หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 344-1 ขับออกจากตระกูลจี สวินหลันคิดสั้น (2)
ตอนที่ 344-1 ขับออกจากตระกูลจี สวินหลันคิดสั้น (2)
เฉียวเวยเรียนจัดดอกไม้อยู่ในห้อง ดอกไม้นานาพรรณถูกนางปู้ยี่ปู้ยำจนสภาพดูไม่จืด เรียกได้ว่าเป็นสมรภูมิสงครามได้เลยทีเดียว
ปี้เอ๋อร์ก้าวขาเข้าไปก็เห็นมือสองข้างที่ช่วยชีวิตคนได้ สังหารคนก็ได้ของฮูหยินตนกำลังหัวเสียกับดอกไม้หัวโกร๋นที่น่าสงสาร นางเลยอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อย่าหัวเราะ ไว้ข้าจัดดอกไม้เป็นก่อนเถิด จะสวยจนเจ้าหยุดหายใจเลย”
ปี้เอ๋อร์เดินเข้าไป “ฮูหยิน ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน”
เฉียวเวยเลือกดอกโบตั๋นมาปักลงในแจกัน “ว่ามา”
ปี้เอ๋อร์กระซิบบอกที่ข้างหูเฉียวเวย เฉียวเวยตอบอ้อเรียบๆ ปี้เอ๋อร์ตกใจ “ฮูหยิน ท่านไม่คิดว่ามันน่าตกใจมากหรือ”
เรื่องใหญ่นั้นใหญ่จริงอยู่ แต่กลับไม่เกินความคาดหมายนัก หากแม่เลี้ยงสาวตายง่ายเพียงนั้นก็คงไม่ใช่แม่เลี้ยงสาวแล้ว อีกอย่างนางยังมีภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น จะทำใจเอาชีวิตของนางมาทิ้งได้อย่างไร อย่างมากน่ะ ก็คงเป็นแผนทำร้ายตัวเองเพื่อให้ดูน่าสงสารนั่นแหละ
ลองคิดถึงสวินหลันในครานั้นที่ดูแคลนกับการใช้แผนการเช่นนี้ นางถูกตระกูลจีใส่ร้ายถึงเพียงนั้นก็ยังทำตัวสูงส่งไม่ยอมลดตัวลงมากระทำการคิดสั้น แต่เวลานี้กระทั่งความสูงส่งขั้นสุดท้ายก็ยอมโยนทิ้ง เรียกได้ว่านางทุบหม้อข้าวแล้วจริงๆ
แต่ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากนางยอมอยู่เฝ้าสุสานใต้ดินอย่างสงบก็คงไม่อะไร แต่ตั้งแต่ชั่วขณะที่นางทำทุกวิธีทางเพื่อให้ตนเองได้กลับมายังบ้านตระกูลจี นางก็ได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้ามาในบ่อโคลนแล้ว แต่ก็เพียงข้างเดียวเท่านั้น หากนางยอมอยู่อย่างสงบ ไม่สร้างแรงกระเพื่อมใดๆ บางทียังพอมีโอกาสให้นางดึงขาข้างที่อยู่ในบ่อโคลนกลับขึ้นมาได้ แต่เวลานี้นางได้เอาขาอีกข้างย่ำลงไปด้วยแล้ว
…
เรือนหลีฮวา สวินหลันนอนหน้าตาดำคล้ำราวกับสิ้นใจแล้วอยู่บนเตียง หลังจากสลบไปชั่วขณะสั้นๆ นางก็ได้สติขึ้นมา แต่ตรงคอยังมีรอยเขียวจากการถูกรัดให้เห็น สีผิวที่ซีดขาวจนแทบไม่เห็นสีเลือดนั้นดูน่าตกใจเป็นพิเศษ
สองตานางลืมอยู่ มองม่านด้านบนด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่กินไม่ดื่มและไม่ยอมพูดอะไร คล้ายศพเดินได้ที่ถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง
จีซั่งชิงยกเก้าอี้มานั่งหน้าเตียง เอ่ยเรียกชื่อนางแต่นางไม่สนใจ
โจวมามาคุกเข่าอยู่กับพื้น ร้องห่มร้องไห้น้ำตานองหน้า วันนี้ทั้งวันนับว่านางได้เสียน้ำตาของทั้งชีวิตนางไปแล้ว “ฮูหยินช่างอาภัพเหลือเกิน…ไร้บิดาตั้งแต่ยังเล็ก…มารดาแต่งงานใหม่ก็ไม่ต้องการนาง…ต้องมาอาศัยพึ่งใบบุญคนอื่นอยู่…ตั้งแต่เล็กต้องอยู่ด้วยความระมัดระวัง…ยากลำบากกว่าจะเติบใหญ่…ก็ยังถูกคนร้ายลอบเล่นงานอีกหลายครั้ง…สมัยที่ฮูหยินถูกคนร้ายข่มขู่ไม่เลิกรา…ไม่มีที่ไหนสามารถพึ่งพาได้ทั้งสิ้น…ผู้ใดเลยจะรู้ถึงความลำบากในใจนาง ผู้ใดจะรู้!
