริงหรือ