หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 330-2 กลับเมืองหลวง แขกที่คิดไม่ถึง (1)
ตอนที่ 330-2 กลับเมืองหลวง แขกที่คิดไม่ถึง (1)
จีเหล่าฮูหยินกำลังมองเจ้าตัวน้อยทั้งสามคน นางยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา นางเคยกังวลว่าหลิวเกอร์เดินทางไกล ไม่มีคนมากมายคอยปรนนิบัติจะซูบผอม ไหนเลยจะคิดว่ากลับแข็งแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ พละกำลังก็มากขึ้นกว่าเดิมด้วย แขนเล็กๆ ขาเล็กๆ นั่นถีบตัวกระโดดหนึ่งหนก็เกือบจะเหินขึ้นไปชนคานห้อง
จีเหล่าฮูหยินจับมือเฉียวเวยอย่างเปรมปรีดิ์ “ลำบากเจ้าแล้ว ดูแลเด็กน้อยทั้งหลายได้ดียิ่งนัก”
ไม่เพียงแต่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่สบายดี หลิวเกอร์ก็สบายดีอย่างยิ่ง เฉียวเวยดีต่อลูกของสวินหลันขนาดนี้ จีเหล่าฮูหยินแม้แต่ยามฝันก็คิดไม่ถึง แม้จะบอกว่าเด็กไม่ผิด แต่ผู้ที่คิดได้จริงๆ จะมีสักกี่คนกันเล่า
มนุษย์ล้วนเอาความคิดของตนไปวัดความคิดของผู้อื่น เฉียวเวยดีต่อตระกูลจีถึงเพียงนี้ จีเหล่าฮูหยินย่อมไม่มีคำใดจะต่อว่าเฉียวเวย ได้ยินว่าอาจารย์ตากับศิษย์น้องของเฉียวเวยเดินทางมาด้วย จึงเลือกโสมกับรังนกที่ดีที่สุดสองตะกร้าใหญ่ส่งไปให้ ผ้าไหมแพรพรรณยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางกำชับบ่าวในจวนเป็นพิเศษว่าให้เคารพอาจารย์ตากับแม่นางฟู่อย่างดี ดูแลพวกเขาเสมือนเป็นเจ้านายตระกูลจีคนหนึ่ง
หลังจากนั้นจีเหล่าฮูหยินก็ถามเฉียวเวยว่าเหตุใดจึงกลับมาเร็วกว่ากำหนดมากถึงเพียงนี้ เฉียวเวยย่อมไม่สะดวกบอกว่าเพราะฟู่เสวี่ยเยียนตั้งครรภ์ เกรงว่าคนเยี่ยหลัวจะลอบเล่นงานจึงให้ฟู่เสวี่ยเยียนกลับมาดูแลครรภ์ที่ตระกูลจี นางจึงตอบว่า “เหมือนราชสำนักจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง รายละเอียดข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด หมิงซิวไม่ได้บอกอะไรมาก”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักจีเหล่าฮูหยินย่อมไม่สะดวกจะถามมาก ไม่ว่าอย่างไรกลับมาล่วงหน้าก็เป็นเรื่องดี นางดีใจแทบไม่ทัน สิ่งอื่น แม่เฒ่าคนนี้อย่างนางไม่คิดจะวุ่นวายด้วย
จีเหล่าฮูหยินอารมณ์ดี ตอนเย็นจึงกินข้าวชามใหญ่ กินจนอิ่มหนำ จากนั้นจึงถูกเจ้าตัวน้อยทั้งหลายจูงไปเดินเล่นที่ลานบ้าน
เฉียวเวยไม่ได้ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนจีเหล่าฮูหยิน นางขนเครื่องประดับกับอัญมณีกองโตที่เหล่าฮูหยินมอบให้กลับมาที่บ้านชิงเหลียน จีหมิงซิวอยู่ที่นั่นด้วย เขาเพิ่งแกะแถบกระดาษน้อยออกมาจากขาของนก พออ่านจบสีหน้าก็ดีใจเล็กน้อย เฉียวเวยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “มีเรื่องใดจึงดีใจเช่นนี้”
จีหมิงซิวเผากระดาษแล้วตอบว่า “ฉินปิงอวี่ยอมสารภาพแล้ว”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “โอ๊ะ เขาปากแข็งอย่างยิ่งไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ จึงยอมสารภาพเล่า”
