หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 336-1 ฝีมือของน้องเฉียว ฉีกหน้ากากสวินหลัน
ตอนที่ 336-1 ฝีมือของน้องเฉียว ฉีกหน้ากากสวินหลัน
เรือนเสี่ยวอวี่กับบ้านชิงเหลียนห่างกันเพียงกำแพงกั้น เพื่อให้สะดวกลักลอบมาพบคนงาม ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงอ้างเหตุผลอะไรไม่ทราบสั่งให้คนเจาะช่องบนกำแพงไว้แล้วติดประตูบานหนึ่ง นี่คือประตูส่วนตัวของเขาย่อมไม่มีคนไปลงสลักกลอน ดังนั้นต่อให้หนีออกประตูใหญ่ของเรือนเสี่ยวอวี่ไม่ได้ก็ยังผ่านประตูข้างบานนี้ไปได้
ทว่าตอนที่เขากำลังจะก้าวพ้นประตูบานนั้น พระหน้าตาดุร้ายสองคนนั้นก็ไล่ตามมาทัน คนหนึ่งขวางทางไปของเขา ส่วนอีกคนหนึ่งสกัดทางถอยของเขาเอาไว้ เขาอุ้มฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ รุกก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ “ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าเข้ามา มิเช่นนั้นข้า…”
พูดยังไม่ทันจบทั้งสองก็พุ่งเข้ามาแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักสาบานว่าร่างกายของเขาไม่เคยว่องไวเท่านี้มาก่อน พระคนหนึ่งจะคว้าแขนของเขา เขาพลันขยับหมุนตัวลอดใต้แขนของอีกฝ่าย อีกคนหนึ่งยื่นขาออกมาเตะกวาดขาของเขา เขาก็กระโดดข้ามอย่างว่องไว
“ใครก็ได้ช่วยด้วยยยย”
ทั้งสองคนกลัวว่าเขาจะตะโกนเรียกองครักษ์ในจวนมาจึงชักมีดสั้นหมายจะจัดการเขาอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลานี้เองแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากความว่างเปล่า ทั้งสองคนรู้สึกว่าลำคอเจ็บแปลบ จากนั้นเลือดสีแดงคาวคลุ้งก็ไหลออกมา
ทั้งสองคนเจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด หันไปมองเจ้าตัวน้อยที่เข้ามาก่อกวน แล้วก็พบกับลูกสุนัขน้อยตัวหนึ่ง!
เสี่ยวไป๋พองขน เจ้าสิสุนัข! ตระกูลเจ้าเป็นสุนัขทั้งหมด!
เสี่ยวไป๋ผู้เปี่ยมด้วยความโกรธกระโจนร่างขึ้นมาอีกครั้ง กรงเล็บเล็กจิ๋วอันคมกริบและวาววับตะกุยบนใบหน้าของทั้งสองคน!
พระฝั่งขวาถูกตะกุยจนได้แผล ตัวไปกระแทกกับกำแพง
พระฝั่งซ้ายก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน แม้เขาจะหลบกรงเล็บของเสี่ยวไป๋ได้ แต่ก็หลบคมเขี้ยวของเสี่ยวไป๋ไม่พ้น เสี่ยวไป๋ขย้ำมือของเขา เขี้ยวน้อยๆ อันคมกริบขบทะลุหลังมือเขาเป็นรูขนาดใหญ่สองรูในพริบตา เขาเจ็บปวดจนสะบัดฝ่ามือเข้าใส่ แต่คิดไม่ถึงว่ากระทะเหล็กใบน้อยสีดำสนิทใบหนึ่งจะเร็วกว่าฝ่ามือของเขา
เปรี้ยง! กระทะเหล็กใบน้อยฟาดเขาจนจมเข้าไปในกำแพง
เสี่ยวไป๋ยังห้อยต่องแต่งอยู่กับมือของเขาจึงถูกฟาดโครมเข้าไปในกำแพงด้วย!
จูเอ๋อร์รีบแงะเสี่ยวไป๋ออกมา
ในตอนนี้เอง พระหนุ่มอีกสองคนก็รีบร้อนเข้ามา วรยุทธ์ของสองคนนี้เหนือกว่าสองคนก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาแต่ละคนซัดลมปราณออกมาจากฝ่ามือ
‘สามีภรรยา’ เป็นดั่งวิหคในพงไพรผืนเดียวกัน ยามประสบพบภัยต่างคนต่างหนี
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ขยับฟึบแยกย้ายกันทันที!
จุดที่เดรัจฉานน้อยทั้งสองตัวเคยอยู่ถูกกำลังภายในมหาศาลระเบิดเป็นหลุมเบ้อเริ่ม จูเอ๋อร์กุมหน้าอก ตาเหลือกลอยด้วยความ ‘หวาดกลัว’ ทั้งร่างชักกระตุกล้มลงบนพื้น!
พระที่ยกดาบขึ้นมาเตรียมจะฟันลิงน้อยตัวนี้ให้ตาย จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ตอนนั้นเองเสี่ยวไป๋พลันกระโดดเข้ามาตะปบมือของเขา ดาบเล่มเล็กร่วงลงบนพื้น เขาอับอายและโกรธเกรี้ยวจึงออกหมัดต่อยเสี่ยวไป๋
พระที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงเอะอะจึงค่อยๆ ล้อมวงเข้ามา เสี่ยวไป๋ถูกยอดฝีมือชั้นยอดสี่คนล้อมเอาไว้
จูเอ๋อร์เข้ามาช่วยเสริมการโจมตี มันคว้ากระทะเหล็กใบน้อยกระโดดเหินขึ้นกลางอากาศ พระที่อยู่ด้านล่างเห็นมันโจมตีอย่างดุดันเช่นนี้ ทุกคนก็กุมศีรษะด้วยสัญชาตญาณ ไหนเลยจะคิดว่าความเจ็บปวดกลับไม่มาเยือน ตรงกันข้ามกลับได้ยินเสียงดัง กึก! ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นกระบี่ไม้ของจูเอ๋อร์ติดแหงกอยู่บนกิ่งไม้….
พระที่ชำนาญอาวุธลับคนหนึ่งหยิบมีดบินสี่เล่มออกมาจากอกเสื้อขว้างใส่จูเอ๋อร์อย่างโหดเหี้ยม
ในตอนที่จูเอ๋อร์เกือบจะถูกมีดปักจนพรุนเป็นกระชอนนั่นเอง จู่ๆ ต้าไป๋ก็กระโจนมาจากด้านหลัง คว้าจูเอ๋อร์ลงมาจากต้นไม้
การเข้ามาร่วมวงของต้าไป๋ทำให้เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ราวกับพยัคฆ์ติดปีก ยอดฝีมือทั้งสี่คนถูกจู่โจมจนตกลงไปในหลุมแห่งหนึ่ง ต้าไป๋นั่งทับอยู่ด้านบนของพวกเขา ทั้งสี่คนตาเหลือกลอย น้ำลายฟูมปาก…
จูเอ๋อร์หัวเราะจนตัวโยก เสี่ยวไป๋กลิ้งบนพื้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ทว่าทันใดนั้นเองหางของเดรัจฉานน้อยทั้งสองตัวก็ถูกฝ่ามือใหญ่เย็นเฉียบคู่หนึ่งคว้าเอาไว้ กรงเล็บของเดรัจฉานทั้งสองหันกลับมาตะกุย ส่วนต้าไป๋หรี่ตาอย่างดุร้ายก่อนจะกระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย
อีกฝ่ายขยับปลายนิ้ว ชิ้นส่วนคมดาบบางๆ แผ่นหนึ่งที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วเฉือนลงมา ต้าไป๋เห็นท่าไม่ดีจึงตีลังกาหลบกลางอากาศ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังถูกใบมีดคมกริบเฉือนขนเพียงพอนออกไปหนึ่งกระจุก
ต้าไป๋โกรธแล้ว
เขายิ้มหยัน “เจ้าตัวกระจ้อยที่ยังไม่โตเต็มวัยสองสามตัวคิดจะทำร้ายข้าหรือ”
คนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น เขาก็คือฮุ่ยเหรินไต้ซือที่สมควรทำพิธีอยู่ที่เรือนหลีฮวานั่นเอง เพียงแต่สภาพของเขาในตอนนี้กับรอยยิ้มอำมหิตนั่น ดูไม่เข้ากับคำว่ากรุณาและเมตตาแม้แต่น้อย
เขาเอื้อมมือออกมาคว้าต้าไป๋ที่อยู่กลางอากาศ เจ้าตัวน้อยทั้งสามถูกเขาจับลำคอไว้แน่น จูเอ๋อร์ลิ้นจุกปาก ตาเหลือกลอย ในตอนที่เขาคิดจะหักคอของเจ้าตัวจ้อยทั้งสามทิ้ง เงาร่างสีเทาเข้มร่างหนึ่งก็เหินข้ามมาจากเหนือกำแพง ก่อนจะลอบส่งกำลังภายในสายหนึ่งจู่โจมข้อมือของเขาอย่างจัง แขนของเขาชาไปทั้งแถบจนฝ่ามือคลายออก เจ้าตัวจ้อยทั้งสามร่วงลงบนพื้น
เจ้าตัวจ้อยทั้งสามเผ่นแผล็วหนีไปหลบอยู่หลังอาจารย์ตาฮั่ว!
