หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 286-2 การค้นพบอันยิ่งใหญ่ ใกล้จะเข้าเรียน
ตอนที่ 286-2 การค้นพบอันยิ่งใหญ่ ใกล้จะเข้าเรียน
จีซวงทำเสียงหึ “ข้าเลยถามพี่สะใภ้ใหญ่ว่า เพราะเหตุใดนางถึงบอกว่าท่านไม่ใช่คู่ครองของข้า ไม่ใช่ว่านางเองก็ได้สามีที่คนทั้งตระกูลคัดค้านหรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นพี่รองกับพี่สามก็ชอบเจ้ามากด้วยกันทั้งคู่ ท่านพ่อข้าก็คิดว่าเจ้านิสัยไม่เลว”
ท่านเขยฉินบอกว่า “อาจเพราะ…นางรังเกียจที่ข้าชาติกำเนิดต่ำต้อยเกินไปกระมัง ถึงอย่างไรนางก็เป็นองค์หญิง ฐานะอย่างข้าในสายตานางก็เป็นเพียงเม่าแมลงเท่านั้น”
จีซวงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ผู้ใดจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่”
ท่านเขยฉินดูล้ำลึกขึ้น “และอาจเพราะข้าทำเรื่องอะไรให้นางไม่พอใจโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้กระมัง”
ท่านเขยฉินจับไหล่ภรรยาไว้ จ้องตาลึกเข้าไปในตาอีกฝ่าย “ข้าไม่รู้มาก่อนแล้วเจ้าเคยทำให้องค์หญิงไม่พอใจเพราะข้าด้วย ซวงเอ๋อร์ ในโลกนี้นอกจากเจ้าก็ไม่มีใครดีกับข้าเพียงนี้อีกแล้ว ชาตินี้ที่ได้ผูกสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากับเจ้า นับว่าข้าได้สั่งสมบุญเอาไว้ในชาติที่แล้ว”
ค่ำคืนนี้ จีซวงเชื่อฟังยอมอุ้มบุตรกลับมา ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่ในใจกลับมีแต่ความอิ่มเอม
วันต่อมา ท่านเขยฉินตื่นขึ้นแต่เช้า เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก จีซวงมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ “ไม่ใช่วันหยุดหรือ เหตุใดยังต้องออกไปอีก”
ท่านเขยฉินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ช่วงนี้ที่สำนักศึกษามีเรื่องต้องจัดการมาก ข้าเองก็เป็นมือใหม่ มีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้นมือ เลยต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นสักหน่อย”
จีซวงถอนหายใจ “เฮ่อ หากรู้แต่แรกคงไม่ให้เจ้าออกไปทำงานข้างนอกเช่นนี้ บ้านเราก็ไม่ได้ขาดเงินสักหน่อย”
ท่านเขยฉินเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ก็ไม่ใช่เจ้าทำเพื่อข้าหรอกหรือ กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะข้า เลยให้ข้าได้มีหน้าที่การงานจริงจัง จะได้ยืดตัวตรงกับเขาได้สักหน่อย”
จีซวงอยากพูดบางอย่างแต่ก็นิ่งไป นางมองเขาแล้วช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้พลางเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “ท่านไปเถิด แล้วรีบกลับมานะ”
ท่านเขยฉินคลี่ยิ้ม “ถ้าข้าทำงานเสร็จแล้วจะรีบกลับมาทันที”
ทางนี้ท่านเขยฉินออกจากจวน อีกด้านหนึ่ง หลี่ซื่อกับเฉียวเวยก็ขึ้นรถม้าออกจากจวนไปเช่นกัน ถึงแม้จะออกไปซื้อเครื่องเขียนให้เด็กๆ แต่หลี่ซื่อก็พาหรูเย่ว์กับหว่านอวี๋สองพี่น้องไปด้วย เผื่อไปหาซื้อของที่สามารถใช้เป็นสินเดิมสำหรับวันแต่งงานได้
พวกนางไปกันที่ร้านขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงก่อน ร้านหนังสือแห่งนี้มีทั้งหมดสองชั้น พอเข้ามาแล้ว ทางซ้ายของชั้นหนึ่งจะเป็นเครื่องใช้ในห้องหนังสือทั้งหลาย ทางขวาแบ่งเป็นห้องหนังสือ ชั้นสองก็เป็นหนังสือกับภาพอักษรโบราณจำนวนหนึ่ง
ราชวงศ์ต้าเหลียงผลิตกระดาษได้แล้ว แต่กระดาษแพงเกินไป จึงยังคงมีหนังสือบางส่วนที่เขียนบนแท่งไม้ไผ่ ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจีย่อมไม่สนใจหนังสือบนแท่งไม้ไผ่ หนักยังไม่เท่าไรแต่ยังกินที่อีกด้วย
“เสี่ยวเวย เจ้ามาดูนี่หน่อย” หลี่ซื่อหันไปกวักมือให้เฉียวเวย
เฉียวเวยวางหนังสือไม้ไผ่กลับลงบนชั้นแล้วเดินเข้าไปหาหลี่ซื่อ หลี่ซื่อชี้ไปยังพู่กันแถวหนึ่งที่แขวนอยู่บนกำแพง “เหล่านี้เป็นพู่กันชั้นดีที่อ่อนนุ่มมากทั้งสิ้น”
พู่กันมีทั้งแบบแข็ง แบบอ่อนและแบบกึ่งแข็งกึ่งอ่อน โดยทั่วไปแล้วการเขียนแบบหังซูและเฉ่าซู ใช้พู่กันที่ค่อนข้างแข็งจะได้ความไหลลื่นกว่า ง่ายต่อการสะบัด ส่วนถ้าจะเขียนอักษรแบบข่ายซู ลี่ซูและจ้วนซูจะใช้พู่กันแบบนุ่มที่ให้เส้นชัดและพริ้วไหว แบบตัวอักษรราชวงศ์ต้าเหลียงกับเสี่ยวจ้วนมีความคล้ายคลึงกันอยู่เล็กน้อย พู่กันแบบนุ่มจึงอาจจะเขียนได้สวยกว่าอยู่สักหน่อย
อีกอย่างพู่กันแบบอ่อนใช้ได้คุ้มค่ากว่าพู่กันแบบแข็ง ถ้าดูกันยาวๆ แล้ว หากเขียนพู่กันแบบแข็งจนชินแล้วเปลี่ยนไปใช้แบบอ่อนนั้นไม่ง่ายเลย แต่หากใช้แบบอ่อนจนชินแล้วเปลี่ยนไปใช้แบบแข็งกลับจะคุ้นมือมากกว่า
เฉียวเวยมองพู่กันแบบอ่อนบนกำแพงด้วยความพอใจ “อาสะใภ้รองเห็นว่าด้ามไหนเหมาะหรือ”
หลี่ซื่อเลือกออกมาสามแท่ง ซึ่งเป็นสามแท่งที่เฉียวเวยหมายตาเอาไว้พอดี คนฉลาดมักเห็นอะไรคล้ายๆ กัน พู่กันจึงถูกเลือกเสร็จอย่างรวดเร็ว
ส่วนกระดาษ จีหรูเย่ว์กับจีหว่านอวี๋สองพี่น้องเป็นคนเลือก มีทั้งกระดาษขาวแบบธรรมดา และเป็นกระดาษชั้นดี
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็เลือกหมึกฮุยมาสามกล่อง หมึกฮุยเป็นหมึกที่ดีที่สุดในราชวงศ์ต้าเหลียง ราคาสูงลิ่ว สูงกว่าหมึกธรรมดาทั่วไปถึงสามเท่าเลยทีเดียว
เฉียวเวยถึงกับต้องกัดฟันซื้อ จิ่งอวิ๋นได้หมึกไปก็เอาไปตั้งใจเขียนอักษร แต่วั่งซูกับเด็กคนนั้นน่ากลัวว่าคงเอาไปวาดรูปเล่น…
แท่นหมึกหลี่ซื่อเป็นคนเลือก นางเลือกแท่นหมึกแบบตวนเหยียน ฐานของแท่นหมึกแบบตวนเหยียนค่อนข้างอ่อน ฝนหมึกได้ลื่น ไม่ทำลายขนพู่กัน ได้น้ำหมึกง่าย จึงเหมาะกับการใช้เป็นแท่นฝนหมึกมากที่สุด แต่เฉียวเวยคิดถึงแท่นฝนหมึกสิบเจ็ดสิบแปดอันที่ถูกวั่งซูทำพังแล้ว จึงแอบเปลี่ยนอันหนึ่งให้เป็นแบบทองแดง
หลังจากซื้อของเสร็จ พวกนางก็ออกจากร้านหนังสือ
“ยังอยากไปซื้อเครื่องประดับที่ร้านเป่าหลินรึไม่” เฉียวเวยถาม
หลี่ซื่อบอกยิ้มๆ ว่า “ไม่ล่ะ ที่นี่อยู่ไกลจากร้านเป่าหลินเกินไป ใกล้ๆ นี้มีร้านเครื่องประดับอยู่ร้านหนึ่ง ของในร้านก็เป็นของชั้นเลิศเช่นกัน พวกเราเดินไปดูกันเถอะ”
จีหว่านอวี๋ประคองแขนหลี่ซื่อพลางยิ้มกว้าง “อาสะใภ้รอง ไปที่ร้านเป่าหลินกันเถอะ! ของที่ร้านเป่าหลินดีๆ ทั้งนั้น!”
