หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 361-2 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (4)
ตอนที่ 361-2 ความแตก ท่านพ่อจีรู้ความจริง (4)
ผู้ดูแลบัญชีบอกว่า “โปรดรอสักครู่ เงินส่วนนี้มูลค่ามากเกินไป หีบในโถงมีไม่พอ ข้าต้องไปขอกุญแจห้องเก็บของจากผู้ดูแลร้านก่อน”
สวินหลันพยักหน้าน้อยๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
ผู้ดูแลบัญชีเข้าไปในห้องของผู้ดูแลร้าน ไม่เท่าไรก็เดินยิ้มแหยๆ ออกมาแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษด้วยฮูหยิน เงินจำนวนนี้ท่านถอนออกไปไม่ได้”
“เพราะเหตุใด” สวินหลันถาม
ผู้ดูแลร้านส่ายหน้า ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร “เป็นเพราะ”
“เพราะเจ้าไม่คู่ควร!”
เสียงของเฉียวเวยดังขึ้นที่หน้าประตู
สวินหลันหันไปมอง เฉียวเวยมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย
เฉียวเวยอมยิ้มเดินเข้าไปในห้อง ผู้ดูแลร้านที่นั่งจิบชาอยู่ในห้องหนังสือได้ยินเสียงเลยเดินยิ้มออกมาต้อนรับ “ฮูหยินน้อย ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ขอรับ ท่านจะมาเหตุใดจึงไม่ให้คนมาส่งข่าวก่อน ข้าจะได้ออกไปต้อนรับที่หน้าประตู!”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ผู้ดูแลหูเกรงใจแล้ว ทางนี้ข้ายังมีเรื่องส่วนตัวต้องจัดการ อีกเดี๋ยวค่อยเชิญผู้ดูแลหูมาดื่มชาก็แล้วกัน”
ผู้ดูแลหูเหลือบมองสวินหลันที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง แล้วจึงลากผู้ดูแลบัญชีเข้าห้องไปอย่างรู้งาน
ภายในห้องโถงที่โล่งกว้างจึงเหลือเพียงเฉียวเวยกับสวินหลัน
สวินหลันเอ่ยเข้าประเด็นทันที “เงินส่วนนี้องค์หญิงทิ้งไว้ให้ข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเอาไป”
เฉียวเวยบอกว่า “ใครบอกกันว่าข้าจะเอาไป ข้าเพียงแค่จะเก็บมันไว้ที่โรงแลกเงินต่อเท่านั้น”
“ข้าจะถอนออกไป” สวินหลันบอก
เฉียวเวยมองนางอย่างขบขัน “เจ้าฝันไปเถิด”
สวินหลันบอกเรียบๆ “เงินนี้องค์หญิงเป็นคนให้ข้า ข้าอยากจะถอนออกไปเมื่อไรก็ย่อมได้”
เฉียวเวยเอ่ยประชดว่า “เงินนี่องค์หญิงเป็นคนให้เจ้า แล้วตำแหน่งนายหญิงตระกูลจีเหล่า องค์หญิงเป็นคนให้เจ้าไว้ด้วยหรือไม่ ของที่ไม่ได้ให้เจ้าเจ้ามาเอาไปโดยไม่สนกฎเกณฑ์ ของที่ให้เจ้า ข้าก็สงวนเอาไว้อย่างไม่สนกฎเกณฑ์ได้เช่นกัน”
สวินหลันหันไปมองทางห้องหนังสือ ผู้ดูแลร้านที่แอบฟังอยู่รีบหดศีรษะกลับไปทันที
เฉียวเวยยิ้มบางๆ บอกว่า “ไม่ต้องมองแล้ว เจ้าไม่ได้เงินไปหรอก”
สวินหลันมองเฉียวเวยด้วยสายตาเรียบเย็นทีหนึ่ง คว้าเอาหลักฐานการแสดงตนของตนแล้วหมุนตัวเดินออกไป
เฉียวเวยมองตามหลังนางไป “หากเจ้าคิดจะไปที่ร้านแลกเงินอื่นอีก ข้าขอบอกว่าอย่าเสียแรงเปล่าจะดีกว่า ข้าได้บอกออกไปแล้ว ร้านแลกเงินใดกล้าให้เงินเจ้า ข้าจะขับร้านแลกเงินนั้นออกจากเมืองหลวงทันที!”
