หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 336-2 ฝีมือของน้องเฉียว ฉีกหน้ากากสวินหลัน
ตอนที่ 336-2 ฝีมือของน้องเฉียว ฉีกหน้ากากสวินหลัน
จีเหล่าฮูหยินให้ตงเหมยเชิญไต้ซือทั้งหลายเข้ามา จากนั้นให้หรงมามาไปบ้านชิงเหลียนกับเรือนหลีฮวา ดูซิว่าใต้เท้าเจ้าสำนักกับสวินหลันเป็นอะไรหรือไม่
หรงมามาไปบ้านชิงเหลียนก่อน
ใต้เท้าเจ้าสำนักยามปกติอาจไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลาสำคัญเขาก็ยังรู้ว่าสมควรพูดอะไร ไม่สมควรพูดอะไร “ไม่มีอะไร ซิ่วฉินกับแม่นางฟู่ตกใจกลัวเล็กน้อยเท่านั้น คนพวกนั้นเล็งมาที่ข้า อย่างไรเสียข้าก็อยู่ข้างนอกมาหลายปี ล่วงเกินคนมาไม่น้อย! หลังจากนี้พวกเจ้าก็มองคนให้มันดีๆ หน่อย อย่าปล่อยให้คนพวกไหนก็ไม่รู้เข้ามาในจวน!”
หรงมามาตอบรับอย่างอับอาย
หลังจากนั้นหรงมามาก็ไปที่เรือนหลีฮวา เรือนหลีฮวาเป็นปกติทุกสิ่ง
“ตอนนั้นพวกเจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ” หรงมามาถามโจวมามา
โจวมามาตอบอย่างงงงวย “ได้ยินสิ แต่ข้าคิดว่าไต้ซือกำลังจับผีร้ายอยู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร” หรงมามาโบกมือแล้วกลับไปรายงานจีเหล่าฮูหยิน
…
เมื่อเฉียวเวยส่งเด็กๆ เสร็จกลับมาถึงตระกูลจี พิธีกรรมก็เพิ่งจะเริ่มขึ้น นางได้ยินเสียงพระสวดคัมภีร์ก็ปวดหัว เดินส่ายหัวเข้าไปในเรือน
ปี้เอ๋อร์ยกน้ำอุ่นอ่างหนึ่งออกมาจากห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก เมื่อเห็นนางก็ดวงตาเป็นประกายทันควัน “ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! คุณชายรองกำลังหาท่านอยู่เจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยจึงเดินเลี้ยวไปอีกทาง มุ่งไปยังห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักขนม้านั่งตัวหนึ่งมานั่งข้างเตียง ฟู่เสวี่ยเยียนนอนอยู่บนเตียง ซิ่วฉินถูกปี้เอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์แบกกลับไปที่ห้องของตนเองแล้วจึงไม่อยู่ที่นี่
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันกลับไปมองนางแล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด “เจ้ากลับมาเสียที”
เฉียวเวยมองหญิงสาวบนเตียง แล้วถามอย่างฉงน “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ปิดบังสิ่งใดกับเฉียวเวย เขาเล่าเรื่องกลุ่มพระที่พยายามจะพาตัวฟู่เสวี่ยเยียนไปอย่างกรุ่นโกรธ เฉียวเวยฟังจบก็เบียดเขาไปด้านข้าง นางนั่งบนม้านั่งที่เขาเคยนั่งแล้วจับข้อมือของฟู่เสวี่ยเยียนขึ้นมาจับชีพจรให้นาง จากนั้นบอกว่า “นางไม่เป็นอะไร เพียงถูกควันยาสลบเล็กน้อยเท่านั้น นอนสักตื่นก็หายดีแล้ว”
ในที่สุดสีหน้าของใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่บูดเบี้ยวเท่าเดิม แต่ก็ยังไม่ได้สีหน้าดีเท่าไรนัก “จะต้องเป็นพี่ชายใจดำคนนั้นของนางก่อเรื่องแน่!”