หลี่ซื่อค้อนอีกฝ่ายให้ทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าอยากจะเดินเล่นอยู่ข้างนอกไปเรื่อยๆ สิท่า!”
จีหว่านอวี๋ออดอ้อนว่า “อาสะใภ้รอง อุตส่าห์ได้ออกมาทั้งที ข้ากับพี่รองถูกขังอยู่ในจวนจนใกล้จะบูดเต็มทีแล้ว!”
“ให้ข้าดมกลิ่นบูดบนตัวเจ้าหน่อยสิ” หลี่ซื่อพูดพลางทำจมูกฟุดฟิดเข้าไปใกล้จีหว่านอวี๋
จีหว่านอวี๋เลยรีบปล่อยแขนนางแล้วหนีไปอยู่หลังเฉียวเวยแทน นางกอดแขนเฉียวเวยแล้วบอกว่า “อาสะใภ้ใหญ่ ท่านพาพวกเราไปเถอะนะ!”
เฉียวเวยตอบอย่างเห็นขันว่า “จะทิ้งอาสะใภ้รองไว้หรือ”
จีหว่านอวี๋พลันตาโต “ก็ได้นะ!”
หลี่ซื่อเลยหัวเราะออกมาด้วยความหมั่นไส้
ประเพณีของต้าเหลียงค่อนข้างเปิดกว้าง สตรีสาวออกจากบ้านกันไม่ได้มาก แต่ไม่มีทางน้อยแน่นอน เฉียวเวยเอาผ้าปิดหน้าบนรถม้าให้จีหรูเย่ว์กับจีหว่านอวี๋ใส่แล้วเอ่ยกับหลี่ซื่อว่า “นานๆ จะได้ออกมาสักที พาพวกนางไปเดินเล่นหน่อยเถิด วันหน้าพอแต่งงานไป อยากจะออกมาเดินเล่นอีกคงไม่ง่าย”
หลี่ซื่อถลึงตาใส่ทั้งสองคนทีหนึ่ง “เหตุใดข้าถึงพาพวกเจ้าออกมาด้วยกันนะ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เชียว!”
จีหว่านอวี๋เลยได้แต่แลบลิ้น
พวกนางทั้งสี่เดินสบายๆ กันอยู่บนถนน เดี๋ยวเข้าไปดูร้านนั้นเดี๋ยวเข้าไปดูร้านนี้ เดินไปเดินมาก็เดินไปสามช่วงถนนโดยไม่รู้ตัว พวกนางเริ่มคอแห้ง ห่างไปไม่ไกลมีโรงน้ำชาอยู่ พวกนางเลยตัดสินใจเข้าไปมานั่งกัน ใครจะรู้ว่าพอเดินไปถึงประตูร้าน ก็มีเสียงตะโกนร้องดังขึ้นจากตรอกด้านข้าง “ช่วยด้วย! ขโมย!”