จีหมิงซิวตอบ “ก็ไม่นับว่ากะทันหัน แช่อยู่ในบ่อเยือกแข็งนานถึงเพียงนั้น อดทนมาจนถึงตอนนี้เพิ่งสารภาพก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว”
เฉียวเวยไม่เคยลงไปในบ่อเยือกแข็งจึงไม่ทราบว่ารสชาติของการอยู่ในนั้นเป็นเช่นไร แต่จีอู๋ซวงอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วันก็หวาดกลัวจนไม่กล้าเป็นอริกับนางอีก คิดว่าคงจะทรมานยิ่งนัก ฉินปิงอวี่ทนอยู่ในนั้นได้สองเดือนเต็มๆ ไม่อาจไม่พูดว่าเขาช่างเป็นคนหัวแข็งอย่างยิ่ง
สองเดือนนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผลัดกันกับสือชีไปเฝ้าฉินปิงอวี่ เมื่อพบว่าเขาใกล้ถูกแช่แข็งตายก็จะรีบลากเขาขึ้นมาส่งให้จีอู๋ซวงรักษา พอรักษาเสร็จก็โยนลงไปในบ่อเยือกแข็งใหม่ ทุกวันเขาไม่ได้อยู่ในบ่อเยือกแข็งก็อยู่ระหว่างทางไปบ่อเยือกแข็ง เรียกได้ว่าน่าสังเวชอย่างยิ่ง
เมื่อวานนี้เองในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว แต่เขาไม่สารภาพกับทั้งสามคนนั้น เขาต้องการพบจีหมิงซิว
“ท่านจะไปหรือไม่” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวส่งเสียงอืมตอบ “ข้ามีบางเรื่องต้องการถามเขาต่อหน้าพอดี”
เฉียวเวยถาม “เกี่ยวกับฟู่เสวี่ยเยียนหรือ”
จีหมิงซิวพยักหน้า “แล้วก็พี่ชายคนนั้นของนางด้วย พวกเราออกจากสำนักซู่ซินจงมานานถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่ส่งคนมาชิงตัวฟู่เสวี่ยเยียน แม้ข้าจะไม่คิดว่าเขาจะชิงตัวคนสำเร็จ แต่ก็ยังจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าในน้ำเต้าของเขามียาอะไรซุกซ่อนไว้หรือไม่”
เฉียวเวยเห็นด้วยกับเหตุผลนี้ ฟู่เสวี่ยเยียนเป็นน้องสาวของเขา พวกเขา ‘ลักพาตัว’ น้องสาวของเขาหนีมา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สมควรนิ่งเฉยเช่นนี้ “ท่านจะเคลื่อนไหวเมื่อใด”
จีหมิงซิวทัดปอยผมข้างพวกแก้มของนางไปไว้หลังหู แล้วตอบเสียงเบา “ตอนนี้”
เฉียวเวยครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ชักช้าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไปเร็วหน่อยก็ดี ฝั่งนี้มีข้ากับอาจารย์ตาฮั่วอยู่ย่อมดูแลฟู่เสวี่ยเยียนกับเด็กในท้องของนางได้”
จีหมิงซิวทำท่าเหมือนครุ่นคิดบางสิ่ง “ในอดีตครานั้นมารดาของข้ามิยอมทำตามแผนการของเผ่าเยี่ยหลัวสุดท้ายจึงถูกเผ่าเยี่ยหลัวลอบทำร้าย ข้ากังวลว่าพวกเขาจะลงมือกับฟู่เสวี่ยเยียนด้วย”
เฉียวเวยตอบอย่างมั่นใจในตัวเอง “ท่านวางใจเถิด มีข้า มีอาจารย์ตา แล้วยังมีพวกเสี่ยวไป๋อีก คนร้ายคนไหนจะมาใช้เล่ห์กลใต้หนังตาของพวกเราได้ ในอดีตองค์หญิงติดกับแผนร้ายในนอกประสานระหว่างฉินปิงอวี่กับคนเผ่าเยี่ยหลัวถึงได้เกิดเรื่อง ยามนี้ตระกูลจีถูกพวกเราทำความสะอาดไปแล้ว พวกไส้ศึกทั้งหลายถูกขับไล่ออกไปจนหมด ฟู่เสวี่ยเยียนจะไม่เป็นอะไร”
จีหมิงซิวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แตะหน้าผากกับนาง แล้วพึมพำว่า “ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว”
เฉียวเวยเขย่งปลายเท้า กระซิบเสียงเบาริมหูของเขา “บางที ท่านอาจจะไปหลังจากนี้อีกสักชั่วยาม”
เจ้าตัวร้ายกาจน้อย ช่างกล้ายั่วจริงๆ!