อาจารย์ตาฮั่วยืนอยู่เฉยๆ ตรงนั้น เขามองดูฮุ่ยเหรินไต้ซือด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ก็คิดว่าเป็นยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ผู้ร้ายกาจมากมายคนใดเสียอีก ที่แท้ก็ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าผู้ที่สูดดมควันยาสลบแล้วไม่เป็นอะไรทั้งสิ้นมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือคนไม่เป็นวรยุทธ์ และสองคือคนที่กินยาแก้พิษเอาไว้แล้ว ฮุ่ยเหรินไต้ซือย่อมไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างหลัง
ฮุ่ยเหรินไต้ซือมองอาจารย์ตาฮั่วอย่างดูแคลน เขายื่นฝ่ามือสองข้างออกมาโจมตีใส่อาจารย์ตาฮั่ว ความเร็วของเขาเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ฝ่ามือของเขาประหนึ่งลมพายุที่มีพลังขุดรากถอนโคนสรรพสิ่งพัดถล่มผ่านภายในสวน ใบไม้ถูกพัดเสียงดังแสกสาก อาภรณ์ปลิวสะบัด ฝุ่งดินฟุ้งกระจาย ทั่วทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยไอสังหารท่วมท้นในพริบตา
ทว่าตอนที่ลมปราณจากฝ่ามือของเขาจู่โจมใบหน้าของอาจารย์ตาฮั่ว อาจารย์ตาฮั่วกลับหายตัวไปอย่างแปลกประหลาด สันหลังของเขาเย็นวาบในฉับพลัน นี่เป็นไปไม่ได้!
เขาเอี้ยวศีรษะกลับไปก็เห็นอีกฝ่ายวิ่งมาอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ เขาเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นซัดฝ่ามืออีกหนึ่งฝ่ามือใส่อีกฝ่าย แต่แล้วอีกฝ่ายก็หายวับไปอีกหน!
กล่าวกันว่าวรยุทธ์ในใต้หล้า มีเพียงความเร็วที่มิอาจเอาชนะ เขาคิดว่าตนเองเร็วจนถึงที่สุดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เงาของอีกฝ่าย เขาก็ยังจับไม่ทัน
อาจารย์ตาฮั่วคร้านจะต่อสู้ติดพันกับเขาจึงเลิกวิ่ง เขาได้โอกาสซัดหนึ่งฝ่ามือโจมตีใส่หน้าอกของอาจารย์ตาฮั่วตรงๆ อย่างจัง ทว่าอาจารย์ตาฮั่วกลับไม่ขยับสักนิด มีเพียงกำลังภายในสายหนึ่งแผ่ออกมากระแทกทั้งร่างของเขาปลิวลอยออกไป
“พี่ใหญ่!” พระอายุน้อยรูปหนึ่งได้ยินเสียงดังก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นฮุ่ยเหรินไต้ซือกระอักเลือดไม่หยุดอยู่บนพื้น จากนั้นหันไปเห็นลูกศิษย์อีกสองคนหายใจรวยรินก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัวออกมา “พี่ใหญ่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ฮุ่ยเหรินไต้ซือกระอักเลือดออกมาอีกคำ
พระหนุ่มคลำดูเส้นเอ็นของเขา ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที “พี่ใหญ่ท่าน…ท่าน…”
ฮุ่ยเหรินไต้ซือตอบอย่างอ่อนแรง “เส้นเอ็นของข้าขาดสะบั้นหมดแล้ว…รีบ…หนีไป!”
