หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 331-1 กลับเมืองหลวง แขกที่คิดไม่ถึง (2)
ตอนที่ 331-1 กลับเมืองหลวง แขกที่คิดไม่ถึง (2)
เฉียวเวยมีชีวิตมาสองชาติแล้ว นางเคยผ่านเรื่องราวที่ ‘คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะเป็นเช่นนี้’ มาไม่น้อย แต่เรื่องราวเหล่านั้นรวมเข้าด้วยกันก็ยังคาดไม่ถึงสู้เรื่องตรงหน้าไม่ได้ นางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาวาวโรจน์ สายตามองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า มองขึ้นลงอยู่สามสี่รอบจนแน่ใจจริงๆ ว่าตนเองไม่ได้จำคนผิด แต่เรื่องนี้ประหลาดมากไม่ใช่หรือ สตรีนางนี้ถูกลงโทษให้ไปเฝ้าสุสานตระกูลจีแล้วไม่ใช่หรือไร เหตุไฉนจู่ๆ จึงแล่นกลับมาได้ แล้วยังท้องโตกลับมาอีก
เหลือบดูท้องนั่น ท่าทางจะตั้งท้องมาไม่ใช่วันสองวัน ท่านอาสามไปเยี่ยมนางตั้งหลายหนแต่กลับไม่รู้เรื่อง…
คนตัวเป็นๆ เช่นนี้หายไปจากสุสานตระกูลจี เหตุใดพวกนางจึงไม่ได้ข่าวจากท่านอาสาม
ในตอนที่ข้อสงสัยประการแล้วประการเล่าผุดขึ้นมาในสมองของเฉียวเวย หลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง นางฝันไปหรือไม่ หรือว่านางตาลาย นางดันเห็นสวินหลัน!
สวินหลันถูกส่งไปสุสานตระกูลจีตั้งแต่นานแล้ว เหตุไฉนจึงมาปรากฏตัวที่เมืองหลวงได้
เสื้อผ้าของนางธรรมดาจนใกล้เคียงกับความซอมซ่อ สวินหลันอยู่อย่างหรูหราในตระกูลจีมาหลายปี นางจะสวมเสื้อผ้าน่าขายหน้าเช่นนี้ได้หรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ลูกของสวินหลันแท้งไปนานแล้ว เหตุไฉนนางจึงยังแบกท้องโตๆ กลับมาอีกเล่า
แต่หากว่าคนผู้นี้ไม่ใช่สวินหลัน ใบหน้านี้รวมถึงคนข้างกายที่หน้าตาเหมือนโจวมามาราวกับแกะคนนั้นจะให้อธิบายว่าอย่างไร
หลี่ซื่ออ้าปากค้าง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผ่านไปเนิ่นนานก็หาเสียงของตนเองไม่เจอ นางกระตุกแขนเสื้อของเฉียวเวย เฉียวเวยตบหลังมือนางเบาๆ เมื่อนางรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของเฉียวเวย นางจึงตระหนักได้ว่าตนเองไม่ได้กำลังฝันอยู่ แล้วก็ไม่ได้ตาลายด้วย
ในตอนที่เฉียวเวยกับหลี่ซื่อหันไปมองสวินหลันนั่นเอง พวกสวินหลันสองคนก็มองมาเช่นกัน แต่สายตาของนางกวาดผ่านใบหน้าของหลี่ซื่อไปอย่างฉับไว จากนั้นจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเฉียวเวย
เฉียวเวยสบตานางอย่างไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย นางเองก็มองเฉียวเวยอย่างไม่หลีกหลบสักนิดเช่นเดียวกัน สีหน้าของทั้งสองคนต่างนิ่งสงบอย่างยิ่ง สวินหลันนิ่งสงบเช่นนี้ได้ก็ไม่แปลก นางเดินทางมาเยือนจวนด้วยตนเอง จะได้พบผู้ใดหรือไม่พบผู้ใด ในใจย่อมเตรียมใจไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่เฉียวเวยไม่เหมือนกัน นางรักษาความเยือกเย็นบนสีหน้าไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแม้แต่ในสถานการณ์ที่ชวนให้ตกตะลึงเช่นนี้ หากเป็นเฉียวเวยเมื่อครึ่งปีก่อนคงทำไม่ได้