พวกนางพากันหยุดเดิน จีหว่านอวี๋หันไปมองตามสัญชาตญาณ ก็พอดีว่าในตอนนั้นขโมยผู้นั้นพุ่งตัวออกมาจากตรอกพอดี เขาไม่คิดว่าข้างหน้าจะมีคนหลายคนยืนอยู่ คิดจะหยุดก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาเห็นว่าใกล้จะชนถูกจีหว่านอวี๋เต็มที เฉียวเวยเลยรีบแทรกตัวเข้าไปใช้เท้าถีบยอดอกคนผู้นั้นจนกระเด็นออกไปไกล เขาล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนฟันหักไปหนึ่งซี่
เขาบ้วนเลือดในปากออกมา ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนนั้น เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูแลอยู่ในโถงใหญ่ได้ยินเสียงทางด้านนอก เลยวิ่งถือถาดใส่จานผลไม้ที่ยังไม่ทันยกไปให้ลูกค้าออกมาดูเหตุการณ์ข้างนอกด้วย
เฉียวเวยคว้าผลส้มในถาดไปโยนใส่ขโมยผู้นั้น
ขโมยผู้นั้นถูกโยนของใส่อีกทีเลยล้มลงกับพื้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาพยายามจะลุกขึ้นอยู่พักหนึ่ง แต่เสียงที่เกิดขึ้นดังเกินไป องครักษ์ที่เดินลาดตระเวนอยู่แถวนั้นเลยวิ่งกันมาทางนี้
องครักษ์จับคนผู้นั้นไว้ หยิบถุงเงินที่อีกฝ่ายกอดไว้ออกมาถามาชาวบ้านโดยรอบว่า “ของผู้ใด”
สตรีนางหนึ่งอายุประมาณยี่สิบกว่าปีอุ้มเด็กคนหนึ่งเดินเร็วๆ เข้ามา นางค้อมกายให้องครักษ์แล้วเอ่ยด้วยความตกใจว่า “ของข้าเจ้าค่ะ”
องครักษ์ใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบหลังขโมยผู้นั้นแล้วเปิดถุงเงินออกถามว่า “ข้างในมีอะไรบ้าง”
สตรีสาวนางนั้นเอ่ยว่า “ตอบท่านองครักษ์ ข้างในมีแผ่นทองแดงอยู่ห้าแผ่น เศษก้อนเงินหกก้อน เงินก้อนห้าตำลึง กับต่างหูหนึ่งคู่เจ้าค่ะ”
องครักษ์ตอบอื้อเรียบๆ แล้วคืนถุงเงินให้นาง จากนั้นองครักษ์ก็ลากตัวขโมยผู้นั้นออกไป
เฉียวเวยเหลือบมองสตรีสาวนางนั้นทีหนึ่ง อาภรณ์ของสตรีนางนั้นถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับเป็นผ้ามีชื่อเสียงที่ค่อนข้างมีราคา สตรีที่จะสวมใส่อาภรณ์เช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นสตรีที่มีสกุลรุนช่อง เหตุใดถึงพาเด็กออกมาเองเช่นนี้
สตรีนางนั้นบาดเจ็บบนใบหน้าเล็กน้อย เด็กที่อุ้มอยู่ก็ตกใจกำลังร้องไห้จ้า แต่เสียงร้องของเขาฟังดูแหบพร่าและอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย
เฉียวเวยยังไม่ทันได้ทำอะไร จีหว่านอวี๋ก็เดินเข้าไปก่อนแล้ว จีหว่านอวี๋มองสำรวจนาง แล้วสำรวจเด็กอายุสองสามขวบที่นางอุ้มอยู่แล้วถามว่า “เจ้ากับลูกไม่เป็นอะไรกระมัง”
สตรีสาวนางนั้นก้มหน้าก้มตาเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยเหลือ”
จีหว่านอวี๋ยิ้มพลางชี้ไปทางเฉียวเวย “ข้าไม่ได้เป็นคนช่วย อาสะใภ้ใหญ่ของข้าต่างหาก!”
สตรีสาวนางนั้นหันไปมองเฉียวเวย หลังจากได้สบตากันแวบหนึ่ง นางก็รีบก้มหน้าทำความเคารพ
เฉียวเวยค้อมศีรษะเล็กน้อย ถือเป็นการตอบรับ
สตรีนางนี้อายุยังไม่มาก น่าจะประมาณยี่สิบปีเห็นจะได้ นางไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่เลอเลิศ แต่ก็สะอาดสะอ้านหมดจด บนตัวนางมีรัศมีที่สามารถทำให้คนหยุดมองได้ รู้สึกคุ้นตา คล้ายว่าเคยสัมผัสรัศมีเช่นนี้จากตัวใครคนหนึ่งมาก่อน
จีหว่านอวี๋หันมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “บ่าวไพร่ของเจ้าเล่า”
สตรีสาวนางนั้นตอบว่า “ข้าออกมาคนเดียว”
จีหว่านอวี๋ขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าจึงออกมาคนเดียว สามีเจ้าเล่า”
สตรีนางนั้นขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “เขามีธุระ”
จีหว่านอวี๋ไม่พอใจ “มีธุระอย่างไรก็ให้เจ้าออกมาคนเดียวไม่ได้! ดูสิ เจ้าพาลูกออกมาคนเดียวแล้วมาเจอขโมยเข้าเช่นนี้ อันตรายเพียงใด! หากไม่ได้อาสะใภ้ใหญ่ข้าช่วยเหลือ ถุงเงินของเจ้าคงเอากลับมาไม่ได้แล้ว!”