สวินหลันชะงักฝีเท้า ส่งสายตาเย็นยะเยือกกลับไป
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “อยากบอกว่าข้าทำเกินไปหรือ นี่ไม่ใช่ความคิดของข้านะ เป็นของหมิงซิวต่างหาก”
อีตานั่นเวลานี้ยังนึกหึงสวินหลันอยู่เลย เขาแทบอยากจะบดขยี้สวินหลันให้เป็นผุยผง ตอนสวินหลันกระทำเรื่องเลวร้ายในบ้านเขา เขายังไม่นึกรังเกียจนางเช่นนี้เลย!
สุดท้ายแน่นอนว่าย่อมไม่ได้เงินไป การกระทำอย่างบ้าอำนาจของเฉียวเวย โดยหลักการแล้วสามารถไปฟ้องร้องต่อทางการได้แล้ว แต่ทางการคนใดกิ่นอิ่มแล้วจะกล้ามารับฟ้องคดีของเฉียวเวยเล่า ไม่กลัวว่านิ้วมือของจีหมิงซิวจะบี้นางจนตายหรือ
เมื่อไม่มีเงินจำนวนนี้ขององค์หญิง ชีวิตนางก็แทบจะเข้าสู่ทางตัน สวินหลันนำหงเหมยตั้งต้นทำกิจการเย็บปัก สวินหลันมือไม้คล่องแคล่ว สายตาก็ไม่เหมือนใคร งานปักที่ทำออกมาจึงงดงามขึ้นเรื่อยๆ
เถ้าแก่เนี้ยร้านปักผ้าเห็นแล้วก็พอใจยิ่งนัก ในขณะที่กำลังจะควักเงินซื้อเอาไว้นั้น เฉียวเวยก็โผล่มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นางเอาขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนเก้าอี้ แขนเท้าอยู่บนต้นขา เอ่ยอย่างชั่วร้ายเหลือแสนว่า “หากเจ้าทำการค้ากับนาง ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ทำการค้าในเมืองหลวงอีกเลย”
เถ้าแก่เนี้ยตกใจจนรีบไล่สวินหลันกลับไป!
ชื่อเสียงแม่นางเฉียวใจโฉดจึงดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวงทันที
…
เมื่อทำการค้ากับร้านปักผ้าใหญ่ๆ ไม่ได้ ก็จำต้องพาหงเหมยออกไปตั้งแผงเร่ขายที่ตลาด ในตลาดเช่นนี้ขายไม่ได้ราคา เงินที่ขายได้พอหักค่าที่ออกไปก็เหลือเพียงไม่กี่สตางค์เท่านั้น บางครั้งยังเจอพวกโจรเร่ร่อนอีกด้วย หงเหมยไม่เหมือนกับเฉียวเวยที่สามารถไล่ตีคนเหล่านั้นออกไปได้ วันหนึ่งไม่มีกำไรเหลือเลยจึงกลายเป็นเรื่องปกติ
นายบ่าวสองคนกินข้าวต้มใสๆ กันทุกวัน แม้แต่เนื้อสักชิ้นก็ยังไม่มีให้กิน
สวินหลันปักผ้าหามรุ่งหามค่ำ อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ อากาศก็เย็นลง นางเลยเป็นหวัด ตกกลางคืนเลยตัวร้อน
ในหนึ่งปีนางแท้งบุตรถึงสองครั้ง ร่างกายแข็งแรงๆ ยังต้านทานไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เดิมทีสุขภาพก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว หงเหมยป้อนน้ำร้อนให้นางดื่มไปไม่น้อย หวังว่าร่างกายที่เหงื่อออกมากๆ จะทำให้ตัวนางเย็นลงบ้าง แต่ใครจะรู้ว่ากลางดึกของคืนที่สอง อาการนางกลับยิ่งหนักขึ้น ร้อนจนพูดจาไม่รู้เรื่อง
หงเหมยตกใจมาก รีบออกไปหาท่านหมอมาดูอาการ แต่ท่านหมอหลูถูกจีหมิงซิวจัดการไปแล้ว ท่านหมอคนอื่นก็ไม่ได้ทำการกุศล หากไม่มีเงินจะไปเชิญใครมาช่วยดูได้
สวินหลันตัวร้อนฉ่า
หงเหมยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงวิ่งไปที่บ้านตระกูลจีกลางดึกแล้วเคาะประตูเสียงดังลั่น
“เปิดประตูหน่อย! ข้าต้องการพบนายท่าน!”