โจวมามาเปิดถุงเงินของตนแล้วเขย่าเทสองสามที แต่เทออกมาได้เพียงเหรียญทองแดงอันเหงาหงอยเพียงเหรียญเดียว โจวมามาซอยเท้าสั้นๆ เดินมาถึงหน้าหลี่ซื่อแล้วยิ้มให้หลี่ซื่ออย่างเขินอาย แล้วเอ่ยปากว่า “ฮูหยินรอง พวกเราใช้เงินค่าเดินทางระหว่างทางไปจนหมดแล้ว ไม่มีเงินจ่ายค่ารถ ท่านช่วยออกให้หน่อยได้หรือไม่”
หลี่ซื่อตกตะลึงจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนานแล้ว นางจึงยกมือเรียกสือหลิวอย่างเหม่อลอย
สือหลิวเคยถูกโจวมามาผลักตกน้ำ ในใจคิดแค้นหญิงชราคนนี้อยู่ นางจึงควักเงินก้อนหนึ่งกระแทกใส่มือนางอย่างไม่ใคร่จะยินยอม “เอาไป!”
โจวมามายิ้มอย่างเขินอาย “ขอบคุณฮูหยินรองเจ้าค่ะ! ขอบคุณแม่นางสือหลิว!”
สือหลิวกลอกตาใส่
โจวมามาส่งเงินก้อนทั้งหมดให้สารถี สารถีรับไปอย่างพึงพอใจแล้วช่วยโจวมามาขนสัมภาระของทั้งสองคนลงมา แม้จะเรียกว่าสัมภาระ แต่ความจริงแล้วมีเพียงห่อผ้าผอมๆ เต็มไปด้วยรอยปะชุนสองห่อเท่านั้น เล่าไปแล้วเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดอยากจะเชื่อ อดีตนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลจีตกต่ำจนสู้คนพเนจรยังไม่ได้
โจวมามาผ่ายผอมลงไม่น้อย สวินหลันยิ่งผอมมากกว่าจนดูเหมือนจะเหลือเพียงท้องโตๆ นั่นเท่านั้น หลี่ซื่อเห็นแล้วก็ปวดใจอยู่พักหนึ่ง
เฉียวเวยเห็นสายตาของหลี่ซื่อแล้ว อาสะใภ้รองคนนี้คงไม่เจ็บแล้วไม่จำใช่หรือไม่ ผู้อื่นรีบเร่งเดินทางมาลำบากเพียงนิดเดียว ยังไม่ทันเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อยก็ปวดใจจนเป็นเช่นนี้แล้ว
หลี่ซื่อก็รู้สึกเหมือนกันว่าตนเองรู้สึกเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่านางให้อภัยสวินหลันแล้ว เพียงแต่สภาพของสวินหลันน่าสงสารเหลือเกินจริงๆ จนทำให้คนเป็นมารดาเช่นนางทนมองไม่ได้อยู่บ้าง
เฉียวเวยยิ้มอย่างเฉยชา เอ่ยอย่างเฉยเมย “โอ๊ะ นี่ไม่ใช่สวินฮูหยินหรือ ข้าเหมือนจะจำได้ว่าเจ้าไปเฝ้าสุสานในที่ดินศักดินา เหตุไฉนจึงเดินทางรอนแรมกลับมาเมืองหลวงเล่า นายท่านให้เจ้ากลับมาหรือ”
สวินหลันมองนางอย่างนิ่งสงบแต่ไม่ตอบคำใด ต่อให้จะยากจนข้นแค้นจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้แล้ว แต่ตัวนางก็ยังคงรักษากลิ่นอายประหนึ่งเทพเซียนผู้มิกินดื่มเยี่ยงปุถุชนเอาไว้ราวกับสิ่งนั้นแผ่ออกมาจากในกระดูกของนาง