ด้วยเหตุนี้คนทั้งกลุ่มจึงถอยทัพออกจากตระกูลจีอย่างรวดเร็ว
จีเหล่าฮูหยินเห็นพระหนุ่มที่เฝ้าประตูเรือนอยู่ผลุนผลันจากไปโดยไม่สนข้าวของก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “ซือฟู่น้อย พิธีกรรรมเสร็จแล้วหรือ ท่านยังไม่ได้หยิบของไปเลย! ตอนนี้ก็จะไปแล้วหรือ ซือฟู่น้อย! ซือฟู่น้อย!”
ซือฟู่น้อยจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
จีเหล่าฮูหยินรีบถามตงเหมย “นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้ารีบไปดูซิ!”
ตงเหมยออกไปอย่างเร็วไว ผลปรากฏว่าพระหนุ่มทั้งหลายจากไปหมดแล้ว แม้แต่ฮุ่ยเหรินไต้ซือที่ทำพิธีกรรมเพื่อจับภูตผีที่เรือนหลีฮวาให้สวินหลันก็ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหนด้วย ตงเหมยไล่ตามไปถึงประตูใหญ่ อยากจะถามไต้ซือทั้งหลายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ผีร้ายเก่งกาจเกินไปหรือไร พวกเขาจึงหวาดกลัวจนหนีเตลิด ไหนเลยจะคิดว่าจะพบกับพระอีกกลุ่มหนึ่ง
พระกลุ่มนี้มีเพียงสามคน ไต้ซือหนึ่งคน เณรน้อยอีกสองคน ทั้งสามคนเหมือนจะวิ่งมาตลอดทางจนหอบหายใจไม่ทัน เหนื่อยจนแทบจะลงไปนอนพังพาบกับพื้น
ตงเหมยมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ “พวกท่านคือ…”
ไต้ซือหอบแฮ่กตอบว่า “พวกอาตมา…พวกอาตมา…เป็น…คน…ที่…วัด…ผู่…ผู่…ผู่ถัว…ส่งมา..ทำ…พิธี…ให้…ตระกูลจี…”
ตงเหมยมองพวกเขาแล้วมองไปที่ถนนด้านหลัง พระกลุ่มก่อนหน้านี้หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ยิน แล้วคนกลุ่มนี้มาจากที่ใดอีกเล่า
“เมื่อครู่มีไต้ซือกลุ่มหนึ่งมาแล้ว พวกท่านมาด้วยกันกับพวกเขาหรือไม่” ตงเหมยถามอย่างไม่เข้าใจ
ไต้ซือรีบโบกมือ
พวกเขาออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตั้งใจว่าจะมาถึงตระกูลจีให้เร็วสักหน่อย แต่จนปัญญาที่ระหว่างทางรถม้ากลับพลิกคว่ำตกลงไปในคลอง พวกเขาวุ่นวายกันอยู่นานก็เอารถม้าขึ้นมาไม่ได้ จึงได้แต่ทิ้งรถม้าเดินเท้ามา เพิ่งมาถึงตระกูลจีเอาตอนนี้
ตงเหมยรีบบอกเรื่องไต้ซือกลุ่มนี้ให้จีเหล่าฮูหยินฟัง บังเอิญว่าบ้านชิงเหลียนฝั่งนั้น ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ส่งปี้เอ๋อร์มาบอกว่าพระกลุ่มนั้นมีจุดน่าสงสัย น่าจะไม่ได้มาทำพิธีกรรมแต่มาก่อเรื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ใดเป็นพระตัวจริง ผู้ใดเป็นพระตัวปลอม มองปราดเดียวก็รู้ทันที