บ่าวหน้าประตูตกใจตื่นเพราะเสียงของนาง เขาจุดตะเกียงแล้วแง้มประตูออก อ้าปากหาวด้วยความรำคาญใจพร้อมบอกว่า “เอะอะเสียงดังอะไรกัน ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ นายท่านยังหลับอยู่เลย!”
หงเหมยร้อนใจบอกว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งต่อนายท่าน! เจ้ารีบไปแจ้งให้ข้าที! หากช้ากว่านี้ฮูหยินคงไม่รอดแล้ว!”
บ่าวเฝ้าประตูบอกว่า “นายท่านป่วยอยู่ อยู่ระหว่างพักรักษาตัว ทั้งยังมีคำสั่งมาแล้วว่าเรื่องทั้งหมดในจวนจะมอบให้คุณชายใหญ่กับฮูหยินน้อยเป็นคนดูแล แต่ฮูหยินน้อยก็สั่งไว้แล้วด้วยว่า หากเป็นเรื่องของสวินซื่อก็ไม่ต้องไปแจ้งต่อนาง สวินซื่อถูกขับออกจากตระกูลจีไปแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลจีอีก เจ้าน่ะอย่าได้มาอีกเลย!”
“แต่ว่า…”
หงเหมยยังไม่ทันพูดจบ บ่าวเฝ้าประตูก็ปิดประตูใส่หน้าดังปัง!
หลังจากนั้นนางเคาะประตูอยู่อีกนาน แต่กลับไม่มีคนตอบรับอีกเลย
หงเหมยไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างนายท่านกับฮูหยิน เหตุใดวันแรกแตกหักกับบุตรชายเพื่อฮูหยินอยู่ดีๆ วันต่อมาถึงได้หายไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเสียแล้ว เวลานี้ยิ่งไม่สนใจความเป็นความตายของฮูหยินเข้าไปใหญ่
หงเหมยนึกเสียใจหรือไม่ที่ติดตามสวินซื่อมา
แน่นอนว่าเคยเสียใจ หากครานั้นนางไม่ใจอ่อนกับสวินซื่อ แต่ทำเหมือนสาวใช้คนอื่นๆ ที่อยู่ให้ห่างนางเข้าไว้ เช่นนั้นเวลานี้นางคงได้อยู่ดีมีสุขอยู่ที่จวนเช่นเดิมไปแล้ว
แต่ในเมื่อนางเลือกที่จะก้าวมาในเส้นทางนี้แล้ว ก็ไม่มีหนทางให้หันกลับไปอีกแล้ว บ้านตระกูลจีไม่เหลือที่ให้นางอยู่ นางทำได้เพียงต้องปรนนิบัติรับใช้สวินซื่อให้ดี รอวันที่สวินซื่อได้กลับบ้านตระกูลจีอย่างยิ่งใหญ่ นางถึงจะได้กลับมาชูคออีกครั้ง
เพียงแต่ฮูหยินป่วยหนัก อย่าว่าแต่กลับบ้านตระกูลจีเลย นางจะรักษาชีวิตนี้ของนางไว้ได้หรือไม่ก็ยังบอกไม่ถูก
ยังมีผู้ใดอีกที่จะช่วยฮูหยินได้?
ผู้ใดอีก…
ใช่แล้ว หลิวเกอร์!
ฮูหยินเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหลิวเกอร์ ครานั้นที่ฮูหยินถูกไล่ให้ไปอยู่เฝ้าสุสาน หลิวเกอร์ร้องไห้ด้วยความเสียใจเพียงนั้น ในใจเขาจะต้องมีมารดาผู้นี้อยู่แน่ หากเขารู้ถึงสถานการณ์ในเวลานี้ของฮูหยิน ไม่มีทางที่เขาจะไม่สนใจ หนำซ้ำเหล่าฮูหยินก็ตามใจเขาถึงเพียงนั้น แค่เพียงเขาเอ่ยปากยังจะต้องกลัวว่าฮูหยินจะไม่มีคนช่วยเหลืออีกหรือ
หงเหมยคล้ายคว้ายอดหญ้ายอดสุดท้ายเอาไว้ได้ ตัวนางประหนึ่งกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง นางรู้ว่าฮูหยินน้อยไม่มีทางให้หลิวเกอร์พบหน้าตน ดังนั้นนางจะเฝ้าอยู่ที่หน้าตระกูลจีอย่างไรก็คงเข้าไปไม่ได้ นางอดทนรอจนถึงวันต่อมา เฉียวเวยพาซาลาเปาน้อยทั้งสามส่งเข้าสำนักศึกษาและขึ้นนั่งรถม้าออกไปแล้วนั้น นางถึงได้มีความกล้าเดินเข้าไป
องครักษ์เฝ้าประตูถาว่า “เจ้าเป็นใคร”
หงเหมยเอ่ยด้วยความเกรงใจว่า “ข้าเป็นสาวใช้ของตระกูลจี พอดีเกิดเรื่องที่บ้านข้า ฮูหยินของข้าเลยให้ข้ามารับตัวคุณชายสี่ไป”
คุณชายตระกูลอื่นล้วนมีบ่าวไพร่มารับตัวไปก็จริง หรือมารับตัวไประหว่างทางก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ตระกูลจีไม่ใช่เช่นนี้ เด็กในบ้านตระกูลจีมีผู้ใหญ่คอยรับส่งมาโดยตลอด หากไม่ใช่บิดามารดาแท้ๆ ก็เป็นท่านอารอง ท่านอาสะใภ้รอง บางครั้งเป็นอาจารย์ตาทวดก็มี เฉียวเวยได้บอกสำนักศึกษาไว้อย่างชัดเจนว่านอกจากพวกเขาเหล่านี้แล้ว คนอื่นล้วนเป็นพวกต้มตุ๋นทั้งสิ้น ไม่ว่าใครก็ห้ามมารับตัวไปทั้งนั้น
องครักษ์เลยไล่หงเหมยกลับไปอย่างไม่เกรงใจ
ความหวังเส้นสุดท้ายก็หลุดมือไปแล้ว หงเหมยกลับบ้านหลังเล็กไปด้วยความสิ้นหวัง สวินหลันยังคงตัวร้อนอย่างหนัก สมองมึนงงไปหมด ปากพึมพำบางอย่างแต่กลับฟังไม่ค่อยชัด
หงเหมยไปต้มน้ำที่ห้องครัว ใช้แป้งที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยทำก้อนแป้งต้มให้สวินหลันกิน แต่ตอนก้าวข้ามธรณีประตู ขากลับสะดุด ตัวล้มถลาลงกับพื้น จานแตก น้ำแกงในชามก็สกปรกจนกินไม่ได้…
น้ำตาของหงเหมยไหลลงมา ไม่รู้ว่าเพราะสวินหลันหรือว่าเพราะตัวเอง
นางเก็บกวาดห้องจนสะอาด หยิบงานเย็นปักที่เย็บอยู่สามวันถึงจะเสร็จเตรียมจะออกไปขายที่ตลาดเพื่อแลกกับเงินไปซื้อข้าวสองจานกลับมา แต่พอก้าวพ้นประตู ก็ถูกรถม้าคันหนึ่งชนเข้าให้อีก
งานปักมีรอยขาด
นางนั่งแบะอยู่กับพื้น หัวเข่ามีเลือดออก ปวดตามเนื้อตัวไปหมด นางเอามือปิดตา น้ำตาไหลออกมาตามซอกนิ้ว…
ขอโทษด้วยฮูหยิน ขอโทษด้วย ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…
ภายในห้องที่ว่างเปล่า สวินหลันคอแห้งแทบทนไม่ไหว ปากก็แตกระแหง ในคอมีไอออกมา “หงเหมย…น้ำ…”
น้ำบนเตาเดือดแล้ว กำลังส่งเสียงดังปุดๆ เพียงแต่ ณ ที่นั้นไม่มีหงเหมยอยู่อีกแล้ว