พอมาแต่งงานกับนายท่าน…เดิมคิดว่าชีวิตนี้นางจะได้อยู่อย่างมีความสุขแล้ว…ผู้ใดเลยจะรู้ว่ามีกะละมังปฏิกูลอันแล้วอันเล่าที่รินรดใส่ศีรษะฮูหยิน…ด่าว่าว่านางทำร้ายคู่หมั้นคู่หมาย…ด่าว่าว่านางแต่งงานเข้าตระกูลจีมาเพราะจิตที่คิดร้าย…ซ้ำยังถูกว่าร้ายว่าวางยาใส่นายท่าน…อยู่ดีๆ ก็ต้องมาเสียบุตรไป…ถูกขับออกไปอยู่ยังสถานที่ลำบากยากเข็ญ…ต้องครองชีวิตสันโดษตั้งแต่อายุยังน้อย…นางไปทำร้ายใครทำอะไรให้ใครไม่พอใจเข้าถึงได้ถูกกระทำเช่นนี้…”
จีซั่งชิงได้ยินเสียงร้องไห้ของนางจนรำคาญใจไปหมด
โจวมามาไม่ใช่คนที่อ่านสายตาคนอื่นเก่ง นางอ่านสีหน้ารำคาญใจของจีซั่งชิงไม่ออก ยังคิดว่าที่ตนเองร้องไห้คร่ำครวญนั้นมีเหตุผลมากจึงยังคงเอ่ยปนสะอื้นต่อไป “เพิ่งแท้งลูกก็มาถูกขับออกจากบ้าน…บ้านใดกระทำกันเช่นนี้บ้าง…นี่ไม่อยากให้ฮูหยินมีชีวิตอยู่แล้ว…”
การไล่สวินหลันออกจากบ้านเป็นคำสั่งที่ลงมาจากเหล่าฮูหยิน โจวมามากล่าวเช่นนี้ ไม่เท่ากับกำลังบอกว่าเหล่าฮูหยินคิดจะเอาชีวิตสวินหลันหรือ
คนเป็นบุตรได้ยินเช่นนี้มีหรือจะชอบใจ
จีซั่งชิงตะหวัดสายตาคมกล้าไปให้อีกฝ่ายทันที “ที่นางกลายเป็นเช่นนี้เพราะใครกันแน่!”
โจวมามาสะอึกไปทันที นายท่านรักใคร่ฮูหยินมาตลอด จึงพลอยมีเมตตากับนางเป็นพิเศษไปด้วยจนนางเกือบลืมไปแล้วว่าเวลานายท่านโกรธนั้นน่ากลัวเพียงใด
จีซั่งชิงไม่คิดอยากจะสนใจบ่าวไพร่ที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวคนนี้สักนิด เขาเคยเตือนสวินหลันไว้แล้วว่าคนประเภทนี้หากเก็บเอาไว้ช้าเร็วจะต้องก่อเรื่องแน่ แต่สวินหลันไม่เชื่อ พอนางเอ่ยว่าบ่าวผู้นี้ไม่มีวันทำร้ายนางจบ นางก็ถูกบ่าวไพร่ชั้นเลวผู้นี้กระแทกตกบันได
ทุกครั้งที่จีซั่งชิงคิดถึงเรื่องนี้เขาก็แทบอย่างจะไล่สาวใช้ชั่วร้ายผู้นี้ออกไปเสีย!