ต้องเป็นเขาแน่ นอกจากเขายังมีผู้ใดร้อนใจจะลักพาตัวฟู่เสวี่ยเยียนไปเช่นนี้อีก ตามที่ฟู่เสวี่ยเยียนบอก นางเป็นว่าที่ฮองเฮาในอนาคตของเผ่าเยี่ยหลัว ตำแหน่งฮองเฮานำสิ่งใดมาให้ตระกูลได้บ้าง ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ ตระกูลของฟู่เสวี่ยเยียนไม่มีทางปล่อยให้นางถูกฝังไปพร้อมกับอนาคตของตระกูล ‘ฟู่’ เป็นอันขาด ดังนั้นพวกเขาจะต้องคิดแผนสารพัดวิธีเพื่อเอาตัวฟู่เสวี่ยเยียนกลับไป
เพียงแต่ว่าพระกลุ่มนี้โผล่มาได้บังเอิญเกินไปหน่อย เมื่อวานตระกูลจีเพิ่งตัดสินใจเรื่องทำพิธี วันนี้พวกเขาก็ปลอมเป็นพระบุกมาถึงบ้าน หากจะบอกว่าไม่มีไส้ศึก ผู้ใดจะเชื่อ
ใต้เท้าเจ้าสำนักหวนนึกถึงพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียนคนนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่พบบุรุษคนนั้นเป็นครั้งแรก เขากลับค่อนข้างชอบอีกฝ่าย ทว่านับตั้งแต่ที่เห็นอีกฝ่ายจับฟู่เสวี่ยเยียนกรอกยากับตาวันนั้น เขาก็ไม่เหลือความรู้สึกดีๆ อันใดให้อีกฝ่ายแล้ว ไม่เพียงไร้ความรู้สึกดี พอนึกถึงแววตาที่อีกฝ่ายมองฟู่เสวี่ยเยียน เขาก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว! เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่านี่เป็นเพราะเหตุใด!
“เหตุใดจึงมีพี่ชายที่อำมหิตเช่นนี้ มิน่านางยักษ์ถึงไม่ยอมกลับไปกับเขา…” เขาพึมพำ
เฉียวเวยจัดแขนเสื้อเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่บนเตียงแล้วขานอืมตอบอย่างเหม่อๆ
เฉียวเวยพาปี้เอ๋อร์มุ่งหน้าไปที่เรือนหลีฮวา
ไต้ซือด้านในลานเรือนกำลังทำพิธีกรรมอยู่ เขาไม่ได้ให้ทุกคนไปรออยู่ในเรือน จึงมีสาวใช้จำนวนไม่น้อยมามุงดูอยู่ด้านหน้า
ปี้เอ๋อร์เบียดฝูงชนจนแหวกทางเส้นหนึ่งออกมาได้ ทุกคนหันมาเห็นเฉียวเวยก็พากันถอยหลบไปสองฝั่ง เฉียวเวยสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องของสวินหลัน โจวมามากำลังบิดผ้ามาเช็ดหน้าให้สวินหลันอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังก็คิดว่าคนของห้องครัวมา จึงบอกโดยไม่หันกลับไปมองว่า “วางไว้บนโต๊ะก็พอ”
เฉียวเวยเดินไปด้านหลังนางแล้วเอื้อมมือออกมาจับคอเสื้อหิ้วนางขึ้น
โจวมามาหน้าถอดสีทันควัน นางหันกลับไปมอง “ฮูหยินน้อยหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยโยนนางไปบนพื้นอย่างไม่รักษาไมตรีสักนิด นางล้มจุกเจ็บ รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในจะเคลื่อนจากตำแหน่ง นางเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ก็พยายามถาม “ฮูหยินน้อย…นี่ท่านจะ…ทำสิ่งใด”
เฉียวเวยไม่ชายตาแลนางสักหน เดินตรงไปข้างเตียงแล้วก้มลงมองสวินหลังจากด้านบน “ข้ารู้ว่าเจ้าแสร้งป่วย ทางที่ดีเจ้าตื่นขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะปลุกเจ้าด้วยตัวเอง”
สวินหลันไม่มีปฏิกิริยา
โจวมามาหน้าซีดเผือดเอ่ยว่า “ฮูหยินน้อย…ฮูหยินนางไม่สบายจริงๆ นะเจ้าคะ…”
ปี้เอ๋อร์ถลึงตาใส่นาง “นางเฒ่า หุบปากเสีย!”
แววตาของเฉียวเวยเลื่อนมาจับบนใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของสวินหลันอย่างเฉยชา “สาดน้ำ”
โจวมามาหน้าถอดสีทันที “พวกท่านจะทำอะไร”
ปี้เอ๋อร์ยกน้ำที่ซักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาสาดไปเต็มหัวเต็มหน้าของสวินหลัน
โจวมามาตกใจจนหัวใจเกือบหยุดเต้น “ท่านทำเช่นนี้กับฮูหยินได้อย่างไร! ฮูหยินเป็นภรรยาของนายท่าน…เป็นแม่สามีของท่าน…”
เฉียวเวยสีหน้าไร้อารมณ์ “สาดอีก”
หนนี้ปี้เอ๋อร์เปลี่ยนมาใช้น้ำเย็นหนึ่งอ่าง สาดโครมลงไปบนใบหน้าและลำตัวของสวินหลัน
โจวมามาตาแดงแล้ว “ฮูหยินตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ! ท่านทำเช่นนี้คิดจะทำร้ายครรภ์ของฮูหยินหรือไร!”
เฉียวเวย “สาดต่อไป”
โจวมามารีบลุกขึ้นมาวิ่งออกไปด้านนอก “ใครก็ได้! ฮูหยินน้อยจะฆ่าคนแล้ว!”
เฉียวเวยคว้าถ้วยขึ้นมาใบหนึ่งแล้วโยนออกไปส่งๆ โดยไม่หันไปมองนางแม้แต่น้อย ทว่าถ้วยกลับขว้างมาถูกข้อพับเข่าของโจวมามาพอดี โจวมามาเซถลาไปด้านหน้าชนบานประตูห้องปิดพอดี ส่วนตัวเองก็หัวโขกจนสลบไปด้วย
ปี้เอ๋อร์ตักน้ำมาอีกหนึ่งอ่าง ด้านในใส่น้ำแข็งหลายก้อนเอาไว้ หนนี้ต่อให้น้ำไม่ทำให้นางสำลักจนตาย ก้อนน้ำแข็งก็อาจจะกระแทกหน้านางจนตายได้
สวินหลันลืมตาขึ้นมาอย่างเงียบๆ หน้าอกพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง สายตาเย็นยะเยือกมองมาทางเฉียวเวย
เฉียวเวยมองนางด้วยสายตาเฉยชา “ในที่สุดก็ยอมตื่นแล้วหรือ”
สวินหลันมองร่างกายที่เปียกโชกไปทั้งตัวของตนเองแล้วยันเตียงลุกขึ้นมานั่ง “เจ้าคิดจะทำอะไร”
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดจะทำอะไร เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้เดาไม่ออกหรืออย่างไร”
สวินหลันยกมือเช็ดคราบน้ำบนพวงแก้มและปลายคาง จากนั้นตลบผ้าห่มออกก้าวลงจากเตียง กำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักชุดก็ถูกเฉียวเวยจับข้อมือไว้ เฉียวเวยเหวี่ยงทีเดียวก็โยนนางลงไปบนเตียง
สวินหลันรู้สึกว่าท้องของตนสั่นไหวอย่างรุนแรงวูบหนึ่ง นางกุมหน้าท้องหันไปมองเฉียวเวยอย่างไม่อยากเชื่อ
เฉียวเวยสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “เจ้าใจกล้าไม่น้อยเลยนะสวินหลัน แม้แต่คนเผ่าเยี่ยหลัวก็ยังไปสมคบด้วย”
สวินหลันเลื่อนสายตาหลบ “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”
