หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 304-1 รับกรรมที่ตนก่อ ให้บทเรียนจีซวง (2)
ตอนที่ 304-1 รับกรรมที่ตนก่อ ให้บทเรียนจีซวง (2)
จีซวงเดือดดาลจนตัวแทบจะระเบิดเต็มที ยามอยู่เมืองหลวงยังไม่เคยมีใครปฏิบัติเช่นนี้ต่อนางมาก่อน หญิงชาวบ้านกับผู้คุ้มครองที่ต่ำต้อยเหตุใดจึงกล้า
“พวกเจ้ารอก่อนเถิด ไว้สามีข้ากลับมาเขาต้องเล่นงานพวกเจ้าอย่างสาสมแน่!”
พอพูดทิ้งท้ายไว้จบ จีซวงก็เอามือปิดปากที่มีเลือดกลบ เดินซวนเซกลับไปยังกระโจมของตน
ท่านเขยฉินจับปลาตัวอวบอ้วนสองตัวกลับมา จีซวงกำลังนั่งหัวเสียอยู่ในกระโจม ไม่ว่าใครมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ก็ไม่มีทางไม่รู้สึกว่าโดนรังแก จีซวงก็เช่นกัน นางต้องพลัดพราจากบ้านเกิดแค่นี้ก็น่าสงสารพอแล้ว แต่นี่นางยังมาเจอกับอนุนอกเรือนของสามีตนอีก อนุนอกเรือนผู้นั้นยังจองหองถึงขั้นตบตน คนที่เฝ้ายามดึกไม่เพียงไม่ฟังคำสั่งของตน แต่กลับช่วยอนุนอกเรือนนั้นทำร้ายนาง อย่างนี้จะให้นางไม่โกรธได้อย่างไร
“เป็นอะไรไปหรือ” ท่านเขยฉินถือปลาสองตัวเข้ามาในประโจม พอเห็นสีหน้าบูดบึ้งของภรรยาจึงเอ่ยปากถามขึ้น
ความน้อยอกน้อยใจของจีซวงพลันตีกลับขึ้นมาเป็นสองเท่าในชั่วขณะที่ได้เห็นหน้าสามี ขอบตานางแดงก่ำ แสร้งว่าไม่สนใจเขาอย่างเอาแต่ใจ
ฉินปิงอวี่หาเรื่องใส่ตัวเอง หลายปีนี้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เขาเห็นจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เขาเอาปลาไปวางไว้ข้างนอก นั่งลงแล้วดึงมือนางไปจับ เอ่ยเสียงเบาคล้ายโอ๋เด็กน้อยว่า “ใครทำให้ซวงเอ๋อร์ของข้าไม่พอใจกัน ใช่เพราะข้าไปนานเกินไปเจ้าเลยหิวแย่แล้วหรือไม่ โมงยามนี้ฟ้ามืดหมดแล้ว ปลาก็ไปนอนกันหมด เลยจับยากกว่าตอนกลางวันมากนัก ไว้พรุ่งนี้ฟ้าสว่างแล้ว ข้าจะไปจับปลาตัวใหญ่และอวบอ้วนกลับมาให้เจ้าอีกหลายๆ ตัวเลยดีหรือไม่ รับรองเลยว่าเจ้าลืมตามาต้องได้เห็นแน่นอน”
“ใครจะอยากได้ปลาของเจ้ากัน เจ้าดูข้านี่…” จีซวงหันหน้าไป คิดอยากให้อีกฝ่ายดูที่ปากตน แต่พอคิดว่าเวลานี้สภาพนางน่าจะอัปลักษณ์จนไม่อาจให้ใครเห็นได้ จึงรีบเบือนหน้าหนีกลับไปอีกครั้ง
ฉินปิงอวี่กลับเห็นแผลตรงปากของนางแล้ว เขายื่นมือไปจับคางนางบังคับให้หันกลับมา ดึงมือที่ปิดปากไว้ของอีกฝ่ายออกแล้วขมวดคิ้วถามว่า “นี่เจ้าไปโดนอะไรมา”
จีซวงตะคอกใส่อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม “เจ้ายังมีหน้ามาถามอีก ข้าทนลำบากตามเจ้าออกมา แต่เจ้ากลับทำร้ายจิตใจข้าเช่นนี้! หากรู้แต่แรกข้าคงคร้านจะสนใจเจ้า ให้เจ้าถูกหมิงซิวจับตัวเสียให้สิ้นเรื่อง! ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าจะกลับ! ข้าไม่ไปกับเจ้าแล้ว!”
ตอนได้ยินช่วงแรก สีหน้าฉินปิงอวี่ดูมีแววรำคาญให้เห็น แต่พอฟังไปถึงตอนท้ายเขาก็เก็บความรำคาญส่วนนั้นกลับลงไปทันที เขาจับมือนางไว้ นางดึงออก เขาก็ถึงมาจับใหม่อีก “ซวงเอ๋อร์ๆ เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าบอกกับข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะตัดสินให้เจ้าเอง”
จีซวงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจะตัดสินให้ข้า? เจ้าถึงขั้นเอานังแพศยานั่นไปซ่อนอยู่ในกระโจมแล้ว เจ้ายังจะตัดสินให้ข้า?”