โจวมามาหดคอด้วยความหวาดกลัว ขยับลุกขึ้นอย่างขลาดเขลาพลางเอ่ยตะกุกตะกักว่า “บ่าว…บ่าวจะไปดูว่า…ยาต้มเสร็จรึยัง…”
ยาต้มเสร็จนานแล้ว วางเย็นอยู่ในห้องครัว โจวมามาเพิ่งทำให้จีซั่งชิงโกรธ จึงไม่กล้าไปหาเรื่องใส่ตัวอีก เรียกสาวใช้อีกคนหนึ่งให้ยกมาให้แทน
สาวใช้ยกยาเข้าไปให้จีซั่งชิงแล้วถอยออกมา
จีซั่งชิงถือชามยาแล้วเอ่ยกับสวินหลันว่า “ดื่มยานะ”
สวินหลันไม่สนใจเขา
จีซั่งชิงตักยาไปป้อนให้ นางก็เบือนหน้าหนี
มือจีซั่งชิงพลันชะงัก ถอนใจเอ่ยว่า “ว่าง่ายๆ สิ กินยาเถิด”
สวินหลันพลิกตัวหนีด้วยสีหน้าเรียบเฉย หันหลังให้เขา
จีซั่งชิงมองร่างกายนางที่ดูเหมือนจะทรุดโทรมลงไปในชั่วข้ามคืน ในใจเกิดความรู้สึกผิด “ใครก็ได้”
สาวใช้ที่ชื่อหงเหมยเดินเข้ามา ครั้งนี้ที่สวินหลันกลับมาบ้านตระกูลจี เรื่องต่างๆ ของนางล้วนมีโจวมามาคอยจัดการอยู่คนเดียว หงเหมยถึงแม้จะเป็นสาวใช้ใหญ่ที่โยกย้ายมาให้นางแต่กลับได้ทำเพียงเรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ หากไม่ใช่เพราะเวลานี้โจวมามาหนีไปหลบอยู่ในห้องของตน นางคงไม่มีโอกาสได้เข้ามารับใช้ต่อหน้าเจ้านาย
“นายท่าน” หงเหมยทำความเคารพ
จีซั่งชิงเอ่ยว่า “เจ้าไปที่เรือนถงที บอกฮูหยินว่าคืนนี้ข้ามีธุระ ให้นางเข้านอนไม่ก่อน ไม่ต้องรอข้า”
ฮูหยินของเรือนถงแน่นอนว่าย่อมเป็นแม่นางหลี่ที่มาใหม่ท่านนั้น หงเหมยถึงแม้จะงุนงงกับคำเรียกที่ผู้เป็นภรรยาเท่านั้นควรจะได้รับ แต่นางกลับไม่กล้าสงสัยอะไรให้มากมาย ได้แต่เดินไปอย่างว่าง่าย
เฟิ่งชิงเกอถูก “กักตัว” อยู่ในบ้านตระกูลจีหลายวัน นางไม่รู้จะทำอะไรจนแทบจะขึ้นราอยู่แล้ว ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน กินลิ้นจี่ลูกหนึ่ง ทิ้งลูกหนึ่ง ร่ำรวยยิ่งนัก!
“ฮูหยิน บ่าวชื่อหงเหมยเจ้าค่ะ นายท่านให้บ่าวมาทำความเคารพท่านและให้นำความมาบอกแก่ท่านด้วยเจ้าค่ะ” หงเหมยรายงานอยู่หน้าประตู
เฟิ่งชิงเกอได้ยินอย่างนั้นก็เหลือบตาขึ้นมองทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงว่า “เข้ามา”
หงเหมยผลักประตูเข้าไป นางได้ยินมานานแล้วว่าเรือนถงมีแม่นางที่เป็นที่โปรดปรานมากคนหนึ่ง นางไม่เพียงร่วมอยู่ร่วมกินกับนายท่าน แต่นางไปที่ไหนนายท่านก็ยังตามติดไปด้วย เป็นที่โปรดปรานกว่าสวินหลันเมื่อในอดีตถึงสามส่วน หงเหมยนึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางยิ่งนัก พอเข้าไปในห้องจึงอดมองไปที่นางไม่ได้ แต่กระนั้นภาพที่นางเห็นกลับไม่เหมือนที่คิดไว้เอาเสียเลย!
คนที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากนายท่านเช่นนี้จะต้องเป็นสตรีที่ท่วงท่าสง่างาม รู้จักวางตัว แต่เหตุใดถึง…เหมือนหญิงเร่ร่อนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะไปได้ ช่างไม่รักษาท่วงท่ากิริยาเอาเสียเลย!
แต่เมื่อสายตาของหงเหมยเลื่อนไปถึงใบหน้านาง ก็เข้าใจขึ้นมาในบัดดลว่าเหตุใดนายท่านถึงได้เอ็นดูนางเพียงนี้
ใบหน้านั้นมองแล้วยังงดงามกว่าสวินซื่ออยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ!
เฟิ่งชิงเกออ้าปากหาวอย่างไร้ซึ่งภาพลักษณ์ “มีอะไรก็รีบพูดมา มีลมก็รีบผาย ข้าอยากจะนอนเต็มแก่แล้ว”
หงเหมยเกือบอ้าปากค้าง นี่ นี่ก็ออกจะหยาบคายเกินไปสักหน่อยกระมัง…