สตรีนางนั้นหลุบตาเอ่ยว่า “ที่แม่นางพูดถูกต้องยิ่งนัก”
จีหว่านอวี๋เอ่ยเตือนอย่างใจดีว่า “ครั้งหน้าเจ้าอย่าได้ออกมาคนเดียวอีกนะ สถานที่เช่นเมืองหลวงแห่งนี้ ถึงแม้จะอยู่ใต้เท้าโอรสสวรรค์ แต่ขโมยขโจรอย่างเขาก็มีมากนัก! เจ้าทั้งยังสาวทั้งหน้าตาสะสวย เป็นที่หมายตาของคนได้ง่าย! ครั้งนี้คนที่เจ้าเจอเป็นแค่ขโมยที่หมายในทรัพย์ แต่ครั้งหน้าคงไม่แน่!”
สตรีสาวไม่ได้ตอบอะไร
จีหว่านอวี๋พูดต่อว่า “บุตรของเจ้าป่วยใช่รึไม่”
สตรีสาวตบปลอบบุตรชายพลางตอบเสียงเบาว่า “ขึ้นผื่นเล็กน้อย”
จีหว่านอวี๋พลันตาเป็นประกาย “เจ้าช่างโชคดียิ่งนัก อาสะใภ้ใหญ่ของข้าเป็นหมอ!” นางพูดพลางคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ “ไป ข้าจะพาเจ้าไปให้อาสะใภ้ใหญ่ช่วยดูให้!”
ขนตาสตรีสาวสั่นไหว ใครก็ดูออกว่านางต้องการจะปฏิเสธ ยกเว้นจีหว่านอวี๋
จีหว่านอวี๋จูงนางไปตรงหน้าเฉียวเวย “อาสะใภ้ใหญ่ นางน่าสงสารมาก ถูกคนขโมยของแล้วลูกยังมาป่วยอีก ท่านช่วยตรวจดูให้นางหน่อยได้รึไม่”
เจ้าเด็กโง่ เนื้อผ้าที่นางใส่อยู่มีราคากว่าที่อยู่บนตัวเจ้าเสียอีก หากนางน่าสงสาร คนทั้งเมืองหลวงคงเหลือไม่กี่คนที่ไม่น่าสงสาร เฉียวเวยหันมองสตรีสาวนางนั้นทีหนึ่ง สตรีสาวนางนั้นดูลำบากใจ ดูตื่นตระหนกเล็กน้อย สายตาของเฉียวเวยมองไปที่เด็กคนนั้น เด็กคนนั้นแก้มแดงแจ๋ หายใจดูไม่สะดวกนัก หน้าผากกับหลังมือก็มีตุ่มใส่ขึ้นอยู่หลายเม็ด ชัดเจนว่าเขากำลังออกหัด
เฉียวเวยดึงจีหว่านอวี๋ให้ออกมาแล้วบอกกับจีหรูเย่ว์ว่า “พวกเจ้าสองคนไปล้างไม้ล้างมือกินอะไรก่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ อาสะใภ้ใหญ่” จีหรูเย่ว์รับคำ
จีหว่านอวี๋ไม่อยากไป จีหรูเย่ว์เลยบังคับลากนางเข้าไป
เฉียวเวยบอกว่า “อาสะใภ้รอง เจ้าก็เข้าไปด้วยเถิด”
เด็กคนนี้เป็นอีสุกอีใส ใครจะรู้ว่าหลี่ซื่อเคยเป็นมาก่อนหรือไม่ หากเกิดติดไปตอนนี้ ด้วยอายุของหลี่ซื่อคงอาการหนักไม่น้อย
หลี่ซื่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป
สตรีสาวเอ่ยว่า “ทางด้านนั้นมีโรงหมอ ข้าไม่รบกวนฮูหยินแล้ว”
เฉียวเวยตรวจชีพจรให้เด็กแล้วสำรวจดูตุ่มตามตัวเขา “ลูกของเจ้าเป็นอีสุกอีใส รีบรักษาให้หายโดยเร็วจะดีที่สุด ท่านพ่อข้ามีสูตรยารักษาโรคอีสุกอีใสโดยเฉพาะ ข้าจะปรับปริมาณยาให้ เจ้าเอาสูตรยานี้ไปจับยาแล้วรีบให้ลูกเจ้ากินเสีย”
สตรีนางนั้นค้อมกาย “ขอบคุณฮูหยินมาก”