ฉินปิงอวี่อึ้งไป
จีซวงยิ้มประชด “ทำไม ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่ ฉินปิงอวี่คราแรกเจ้ารับปากกับข้าไว้อย่างไร เจ้าบอกว่าเจ้าเพียงหลงผิดไปชั่วขณะ เจ้ากับนางจบกันไปแล้ว เจ้าส่งนางกลับไปแล้ว ชีวิตนี้จะไม่ไปพบหน้าอีก! แต่เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่อีกได้ นางขึ้นรถม้ามาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
ฉินปิงอวี่ “ซวงเอ๋อร์…”
จีซวงหุบยิ้ม เอ่ยด้วยความหงุดงหงิดใจว่า “เจ้ามันสารเลวจริงๆ! เสียแรงที่ข้าไว้ใจเจ้าเพียงนี้ มีเรื่องแตกหักกับคนในบ้านเพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับซ่อนนางแพศยาไว้ใกล้ตัว เจ้าคิดจะพานางไปด้วยกันใช่หรือไม่ ต่อไปพอไม่มีข้าแล้ว เจ้ากับนางก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอิสระอย่างไรก็ได้ ที่เจ้าบอกว่าไว้ลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้วจะมารับข้าไปอยู่ด้วยน่ะ ข้าว่าไม่เท่าไรเจ้าก็คงลืมข้ากับลูกไปแล้ว!”
ฉินปิงอวี่บีบมือนาง “ซวงเอ๋อร์ ข้าจะลืมพวกเจ้าแม่ลูกได้อย่างไร ในใจข้าไม่อาจมีผู้ใดแทนที่เจ้าได้ เจ้าจะเป็นภรรยาของข้าตลอดไป เรื่องของฉินเฉียวเจ้าฟังข้าอธิบายก่อน”
จีซวงดึงมือกลับมา “ข้าไม่ฟัง!”
ฉินปิงอวี่ถอนหายใจ “เรื่องที่นางไม่ใช่น้องสาวของข้าเจ้ารู้แล้ว แต่ฐานะที่แท้จริงของนางเจ้ายังไม่รู้”
“ฐานะที่แท้จริงอะไร” จีซวงถามออกไปตามสัญชาตญาณ
ฉินปิงอวี่บอกว่า “นางเป็นคนหนานฉู่ ข้าจำเป็นต้องมีฐานะของนางถึงจะเข้าไปยังหนานฉู่ได้อย่างราบรื่น ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าที่ข้าไปหาตัวนางมาเพราะเหตุใดงั้นหรือ ในโลกหล้านี้มีสตรีนางใดที่สู้เจ้าได้บ้าง”
ตอนเขาเอ่ยถึงตรงนี้ เขาจ้องตานางตลอดไม่มีหลบสายตาเลยสักนิด
จีซวงสายตาสั่นไหว “เจ้าพูดจริงหรือ”
ฉินปิงอวี่ยิ้มน้อยๆ “ต้องจริงสิ ก่อนหน้านี้ข้าโกหกเจ้า เจ้าจะไม่เชื่อใจข้าก็เป็นเรื่องสมควร แต่ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะไม่โกหกเจ้าอีก ก็จะต้องทำให้ได้อย่างที่พูด”
อารมณ์ของจีซวงค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง นางหันมองใบหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมมา คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็นิ่งไป สุดท้ายก็ยังเอ่ยปากขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ ข้าจะไปคุยกับหมิงซิวให้อภัยให้เจ้า”
ฉินปิงอวี่หลุบตาลง “เจ้าเห็นเขามาตั้งแต่เล็กจนโตน่าจะรู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่มีทางให้อภัยข้าแน่”
จีซวงยอมรับว่าที่สามีตนพูดนั้นถูกต้อง จีหมิงซิวผู้นี้ไม่สร้างความลำบากให้ใครซี้ซั้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดจะทำขึ้นมา เป็นต้องบดขยี้คนผู้นั้นให้จมดินแน่นอน นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำไมมีน้อยครั้งนักที่นางจะทำให้จีหมิงซิวโกรธ “เช่นนั้น…ถ้าเช่นนั้นบอกเขาว่าเจ้าไปอยู่บ้านท่านปู่ข้า บ้านท่านปู่ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หมิงซิวเขาหาไม่พบหรอก”
ฉินปิงอวี่เอ่ยด้วยความหนักใจว่า “ซวงเอ๋อร์ ข้าอยู่ที่ต้าเหลียงต่อไปไม่ได้แล้ว”
จีซวงเข้าไปพบซบอกอีกฝ่ายเบาๆ “แต่ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากเจ้า”
ฉินปิงอวี่กอดไหล่นางเอาไว้ มองไปยังค่ำคืนอันมืดมิด สีหน้าเฉยชา น้ำเสียงอบอุ่น “ข้ารู้ ไม่ต้องรอนานนักหรอก ไว้ข้าลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้วข้าจะรับเจ้ากับลูกไปอยู่ด้วย ถึงตอนนั้นครอบครัวเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว”
จีซวงนึกฝันถึงภาพยามครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าอย่างหอมหวาน แต่กระนั้นภาพฝันของนางนั้นอยู่ไม่นานนัก นางก็ต้องตกใจตื่นจากความเย็นยะเยือกที่แทรกลึกเข้าไปถึงหัวใจ นางหันไปลูบที่นอนข้างกาย มีแต่ความเย็นเยียบ นางพลันเลิกคิ้ว ขยับลุกขึ้นนั่ง!