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
สองชั่วยามหลังจากนั้น
สามชั่วยามหลังจากนั้น…
บทเรียนในอดีตสอนเฉียวเวยว่าอย่าได้ไปยั่วสัตว์ร้ายที่จำศีลมาสิบกว่าปีเป็นอันขาด นอกเสียจากว่าเจ้าจะเป็นสัตว์ร้ายได้มากกว่าเขา
หนนี้เฉียวเวยนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ระหว่างนั้นจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูแวะมาหาสองหน นางก็ยังไม่รู้สึกตัวสักนิด เสี่ยวไป๋เองก็แวะมาหาหนึ่งหน แต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งตัวนางกลิ้งตกลงมาจากเตียง หัวโขกกับม้านั่ง ม้านั่งถูกโขกจนส่งเสียงดังเปรี๊ยะแตกออกเป็นชิ้นๆ นางจึงสะดุ้งตื่นมาจากห้วงฝัน
ปี้เอ๋อร์ได้ยินเสียงดังก็รีบผลักประตูเข้ามา พอเห็นเฉียวเวยนั่งสะลึมสะลืออยู่บนพื้น หนังตาก็กระตุก “โธ่ ฮูหยิน เหตุไฉนท่านจึงไปนอนบนพื้นเล่า”
เฉียวเวยนวดตาพลางอ้าปากหาว “ยามใดแล้ว”
ปี้เอ๋อร์ปิดประตู นางหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาสวมให้เฉียวเวย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองร่องรอยอันน่าสงสัยต่างๆ นานาๆ บนร่างเฉียวเวย “เลยเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ ฝั่งเหล่าฮูหยินส่งคนมาถามหาสามรอบแล้ว”
เฉียวเวยนวดศีรษะที่มึนงงเบาๆ แล้วเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ท่านย่าเรียกหาข้ามีเรื่องใดหรือ อ๊ะ!”
ปี้เอ๋อร์ตกใจจนสะดุ้ง “เป็นอะไรเจ้าคะฮูหยิน!”
เฉียวเวยเห็นร่องรอยบนหน้าอกกับลำคอของตนเองในกระจก เหมือนคนที่โดนลงทัณฑ์มาชัดๆ เจ้าหมอนั่นกัดด้วยหรือ นี่มันจะรุนแรงเกินไปแล้ว!
ปี้เอ๋อร์กระแอมเบาๆ แล้วปิดคอเสื้อให้ฮูหยินของตนเอง “เมื่อวานท่านเขยขอน้ำตอนดึกสามรอบเจ้าค่ะ”
“สามรอบเองหรือ เหตุไฉนข้ารู้สึกว่า…” เฉียวเวยกระแอมให้คอโล่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหล่าฮูหยินเรียกหาข้ามีเรื่องใด”
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “ดูเหมือนจะไม่พอใจชุดแต่งงานของคุณหนูรองกับคุณหนูสามอยากจะให้ท่านกับฮูหยินรองไปร้านขายผ้าคุยกับช่างปัก ดูว่าจะแก้ไขอย่างไร”
“อาสะใภ้รองอยู่ที่ไหน” เฉียวเวยถาม
ปี้เอ๋อร์ตอบว่า “รออยู่ที่เรือนลั่วเหมยเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยรีบเก็บของแล้วไปหาหลี่ซื่อที่เรือนลั่วเหมย หลี่ซื้อตระเตรียมอะไรๆ เรียบร้อยแล้ว ขาดแต่เฉียวเวยคนเดียว
รถม้าจอดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ทั้งสองคนเดินออกจากเรือนลั่วเหมยมุ่งไปที่ประตูหน้า ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังจะออกจากจวนก็พบว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ผู้ที่กล้านำรถม้ามาจอดหน้าประตูจวนตระกูลจี หากไม่ใช่คนในตระกูลก็เป็นญาติ เฉียวเวยแน่ใจว่ารถม้าคันนี้ไม่ใช่รถม้าของตระกูลจี แล้วก็ดูไม่เหมือนจะเป็นญาติของพวกเขา ตระกูลจีไม่มีญาติที่ยากจนเช่นนี้
สารถีสภาพมอมแมม ริมฝีปากแห้งผาก มองออกว่าเดินทางรอนแรมผ่านหนทางยากลำบากมาไกล เขาเปิดม่านรถที่มีรูเล็กๆ อยู่หลายแห่ง หญิงรับใช้วัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวลงมาจากภายในตัวรถเป็นคนแรก ต่อจากนั้นหญิงรับใช้วัยกลางคนก็ประคองสตรีนางหนึ่งลงมา
หน้าท้องของหญิงสาวนูนป่อง ดูเหมือนจะตั้งครรภ์มาหลายเดือนแล้ว
สายตาของเฉียวเวยเลื่อนจากหน้าท้องของนางขึ้นไปด้านบน เมื่อมองเห็นดวงหน้าคนรู้จักที่ซีดเซียวเหมือนสีขี้เถ้าดวงนั้น นางพลันตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง