หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 299-1 จูเอ๋อร์ผู้กล้าหาญ ลิงกล้าช่วยสาวงาม
ตอนที่ 299-1 จูเอ๋อร์ผู้กล้าหาญ ลิงกล้าช่วยสาวงาม
ช่วงบ่ายบนถนนมีผู้คนน้อย รถม้าจึงเคลื่อนตัวไปตามถนนสายกว้างได้อย่างไหลลื่น แสงอาทิตย์ส่องลงมาทำให้ภายในรถเต็มไปด้วยไออุ่น ยิ่งเมื่อมีการโยกคลอนอย่างเป็นจังหวะยิ่งทำให้คนง่วงงุนได้ง่าย
ใต้เท้าเจ้าสำนักคาบส้มกลีบหนึ่งอยู่ในปาก ศีรษะผงกหงึกหงักขึ้นลงราวกับไก่จิกเมล็ดข้าว
เฉียวเวยเองก็รู้สึกง่วงงุนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน นางเอามือปิดปากหาว
แต่แล้วจู่ๆ นางก็รู้สึกหนักที่หัวไหล่
นางเลิกคิ้วอย่างไร้อารมณ์ ยื่นนิ้วเรียวเล็กของตนดันศีรษะของใครบางคนออกไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยไปพิงกับตัวรถ อ้าปากกรนคร่อกๆ ส้มกลีบนั้นยังคงติดอยู่กับกลีบปากเขาอย่างดื้อด้าน
ไม่เท่าไรรถม้าก็หักเลี้ยว ตัวเขาเอนเอียงลงมาพิงซบกับหัวไหล่เฉียวเวยอีกครั้ง
เฉียวเวยเลยได้แต่ถอนหายใจอย่างพูดไม่ออก
นางพละกำลังมาก ไม่ได้รู้สึกว่าศีรษะของเขาหนักสักเท่าไร แต่น้ำลายของอีตานี่เนี่ย! ที่นางเกินจะทานทน!
เฉียวเวยผลักเขาไปอีกด้านให้ไปพิงกับตัวรถอีกฝั่ง พอนางปล่อยมือตัวเขาก็เอนมาอีก นางกดตัวเขาไว้อีกครั้งแล้วก็ยันมือค้างไว้อย่างนั้นจนผ่านไปสามช่วงถนน
ตอนรถเคลื่อนตัวไปถึงถนนฉางหลิว เฉียวเวยให้รถม้าหยุดจอด ร้านเครื่องหยกที่นางเคยเอ่ยถึงอันที่จริงเฉียวเวยไม่ได้โกหก ที่นี่มีร้านเครื่องหยกที่ไม่เลวอยู่ร้านหนึ่งจริงๆ และนางก็ไม่ได้มีความรู้มากนักจริงๆ แต่ก็ทานทนความถูกใจไม่ไหว
รถม้าหยุดนิ่งลงที่หน้าร้านเครื่องหยก เฉียวเวยดึงมือที่กดศีรษะใครบางคนกลับมา เลิกผ้าม่านแล้วลงจากรถม้าไป ใต้เท้าเจ้าสำนักที่หลุดจาก ‘พันธนาการ’ น้ำลายไหลพลางตัวเอนไปทางขวา ก่อนจะได้ยินเสียงดังตึง ศีรษะเขาเอนหล่นกระแทกพื้น!
เฉียวเวยเข้าไปซื้อที่ตั้งกั้นแท่นหมึกที่ทำจากหยกขาวให้จิ่งอวิ๋น ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงนอนคร่อกฟี้อยู่ในรถต่อไป
สารถีเอาเชือกม้าผูกไว้กับแท่นหินอันใหญ่หน้าร้านแล้วเดินออกไปทำธุระเบาของตน
รถม้าจอดนิ่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนถนนใหญ่ มีกลุ่มคนสองสามกลุ่มเดินผ่านรถม้าไปที่จะมองไปทางรถม้าที่เรียบง่ายแต่ดูประณีตบรรจงบ้าง แต่ก็เพียงแค่เหลือบมองเท่านั้นแล้วก็เดินผ่านไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักฟุบนอนอยู่กับพื้นรถอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเงาใครคนหนึ่งแทรกตัวขึ้นมาบนรถม้า
ใต้เท้าเจ้าสำนักกำลังหลับสบาย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าบนตัวมีของเย็นเยียบบางอย่างเคลื่อนเข้ามารบกวน ของสิ่งนั้นแหวกเปิดเสื้อของเขา ล้วงลึกเข้าไปที่เอว ความรู้สึกเย็นวาบนั้นต่อให้มีเสื้อผ้าหลายชั้นขวางกั้นแต่ก็ยังรับรู้ได้อยู่ดี เขาพลันลึมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว! เขาได้สบสายตากับดวงตาเฉยชา เจ้าของดวงตาคู่นั้นอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินอ่อน มีผ้าปิดหน้า เส้นผมดำขลับ ขนตางอนยาว ผิวกายเนียนดั่งก้อนสบู่ บนตัวมีกลิ่นหอมฟุ้ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักมีความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของร่างที่สดใหม่เกินไปจึงแทบจะจำนางได้ในทันที ตาเขาพลันเบิกโต “เป็นเจ้า?”
สตรีนางนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายจำตนเองได้แล้วจึงไม่ระวังเนื้อระวังตัวเช่นเดิมอีก คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้แล้วจับไพล่หลังก่อนจะดึงสายคาดเอวมามัดมือเขาไว้
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปมองพร้อมถลึงตาดุดันใส่อีกฝ่าย “เจ้ายังมีหน้ามาอีกหรือ นางยักษ์ไร้ยางอาย! เจ้าคิดจะทำอะไร คงไม่ได้คิดจะทำมิดีมิร้ายข้าอีกกระมัง ข้าขอเตือนไว้ก่อน ข้าไม่นึกสนใจในสตรีเช่นเจ้าเลยสักนิด! ข้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบ สตรีนางนั้นก็ควักกริชออกมาจ่อเข้าที่คอของเขา ไอเย็นจากคมมีดพุ่งแหวกอากาศออกมาพาให้เขาขนลุกไปทั้งตัว
“เจ้า…เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร” เขาถามเสียงติดอ่าง
สตรีนางนั้นตอบเสียงขรึม “ของของข้าอยู่ที่ใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตื่นกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก แต่ยังคงทำเสียงไม่พอใจขณะถามว่า “ของอะไรของเจ้า”
สตรีนางนั้นขยับกริชเข้าใกล้คอเข้ามากขึ้นแทบจะจ่อติดคอเขาแล้ว “หากพูดเสียงดังกว่านี้อีก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งเสียก่อน!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันตาเป็นประกาย “เจ้า…ถ้าเจ้ากล้าตัดลิ้นข้า ข้าก็จะไม่บอกว่าของของเจ้าอยู่ที่ใด!”
สายตาของสตรีนางนั้นพลันมีประกายเย็นวาบ “ของอยู่ในมือเจ้าจริงๆ เสียด้วย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึ “ใช่แล้วอย่างไร รีบเอากริชของเจ้าออกไป หากข้าอารมณ์ดีอาจจะบอกอะไรเจ้าบ้าง แต่หากเจ้ายังกล้าแสดงท่าทีไม่เคารพต่อข้าอีก ข้าก็จะ…ข้าก็จะให้เจ้าไม่ได้ของเจ้าคืนอีกเลยตลอดชีวิต!”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ถ้าเจ้าฆ่าข้า ของของเจ้าก็ไม่ได้คืนแน่!”
สตรีนางนั้นเริ่มค้นตัวเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักบิดตัวไปมา “นี่เจ้านี่นะอย่าลูบตัวข้ามั่วซั่วจะได้หรือไม่ เจ้าทำเช่นนี้ไร้ยางอายมากเลยนะ บิดาเจ้ารู้หรือไม่ มารดาเจ้ารู้หรือไม่”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” สตรีนางนั้นตะคอกเสียงต่ำ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยหุบปากฉับ สตรีนางนั้นค้นตัวเขาไปมา กริชของนางยังคงจ่ออยู่ที่คอใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ทำได้เพียงมองออกไปด้านนอกผ่านช่องของผ้าม่าน ระหว่างที่มองนั้นก็คิดไปด้วยว่าเฉียวเวยไปไหนเสีย หากยังไม่ออกมาอีกเขาคงได้สิ้นชื่อวันนี้แล้ว!