“ท่านพี่! ท่านพี่!”
จีซวงเอาเสื้อนอกขึ้นมาคลุม เดินออกจากกระโจมไป กระโจมของฉินเฉียวจุดเทียนอยู่ มีเงาสะท้อนลงบนผ้าของกระโจม เป็นเงาของบุรุษ
ใจจีซวงพลันหล่นตุ้บ เดินเร็วๆ ไปทางนั้นแล้วเปิดผ้าม่านออก นางเห็นสามีของตนกอดฉินเฉียวไว้แน่น ฉินเฉียวหน้าแดงก่ำ หลับตา ไม่รู้ว่าหลับไปหรือหมดสติไปแล้ว บนหน้าผากมีผ้าเย็นวางอยู่ ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย
ฉินปิงอวี่เอาตัวนางลงนอนหนุนตัก มองคนในอ้อมแขนด้วยความเป็นห่วง สายตาเต็มไปด้วยความสงสารและร้อนใจอย่างยากจะปกปิด
สีหน้าจีซวงพลันเปลี่ยน “เจ้าทำอะไรน่ะ”
ฉินปิงอวี่ตัวแข็งค้าง
จีซวงเดินเข้าไป พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้เห็นว่าท่าทางที่เขากอดนางเต็มไปด้วยความรักใคร่ ในใจนางเจ็บปวดคล้ายมีเข็มทิ่มแทง ตะคอกเสียงก้องว่า “ฉินปิงอวี่!”
ฉินปิงอวี่บอกว่า “นางเป็นโรคหัด”
จีซวงคลุ่มคลั่งด้วยความหึงหวง “นางเป็นโรคหัดเจ้าก็ต้องละทิ้งข้ากลางดึกแล้ววิ่งโร่มากอดนางเช่นนี้หรือ”
ฉินปิงอวี่โอบฉินเฉียวยืนขึ้น “ข้าจะพานางไปหาหมอ เจ้าอยู่ที่นี่อย่าไปไหนทั้งนั้น พวกเขาจะคอยคุ้มครองเจ้าเอง”
จีซวงดึงแขนเขาไว้ “ห้ามไป!”
ฉินปิงอวี่อธิบายว่า “นางป่วยหนักมาก หากไม่ไปนางคงทนได้ไม่พ้นคืนนี้”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร” จีซวงมองหน้าเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเวลานี้คนทั้งต้าเหลียงกำลังล่าตัวเจ้าอยู่ หากเจ้าไปหาหมอจะเปิดเผยฐานะของเจ้าได้ง่าย!”
ฉินปิงอวี่ย่อมรู้ดี แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังต้องไป
ฉินปิงอวี่ออกเดินไปข้างหน้า
“ฉินปิงอวี่เจ้าบ้าไปแล้ว? กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” จีซวงตามฉินปิงอวี่ไป ดึงเขาไว้เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ไป
สายตาฉินปิงอวี่มีแววรำคาญใจแวบผ่าน “ซวงเอ๋อร์เจ้าฟังข้าสิ เดี๋ยวข้าก็กลับมา”
จีซวงก้าวไปขวางหน้าเขาไว้ เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าไม่ให้เจ้าไป!”
เฉินปิงอวี่หน้าบึ้งตึง “ซวงเอ๋อร์!”
จีซวงเอ่ยอย่างดูแคลน “บอกว่าไม่ให้ไปก็คือไม่ให้ไป! หากวันนี้เจ้ากล้าไป ข้าก็จะกลับเมืองหลวงแล้วไม่สนใจเจ้าอีก”
ฉินเฉียวตัวร้อนหนักขึ้น ทั้งตัวนางร้อนระอุประหนึ่งมีไฟสุม
ฉินปิงอวี่มองฉินเฉียวที่ตนประคองอยู่ แล้วมองจีซวงที่จับเขาไว้ไม่ยอมปล่อย สายตาเขาพลันเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว ดึงมือจีซวงออกแล้วอุ้มฉินเฉียวขึ้นบนรถม้า
จีซวงถึงกับอึ้งงัน เมื่อครู่นางไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง สามีของนางถึงขั้นปัดมือนางออก?
เพื่อสตรีนางหนึ่งที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์?
มีสิทธิ์อะไร!
เพราะอะไร!
“เจ้าบอกว่าในใจเจ้ามีเพียงข้า!” จีซวงตะโกนคร่ำครวญใส่รถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ความืดมิด