โจวมามายกยิ้ม “ตอบฮูหยินน้อย ฮูหยินนาง…ตั้งครรภ์ ตอนนี้อายุครรภ์ก็ไม่น้อยแล้ว หากช้ากว่านี้อีกหน่อยคงจะนั่งรถม้าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงรีบเร่งเดินทาง…กลับ…กลับมาก่อนถึงเวลานั้น”
เหมือนจะกลัวว่าเฉียวเวยจะไม่เข้าใจ นางจึงเสริมเบาๆ อีกหนึ่งประโยค “ให้เด็กเกิดมาข้างนอกก็คงไม่ค่อยดีนัก ฮูหยินน้อยว่าอย่างนั้นหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ข้าจะว่าอย่างไรได้ เด็กในท้องไม่ใช่ลูกของข้าเสียหน่อย”
โจวมามาพึมพำ “ดูท่านพูดเข้าสิ”
เฉียวเวยยิ้มแต่ปากไม่ถึงตาพลางมองสวินหลัน แต่ปากกลับพูดกับหลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้าง “อาสะใภ้รอง วันนี้เกรงว่าคงจะไปดูชุดแต่งงานไม่ได้แล้วกระมัง”
แน่นอนว่าคงไปดูไม่ได้แล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้ใดยังจะมีอารมณ์ไปดูชุดแต่งงานอีก ถึงอย่างไรก็มิใช่ว่าจะตบแต่งกันวันพรุ่งนี้ ไปดูวันอื่นก็เหมือนกัน เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือทำความเข้าใจเรื่องสวินหลันให้กระจ่างว่าเป็นมาอย่างไรกันแน่ หลี่ซื่อให้สือหลิวส่งข่าวไปที่เรือนลั่วเหมย หรงมามาเดินทางมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง เมื่อนางเห็นท้องที่นูนป่องนั่นของสวินหลันก็เกือบจะเป็นลม
หรงมามากลัวว่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงจึงวานให้เฉียวเวยจับชีพจรให้สวินหลัน เฉียวเวยคิดว่าการขอร้องหนนี้ของหรงมามาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ นางเป็นหมอ หากสวินหลันจะแสร้งท้องปลอมๆ มาย่อมถูกนางเปิดโปงได้ง่ายดายยิ่งนัก สวินหลันน่าจะไม่โง่ถึงขนาดจะทำเช่นนั้น แต่ในเมื่อหรงมามาต้องการทราบ ถ้าเช่นนั้นตนก็จะจับชีพจรดูสักที
เฉียวเวยจับชีพจรของสวินหลัน ไม่มีสิ่งใดให้สงสัย มีชีพจรมงคลจริงๆ
หรงมามากำมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น จากนั้นพาสวินหลันกับโจวมามาเข้ามาในจวน
เฉียวเวยเดินตามไปด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน หลี่ซื่อความจริงแล้วร้อนใจอยู่พอสมควร แต่คงจะไม่ดีหากจะทิ้งเฉียวเวยไว้แล้วตามไปคนเดียว ทำเช่นนั้นจะเห็นชัดว่ารักษาความเยือกเย็นไว้ไม่อยู่เกินไป นางมองแผ่นหลังของสองนายบ่าวพลางขมวดคิ้วถอนหายใจ “เสี่ยวเวย เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
“เรื่องนี้เกรงว่าต้องถามตัวนางแล้ว”
“เด็กเป็นลูกของท่านพ่อของเจ้าหรือไม่”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “น่าจะ…ใช่กระมัง…”
หลี่ซื่อเอ่ยต่อว่า “บอกให้อาสามของเจ้าเฝ้านางไว้ดีๆ แต่คนตัวเป็นๆ สองคนหายตัวมาเช่นนี้ เหตุไฉนอาสามของจ้าจึงไม่ส่งข่าวมา ตอนนั้นพวกเจ้าอยู่ที่สำนักซู่ซินจงไม่ใช่หรือ สำนักซู่ซินจงอยู่ห่างจากจวนเก่าใกล้ถึงเพียงนั้น อาสามของเจ้าไม่ได้พูดอันใดกับพวกเจ้าเลยหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่เลย”
เรื่องนี้ ความจริงแล้วจะกล่าวโทษนายท่านสามก็ไม่ได้ คืนวันก่อนที่เฉียวเวยกับจีหมิงซิวจะเดินทางไปจากสำนักซู่ซินจง นายท่านสามพบว่าสวินหลันกับโจวมามาหายตัวไป เขาส่งคนออกไปตามหาทันที แล้วก็คิดจะส่งคนไปบอกข่าวกับจีหมิงซิวด้วย แต่เวลานั้นสำนักซู่ซินจงปิดประตูทางขึ้นเขาแล้ว นายท่านสามจึงคิดว่าวันรุ่งขึ้นค่อยไปหาจีหมิงซิว ไหนเลยจะรู้ว่าวันต่อมาบิดาของสวีซื่อจู่ๆ ก็จ้งเฟิง เขาจำต้องกลับบ้านฝั่งมารดาของสวีซื่อเป็นเพื่อนนาง เมื่อเขากลับมาจากบ้านตระกูลสวีก็ทราบว่าจีหมิงซิวแวะมาหา ทั้งยังไม่อยู่ที่สำนักซู่ซินจงแล้ว
การคลาดกันหนนี้ทำให้พลาดข่าวการหายตัวไปของสวินหลันกับบ่าวของนางไปด้วย
หากทราบล่วงหน้าคงจะดักขวางคนไว้ตั้งแต่กลางทางแล้ว ไยจะปล่อยให้คนหนีมาถึงเมืองหลวง
…
ภายในจวนหลังใหญ่ไม่มีเรื่องใดปิดบังไว้ได้ ระหว่างทางมีคนไม่น้อยเห็นสวินหลันแล้ว ข่าวแพร่ออกไปภายในพริบตา เมื่อนายบ่าวสองคนเดินมาถึงเรือนลั่วเหมย แม้แต่นายท่านรองจีเซิ่งก็ได้ข่าวและมาร่วมวงชมเรื่องสนุกด้วย
หลี่ซื่อเห็นสามีของตนยืนเหมือนคนโง่อยู่ที่ประตูตั้งแต่ไกล เขาเบิกตาโตอ้าปากค้างมองส่งสวินหลันเดินเข้าไปในเรือน หลี่ซื่อในใจไฟลุกโชน ก้าวเข้าไปหยิกสามีทันควัน “ท่านก็ถูกผีเข้ากับเขาด้วยใช่หรือไม่!”
จีเซิ่งทำหน้าไม่ได้รับความยุติธรรม เขาเบิกตามองหลี่ซื่อ นวดแขนที่ถูกหลี่ซื่อหยิกจนเจ็บตัว แล้วตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเพียงดูเท่านั้นเอง ดูเจ้าหยิกข้าสิ!”
หลี่ซื่อโต้อย่างแฝงความนัย “ดูอะไร สตรีในเรือนพวกนั้นยังไม่พอให้ท่านดูหรืออย่างไร ถ้าไม่เช่นนั้นข้ายกสือหลิวให้ท่านเก็บเข้าเรือนด้วยอีกคนดีหรือไม่”
“เจ้า…” จีเซิ่งหันไปมองเฉียวเวยที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง เกรงว่าจะเสียหน้าจึงเอ็ดเบาๆ “สตรีอย่างพวกเจ้าช่าง…ไม่มีเหตุผล! ข้าคร้านจะคุยกับเจ้า! ข้าจะกลับเรือนไปนอนแล้ว!
หลี่ซื่อแค่นเสียงดังเหอะ “เรื่องของผู้หญิง บุรุษทะเล่อทะล่ามายุ่งอะไรด้วย”
พูดพลางก็กวักมือเรียกเฉียวเวย เฉียวเวยก้าวเข้ามาหา นางจูงมือเฉียวเวยแล้วเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับเฉียวเวย
ภายในห้องโถงหลัก จีเหล่าฮูหยินนั่งสีหน้าน่าเกรงขามอยู่บนเก้าอี้ หรงมามายกน้ำชามาให้แล้วไปยืนด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม บ่าวรับใช้ทั้งหลายด้านข้างถูกไล่ออกไปแล้ว เหลือแต่โจวมามาที่คุกเข่าอยู่บนแผ่นหินแข็งเย็นเฉียบเป็นเพื่อนสวินหลัน