เฉียวเวยมองนาง “ฟังไม่เข้าใจ ก็ได้ ข้าขอถามเจ้า เจ้าวางแผนการสารพัดกลับมาที่ตระกูลจีเพื่ออะไรกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าเกิดผูกพันกับพ่อสามีของข้าขึ้นมาจริงๆ ในใจเจ้าคิดถึงผู้ใดเจ้ารู้ตัวดี แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเจ้าทำเพื่อบุตรชายของเจ้า หากเจ้าทำเพื่อเขาจริง ตั้งแต่แรกเจ้าก็คงไม่ทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้มากมายถึงเพียงนั้น”
แววตาตระหนกในดวงตาของสวินหลันสลายหายไปแล้ว นางพับแขนเสื้อกว้างอย่างนิ่งสงบ “เจ้ามาเพื่อจะพูดเรื่องนี้กับข้าหรือ”
“เจ้ายอมรับแล้วสินะ” เฉียวเวยย้อนถาม
สวินหลันลุกขึ้นยืน นางเดินมาถึงข้างตัวเฉียวเวยแล้วพูดเบาๆ ริมหูนาง “ใช่ ข้ายอมรับ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้เล่า”
กล่าวจบก็อมยิ้มมองเฉียวเวยหนหนึ่ง มือเรียวสวยลูบบนหน้าท้องที่นูนป่อง จากนั้นเดินออกไปอย่างไร้ความกลัว
ปี้เอ๋อร์กระทืบเท้า “ฮูหยิน เหตุไฉนนางถึงเหิมเกริมได้เพียงนี้”
ใช่แล้ว เหตุไฉนจึงเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้นางยังรู้จักเก็บงำความร้ายกาจไว้อยู่บ้าง แต่หนนี้เหมือนนางตัดสินใจจะทำให้พังพินาศไปด้วยกัน
มองอย่างผิวเผินนางดูได้เปรียบอย่างมหาศาลจริงๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็อุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจีอยู่ จีเหล่าฮูหยินกลัวขว้างของไล่หนูจะพลาดไปถูกสมบัติจึงไม่อาจทำอะไรกับนางได้ ถึงแม้ว่ากำจัดเด็กคนนั้นไปเสีย ปัญหาทางฝั่งจีเหล่าฮูหยินก็คงจะคลี่คลาย แต่จีซั่งชิงฝั่งนั้นก็คงจะยิ่งรู้สึกผิดต่อนางและยิ่งเห็นใจนางมากขึ้นไปอีกเพราะรักษาลูกไว้ไม่ได้เป็นหนที่สอง
ดังนั้นจะแท้งหรือไม่แท้ง นางล้วนมีป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่มีอานุภาพเพียงพอจะก่อคลื่นลมให้ตระกูลจี
ทว่าหากสวินหลันคิดว่าเฉียวเวยจะไม่มีปัญหาทำอะไรนางเพราะเรื่องนี้ ถ้าเช่นนั้นนางก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ตกบ่ายเฉียวเวยพกป้ายคำสั่งที่จีหมิงซิวทิ้งไว้ให้นางเดินทางไปพรรคโลหิตพิฆาตด้วยตนเอง
ป้ายคำสั่งแผ่นนี้เป็นป้ายหัวหน้าพรรคของจีอู๋ซวง เห็นป้ายดุจเห็นหัวหน้าพรรค หัวหน้าสาขาต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
เฉียวเวยเปิดปากเข้าประเด็น “ข้ามาเพราะต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้าตามหาคนผู้หนึ่ง ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”
หัวหน้าสาขาถามว่า “ขอถามฮูหยินต้องการตามหาผู้ใด”
“เฟิ่งชิงเกอ”