หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 299-2 จูเอ๋อร์ผู้กล้าหาญ ลิงกล้าช่วยสาวงาม
ตอนที่ 299-2 จูเอ๋อร์ผู้กล้าหาญ ลิงกล้าช่วยสาวงาม
ช่วงบ่ายเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนรู้สึกเกียจคร้านที่สุดของวัน พระอาทิตย์สาดแสงลงมาจนทุกคนต่างรู้สึกไม่อยากทำอะไร บรรดาสาวใช้กลับไปพักผ่อนกันที่ห้องชั่วครู่ ทั้งบ้านชิงเหลียนจึงเงียบสงัด ภายในห้องตรวจโรคก็เช่นกัน
จีหว่านยืนอยู่กลางห้องจ้องเขม็งไปยังท่านเขยฉินที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาตน บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด แต่วันนี้รอยยิ้มของเขาดูต่างไปจากทุกที ลักษณะท่าทางของเขายังคล้ายมีความดุดันเจืออยู่ด้วย
“…ท่านเขย” นางเอ่ยทักทาย “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
ท่านเขยฉินระบายยิ้มอบอุ่นขณะเอ่ยว่า “ข้าบาดเจ็บเล็กน้อย เลยมาให้เสี่ยวเวยช่วยดูสักหน่อย”
จีหว่านยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านตระกูลจีบ้าง เห็นเพียงใบหน้าท่านเขยฉินที่ดูเขียวช้ำคล้ายว่าบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยจริงๆ จึงถามว่า “เหตุใดท่านเขยถึงบาดเจ็บได้”
สายตาท่านเขยฉินสั่นไหวเล็กน้อย บนหน้ามีแววประหลาดวาบผ่านแต่ไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เขายิ้มเฝื่อนๆ “เดินตอนดึกๆ แล้วไม่ทันระวังจึงตกจากบันไดลงมาน่ะ เกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว เพราะเมื่อครู่ได้ดื่มยาลงไปถึงได้ลงจากเตียงมาได้”
จีหว่านมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วรู้สึกสะกิดใจชอบกลแต่ก็บอกไม่ถูกว่ามีตรงใดที่ต่างไป นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าดื่มยาไปแล้ว?”
ท่านเขยฉินตอบเสียงนุ่มว่า “เมื่อเช้าเสี่ยวเวยไม่อยู่เลยไปเชิญท่านหมอจากหอหลิงจือมาดูอาการให้ข้า แต่ข้าก็ยังกังวลว่าฝีมือการแพทย์ของหมอคนอื่นจะสู้เสี่ยวเวยไม่ได้ถึงได้มาให้นางช่วยดูให้ น่าเสียดายที่นางไม่อยู่”
จีหว่านกวาดมองเขาทั่วตัว “เสี่ยวเวยไม่อยู่งั้นหรือ ถ้างั้นข้าไปเยี่ยมคารวะท่านย่าก่อนก็แล้วกัน”
พูดจบนางก็หมุนตัวเดินออกข้างนอกไป
ท่านเขยฉินยื่นมือออกมาขวางประตูไว้เบาๆ นางมองแขนที่ขวางอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาที่สั่นไหวพลางถามว่า “ท่านเขยมีอะไรหรือ”
ท่านเขยฉินคลี่ยิ้ม “มีบางเรื่อง…ที่ไม่สะดวกจะเอ่ยปากกับท่านน้าเจ้า เลยอยากจะถามความเห็นเจ้าสักหน่อย”
จีหว่านยิ้มแห้งๆ “อ้อ เรื่องอะไรหรือ”
“เจ้าไปนั่งก่อน” ท่านเขยฉินเชิญจีหว่านไปนั่งที่เก้าอี้
จีหว่านกลั้นใจนั่งลง
ท่านเขยฉินเดินไปตรงหน้าแท่นชงชา ลงมือชงชาด้วยตนเองกาหนึ่งแล้วหยิบถ้วยสองใบขึ้นมา
“ขอบคุณท่านเขย” จีหว่านยื่นมือออกไปรับ แต่แล้วจู่ๆ ท่านเขยฉินก็ขวางมือนางเอาไว้ จีหว่านพลันใจกระตุก มองท่านเขยฉินด้วยความไม่เข้าใจ ท่านเขยฉินคลี่ยิ้มบาง “ดูความจำข้าสิ ลืมไปเลยว่าเจ้าตั้งครรภ์อยู่ จิบชาไม่ได้”
จีหว่านระบายลมหายใจออกยาว นี่ตนเองเป็นอะไรไป นี่คือท่านเขยของตนนะ เหตุใดนางกลับคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีไปได้ ดูเข้า เป็นตนที่คิดมากไปเองจริงๆ
ท่านเขยฉินเทน้ำอุ่นให้จีหว่านถ้วยหนึ่ง
จีหว่านรับมาถือไว้ก่อนจะยกจิบเล็กน้อย
ท่านเขยฉินนั่งลงฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ อีกมือหนึ่งถือถ้วยชาแกว่งไปมาเล็กน้อย
ภายในห้องเงียบสงัดจนน่าอึดอัด จีหว่านพยายามตั้งสติ ถามท่านเขยว่า “ท่านเขยมีอะไรอยากถามข้ารึไม่”
ท่านเขยฉินไม่ได้ตอบคำถามนางตรงๆ แต่มองไปยังท้องของนาง “หกเดือนแล้ว?”
จีหว่านเอามือลูบท้อง “หกเดือนครึ่งแล้ว”
ท่านเขยฉินบอกว่า “รออยู่สิบปีกว่าจะได้เด็กคนนี้มา ไม่ง่ายเลย”
จีหว่านระบายยิ้ม
ท่านเขยฉินยิ้มเล็กน้อย “ต้องคลอดเขาออกมาให้ได้นะ อย่าให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดเป็นอันขาด”
ขนตาจีหว่านสั่นระริก “ข้าจะระวัง”
ท่านเขยฉินมองไปที่ท้องของนาง “เจ้าดูสิ ท้องตั้งหกเดือนแล้วก็ยังไม่ยอมอยู่ดูแลครรภ์ที่บ้านแม่สามีดีๆ กลับฝ่าแสงอาทิตย์อันร้อนแรงออกมาตรากตรำอยู่ข้างนอก เช่นนี้จะกระทบกระเทือนเด็กในท้องได้ง่ายรู้หรือไม่”
จีหว่านเอ่ยว่า “ท่านหมอบอกว่าชีพจรครรภ์ข้าแข็งแรงดี ชีพจรมั่นคงดีมาก”
“อย่างนั้นหรือ” ท่านเขยฉินพึมพำ
จีหว่านรู้สึกหวั่นใจ ไม่อาจทนนั่งอยู่ต่อไปได้ นางลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านเขยมีเรื่องอะไร ไปถามท่านน้าตรงๆ เลยจะดีกว่า ข้าอ่อนอาวุโสกว่า คงช่วยอะไรไม่ได้”
ท่านเขยฉินจิบชาอย่างใจเย็น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เคยได้ยินเสียงเสียงหนึ่งในโถงพิธีงานศพบอกว่าน้องชายไม่ได้ร้องไห้”
เท้าที่กำลังก้าวเดินของจีหว่านพลันชะงัก มองเฉียงไปยังเงาที่อยู่บนพื้น “ท่านเขยได้ยินผิดไปแล้วกระมัง ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น…”
ท่านเขยฉินพูดต่อ “เสียงนั้นเป็นเสียงของเด็กหนุ่ม อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี”
จีหว่านไม่ได้หันกลับไป แต่มองไปยังเสาตรงระเบียงทางเดินแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านเขย เจ้าฟังผิดไปแล้วจริงๆ ข้าบอกว่าน้องชายลูกพี่ลูกน้องของน้องสะใภ้ข้า ปีนี้เขาอายุสิบสี่ปี”
ท่านเขยฉินยิ้มบางๆ “เมื่อยี่สิบแปดปีก่อน เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี หว่านหว่าน เจ้าคิดถึงใครหรือ”
จีหว่านจิกนิ้วแน่น “ท่าน…อาสามของข้า?”
“ใช่ท่านอาสามของเจ้าหรือ”ท่านเขยฉินถาม
ลูกกระเดือกของจีหว่านเคลื่อนขึ้นลง ก่อนจะอมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาสามของข้าปีนี้อายุเท่าไร อันที่จริงข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ข้าไปก่อนล่ะ วันหน้าจะไปเยี่ยมท่านเขยฉินอีกที”
จีหว่านพูดพลางยกเท้าจะเดินออกไป
ท่านเขยฉินจับข้อมืออีกฝ่ายไว้ ความเจ็บปวดแล่นปรี่เข้าไปถึงเส้นชีพจรจีหว่าน นางพลันขมวดคิ้ว “ท่านเขยนี่เจ้าจะทำอะไร”
ท่านเขยฉินยกยิ้ม “ข้าบาดเจ็บ เดินไม่ไหว เจ้าช่วยประคองข้ากลับไปหน่อยก็แล้วกัน”
จีหว่านยิ้มแต่ปากขณะเอ่ยว่า “ตัวข้าเองยังต้องมีคนคอยประคองเลย เกรงว่าคงจะประคองท่านเขยไม่ไหว ข้าจะไปเรียกคนให้ยกเสลี่ยงมาให้ท่านเขยก็แล้วกัน”
ท่านเขยฉินเพิ่มแรกบีบที่มือ จีหว่านพลันปวดหนึบขึ้นที่ท้อง เขาเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าเชื่อว่าเจ้าประคองข้าไหว”
จีหว่านประคองท่านเขยเดินออกจากห้องตรวจ
เยียนเอ๋อร์เพิ่งเช็ดทำความสะอาดห้องใต้เท้าเจ้าสำนักเสร็จกำลังถือกะละมังใส่น้ำสกปรกเดินออกมา พอเห็นพวกเขาสองคนก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คุณหนูใหญ่ ท่านเขย!”
จีหว่านส่งสายตาให้นาง
เยียนเอ๋อร์ดูไม่เข้าใจ
ท่านเขยฉินยิ้มเล็กน้อย “พวกเราไปกันเถิด หว่านหว่าน เจ้าก็ไปช่วยข้าพูดกับท่านน้าเจ้าให้หน่อย”
เห็นอย่างนี้ท่านเขยคงอยากให้คุณหนูใหญ่ไปเป็นแขก ดูท่าชีวิตดีๆ ของท่านเขยน่าจะกลับมาแล้ว
เยียนเอ๋อร์ถอยหลบไปข้างหนึ่งอย่างรู้งาน เปิดทางให้ทั้งสองได้เดินไป
จีหว่านประคองท่านเขยฉินออกจากบ้านชิงเหลียน
ระหว่างทางไม่มีใครเดินไปมา ท่านเขยฉินจับมือจีหว่านไว้ พานางไปยังศาลารับลมริมทะเลสาบ
จีหว่านมองผิวน้ำที่เป็นสีเขียวมรกต สีหน้าค่อยๆ ซีดขาว “ท่านเขย คิดจะทำอะไร”
ท่านเขยฉินมองนางหน้าตาย “เจ้ารู้อะไรเยอะเกินไปแล้วหว่านหว่าน”
มือของจีหว่านขยับไปปกป้องท้องของตน เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านเขยกำลังพูดเรื่องอะไร”
ท่านเขยฉินบอกว่า “เจ้าฉลาดมาก น่าเสียดายที่ความฉลาดช่วยให้เจ้าเอาชีวิตรอดไม่ได้”
ท่านเขยฉินยื่นมือออกไปกดบ่าอีกฝ่ายไว้ ในขณะที่กำลังจะผลักนางตกบ่อน้ำ ชั่วแวบนั้นเงาดำตัวเล็กๆ ในเสื้อคลุมก็ถือกระทะใบเล็กพุ่งทะยานเข้ามา!