เฉียวเวยเดินเข้าไปในโรงน้ำชา ขอกระดาษกับพู่กันที่ร้านมาเขียนใบยาให้ก่อนจะจับหน้าผากเด็กน้อยดูอีกครั้ง “ร้อนมากอยู่นะ สองวันนี้เจ้าคอยระวังใกล้ชิดหน่อย หากลูกเจ้าดูไม่กระปรี้กระเปร่า กินอะไรได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ต้องรีบไปหาหมอให้เร็วที่สุด อย่าไม่สนใจว่าอาการเขาจะเป็นอย่างไร กินยาครบเจ็ดวันแล้วค่อยไปหาหมอนั้นไม่ได้”
สตรีสาวรับคำ “ข้าจะจำไว้”
เฉียวเวยขึ้นไปชั้นสอง หลี่ซื่อสั่งอาหารเสร็จแล้ว พอเห็นสีหน้านางดูครุ่นคิดจึงรีบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เด็กคนนั้นป่วยไม่หนักเท่าไรกระมัง”
เฉียวเวยนั่งลง “ออกหัด”
“อะไรนะ? ออกหัด?” หลี่ซื่อตกใจ “หว่านอวี๋ยังไม่เคยเป็นมาก่อน! หว่านอวี๋ ไม่ใช่ว่าอาสะใภ้รองจะว่าอะไรเจ้านะ แต่ต่อไปเจ้าอย่าได้เห็นหมาเห็นแมวที่ไหนแล้ววิ่งเข้าไปลูบซี้ซั้วเด็ดขาด เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายสกปรกหรือไม่ ป่วยเป็นอะไรหรือไม่”
จีหว่านอวี๋แบมือเรียวขาวของตน “ข้าล้างแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก อาสะใภ้รอง!”
พวกนางกินขนมกันที่โรงน้ำชาเสร็จก็ไปเลือกเครื่องประดับกันต่อที่ร้านเป่าหลิน ก่อนจะกลับจวนกันอย่างอารมณ์ดี
เหตุการณ์เล็กน้อยที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ ไม่นานก็พากันลืมไปหมด
ที่ออกไปซื้อของครั้งนี้ เฉียวเวยเลือกหมึกกลับไปให้ท่านเขยฉิน และเลือกกำไลทองคู่หนึ่งไปให้คุณชายห้า หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ นางเอาของไปให้ที่เรือนสี่ แต่ท่านเขยฉินไม่อยู่
เฉียวเวยวางของไว้ให้บนโต๊ะ “วันนี้เป็นวันหยุดของสำนักศึกษามิใช่หรือ”
จีซวงถอนหายใจเอ่ยว่า “เฮ่อ คนอื่นเขาหยุดกัน แต่เขาไม่หยุด ออกไปทำงานโน่นแล้ว! เมื่อครู่เพิ่งให้คนมาส่งข่าวว่าคืนนี้เขามีธุระสำคัญ เลยจะไม่กลับมา”
“มีธุระสำคัญหรือ…” เฉียวเวยระบายยิ้มบางๆ ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี จะถามว่าธุระสำคัญอะไรก็ดูจะอยากรู้อยากเห็นไปสักหน่อย แต่พอไม่ถามบรรยากาศก็ดูจะอึดอัด
โชคดีที่จีซวงพูดขึ้นมาเอง “สหายเขาคนหนึ่งเกิดป่วย เขาต้องไปเยี่ยม สหายผู้นั้นพักอยู่นอกเมืองหลวง เกรงว่าคืนนี้เขาคงจะกลับเข้าเมืองไม่ทัน”
เฉียวเวยระบายยิ้มเล็กน้อย “คงต้องเป็นเพื่อนคนสำคัญมากเป็นแน่ ท่านอย่าได้คิดมากไป”
จีซวงพูดขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ข้าย่อมไม่คิดมากแน่ อาเขยของเจ้าเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกหล้านี้แล้ว ต่อให้ข้าบอกให้เขาออกไปหาความสุขข้างนอกบ้าง เขาก็ยังไม่กล้าเลย!”