สตรีนางนั้นหาจนทั่วก็ยังไม่เจออะไร นางมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน “เจ้าเอาของไปไว้ที่ใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบตามองฟ้า “ไม่บอกหรอก”
สตรีนางนั้นเลยบีบคอเขา “ทางที่ดีอย่าได้ยั่วให้ข้าโมโห”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมเบาๆ “ไม่ได้อยู่ที่ตัวข้า”
“แล้วอยู่ที่ใด” สตรีนางนั้นถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบมองนางทีหนึ่ง “เจ้าปล่อยข้าไปแล้วข้าจะบอกเจ้า”
สตรีนางนั้นจึงบอกว่า “เจ้าบอกข้าก่อนแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้ว “เช่นนั้นคงไม่ได้ หากข้าบอกเจ้า ข้าก็หมดประโยชน์แล้วสิ เดี๋ยวเจ้าก็ฆ่าข้า”
สตรีนางนั้นยกกริชจ่อไปทางเขา “เจ้าไม่พูดข้าก็ฆ่าเจ้าได้อยู่ดี”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเกร็งคอสู้ประหนึ่งไม่กลัวความตาย “หากเจ้าคิดว่าชีวิตของข้าสำคัญกว่าของของเจ้า เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเถิด”
สตรีนางนั้นกัดฟันกรอด “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำสีหน้าจริงจัง “เอาสิ!”
สตรีนางนั้นสายตาพลันสั่นไหว เงื้อกริชพุ่งตรงไปจะเสียบเข้าที่หน้าอกเขา!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วพร้อมเบี่ยงตัวหลบการโจมตีนั้น มองอีกฝ่ายพลางหอบหายใจ “เจ้าจะฆ่าข้าจริงๆ ด้วยหรือ!”
สตรีนางนั้นเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างเยือกเย็น “ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมบอกข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นสู้ข้าฆ่าเจ้าไปก่อนแล้วค่อยๆ ตามหาของของข้าไม่ดีกว่าหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึ “เจ้าหาไม่เจอหรอก!”
สตรีนางนั้นจับกริชแน่น “เช่นนั้นเจ้าก็ไปสิงสถิตอยู่ที่เจ้าซ่อนเอาไว้ก็แล้วกัน ดูสิ ว่าข้าจะหาเจอรึไม่!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักรีบหลับตา “อ๊า…ช่วยด้วย….”
ข้างในร้าน เฉียวเวยกำลังเลือกที่ตั้งกั้นอยู่ ผู้ดูแลร้านเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ฮูหยิน สายตาท่านช่างดีเหลือเกิน ฉากตั้งหยกกั้นแท่นหมึกนี้เป็นสินค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ของร้านเรา ทั้งยังเป็นของเก่าเสียด้วย ข้าเห็นว่าท่านเป็นคนจริงใจ อยากได้จริงๆ ข้าจะคิดท่านสองร้อยหยวนก็แล้วกัน ข้ากำไรน้อยหน่อย ครั้งหน้าท่านจะได้มาช่วยกิจการของข้าอีก”
เฉียวเวยพลันขมวดคิ้ว
ผู้ดูแลร้านจึงถามว่า “ฮูหยิน ฮูหยินท่านเป็นอะไรหรือ”
เฉียวเวยไม่ได้ตอบแต่หยิบฉากตั้งหยกหน้าหนักขึ้นมาโยนออกไปด้านหลัง หินหยกหนักๆ ลอยละลิ่วเข้าไปในหน้าต่างรถม้า เกิดเสียงดังปักคล้ายกระแทกเข้ากับบางอย่าง เฉียวเวยก้าวเท้าวิ่งออกไป กระตุกผ้าม่านลง ลมวูบหนึ่งจากฝ่ามือที่ดุดันก็ลอยออกมา
เฉียวเวยเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือนั้นไปได้ ชั่วขณะเดียวกันนั้นนางก็ยกมือจับข้อมือนวลเนียนของอีกฝ่ายไว้แน่น
สตรีนางนั้นคิดอยากดึงมือกลับแต่กลับพบว่าตนเองขยับไม่ได้เลย นางรีบใช้อีกมือที่ถือกริชอยู่พุ่งโจมตีเข้าใส่เฉียวเวย
เฉียวเวยเลยกระชากตัวนางออกมา!
ตัวนางถลาลงกับพื้น ในขณะที่ตัวใกล้จะล้มแผ่ลงกับพื้นเต็มทีนั้นร่างนางก็พลิกตลบขึ้นกลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะตีลังกาลงยืนนิ่งกับพื้น
นัยน์ตานางฉายแววไม่อยากเชื่อ ดูคาดไม่ถึงว่าสตรีที่ดูนุ่มนวลอ่อนหวานจะถึงขั้นกระชากนางตกจากรถม้าจนเกือบทำนางล้มลงกับพื้นได้
เฉียวเวยหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยู่ด้านในรถ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถึงแม้จะถูกจับมัดไว้แต่กลับไม่ได้เป็นอะไรมาก ถึงได้เลื่อนสายตาไปหยุดมองใบหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญ “เจ้าเป็นใคร”
สตรีนางนั้นมองเฉียวเวยด้วยสายตาเย็นเยียบ ใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นจากพื้น
ผู้ดูแลร้านเครื่องหยกวิ่งออกมา มองหินหยกที่แหลกละเอียดอยู่กับพื้น ดูเจ็บปวดยากจะทานทน “ฉากตั้งยกของข้า!”
เฉียวเวยยื่นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้เขา
ผู้ดูแลร้านลำล่ำละลักเอ่ยว่า “นี่ๆๆ… นี่แค่หนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้นนะขอรับ ราคาที่ข้าซื้อมันมาก็มากกว่านี้แล้ว…”
เฉียวเวยจับคางพลางบอกว่า “ของเล่นห่วยๆ เช่นนี้แค่สิบหยวนก็ซื้อหามาได้แล้ว เจ้ายังคิดจะขายมันในราคายี่สิบเท่าอีกหรือ เหตุใดถึงไม่ไปเป็นโจรเสียเลยเล่า”
“แค่กๆ” ผู้ดูแลร้านกระแอมออกมาสองที แล้วยังบอกว่าตนเองดูของไม่เป็นอีก รู้กระทั่งราคาซื้อหาขนาดนี้แล้ว
ผู้ดูแลร้านรับเงินแล้วเดินกลับเข้าไป
เฉียวเวยขึ้นรถม้า ปลดสายคาดเอวที่มัดมือใต้เท้าเจ้าสำนักออกพลางถามว่า “คนผู้นั้นเป็นใคร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความหงุดหงิดว่า “นางยักษ์หมายเลขสอง!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “คนรักของเจ้าน่ะหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าบูดบึ้งโดยพลัน
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างขบขันพลางถามว่า “นางมาทำอะไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักปัดฝุ่นที่อยู่ตามตัวแล้วกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ “ครั้งก่อนข้าคว้าของบางอย่างจากตัวนางติดมาด้วย นางมาตามหาของชิ้นนั้น”
เฉียวเวยนิ่งไป “นางได้ไปแล้วหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบหน้าอก “ไม่ ข้าไม่ได้พกของติดตัวมาด้วยแต่แรก”
กระดิ่งอันหนึ่ง ซ้ำยังไม่ใช่กระดิ่งทอง เขานึกรังเกียจจะตาย ใครจะเอามาพกติดตัวกัน!
เฉียวเวยหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด “ในเมื่อนางกลับมาตามหา ก็หมายความว่าของสิ่งนั้นสำคัญกับนางมาก ครั้งหน้านางจะต้องมาอีกแน่”
ไว้ครั้งหน้าถ้านางมา ตนจะจับตัวนางไว้ บังคับให้นางถอนพิษให้หมิงซิวกับอีตาซื่อบื้อนี่ให้ได้!
…