หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 412-2 ท่านแม่เฉียวมาถึง
ตอนที่ 412-2 ท่านแม่เฉียวมาถึง
เฉียวเวยจัดการมัดตัวยิ่นอ๋องไว้ข้างหลังตน พอมือที่ข้างเป็นอิสระ นางจึงเริงร่าเป็นปลากระดี่ได้น้ำ
แต่ความโชคดีอยู่กับนางไม่นาน กริชชาดให้มือนางถูกนักรบมรณะฟันจนสะบั้นลงเสียแล้ว
กริชชาดเดิมทีก็ไม่ได้เอาไว้ใช้สังหารผู้ใด มันแข็งแรงสู้อาวุธทหารไม่ได้ หลังจากผ่านไปหลายกระบวนท่า กริชชาดจึงแตกสลาย ซึ่งตอนนั้นเฉียวเวยเพิ่งจัดการนักรบมรณะไปได้คนเดียวเท่านั้น ยังเหลือนักรบมรณะที่ฝีมือร้ายกาจอีกถึงสามคน!
ทั้งสามขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เฉียวเวยได้แต่ก้าวถอยจนตัวไปชนกำแพง
ทันใดนั้น ศิษย์เอกก็กระโดดลงมาจากกำแพง เขาใช้แรงแทบตายกว่าจะปีนกำแพงได้สำเร็จ ตอนกระโดดลงมาจึงหอบแฮ่กแทบจะหายใจไม่ทัน เขาเอากระบี่ชาดยื่นไปให้เฉียวเวย “ใช้นี่”
เฉียวเวยบอกว่า “เจ้าขวางไว้ก่อน ข้าจะกระโดดขึ้นไปแล้วค่อยดึงเจ้าขึ้นไปอีกที”
ศิษย์เอก “ข้าไม่มีวรยุทธ์”
เฉียวเวยเพียงคิดว่าเขาวรยุทธ์อ่อนด้อย ไม่คิดว่าจะถึงขั้นไม่เป็นเลย “เจ้าไม่มีวรยุทธ์ที่เจ้าวิ่งแจ้นมาวังหลวงเพื่อช่วยข้า?”
ศิษย์เอก “ข้าเอากระบี่มาให้เจ้าอย่างไรเล่า!”
เฉียวเวยไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขา คว้ากระบี่ชาดเข้าไปประฝีมือกับนักรบมรณะที่เหลือ
เฉียวเวยถูกนักรบมรณะกระตุ้นให้เดือดดาลถึงขีดสุด นางแทบจะทุ่มกำลังสุดตัวเพื่อต่อสู้กับพวกเขาจนพวกเขาพากันล่าถอย นางหันกลับไปแทงนักรบมรณะคนหนึ่ง มืออีกข้างหักคอนักรบมรณะอีกคนหนึ่ง
หากอยู่บนแท่นประลองนางคงสู้ได้ไม่เท่านี้ แต่นี่อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่มีทางให้ถอยถึงได้ทุ่มสุดกำลังเช่นนี้
สุดท้ายเฉียวเวยก็จัดการนักรบมรณะไปได้จนหมด ที่แต่ช่างโชคไม่ดีก็คือ เสียงที่ดังก้องเรียกให้นักรบมรณะมาที่นี่กันมากกว่าเดิม หนึ่งคน สองคน สามคน สี่คน…ทั้งหมดแปดคน!
เฉียวเวยกระชับกระบี่ในมือนาง “ข้าคนเดียวสู้คนมาเพียงนี้ไม่ไหว เจ้าหาทางทำอะไรเร็วเข้า!”
ศิษย์เอกมองคนกลุ่มนั้นด้วยความหวาดหวั่น “ข้าจะมีหนทางใดได้”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความขัดใจ “ตำหนักราชครูของพวกเจ้าก็มีนักรบมรณะเหมือนกันมิใช่หรือ รีบเอามาใช้งานสิ!”
ศิษย์เอกขมวดคิ้วด้วยความลังเล “หากไม่มีคำสั่งจากอาจารย์ ไม่อาจเรียกใช้พวกเขาตามใจได้!”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความหัวเสีย “เช่นนั้นเจ้าก็รอความตายไปแล้วกัน พวกเขาจะตายหรือไม่ไม่สำคัญ แต่โทษที่ตำหนักราชครูสมคบคิดกับตระกูลจี วางแผนทำร้ายยิ่นอ๋องนั้นคงเป็นที่แน่นอนแล้ว! หากเจ้าอยากเห็นตำหนักราชครูได้ชื่อเหม็นเน่านี้ไปเป็นหมื่นปี เจ้าก็นั่งอยู่เฉยๆ ไปแล้วกัน!”
ศิษย์เอกเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในใจไปรอบหนึ่ง จากตำหนักเย็นมาถึงที่นี่ อีกฝ่ายใช้วิธีการอย่างไรเขาพอมองออกแล้ว พวกเขาอยากให้จั๋วหม่าน้อยกับตำหนักราชครูเยี่ยหลัวต้องตกต่ำได้ชื่อว่าเป็นคนชั่ว ชีวิตของเขาเสียไปได้ ชีวิตของนักรบมรณะก็เสียไปได้ แต่เกียรติยศนับหลายร้อยปีของตำหนักราชครูจะให้เสียหายไม่ได้!
พอความคิดนี้แวบเข้ามา สีหน้าเขาก็ดูเคร่งเครียด ก้าวขาออกเดินไปทางตำหนักฉางฮวนทันที
เฉียวเวยคอยคุ้มกันเขาออกจากวงล้อมไป
แปดคนนี้เป็นนักรบมรณะฝีมือดี อาวุธเป็นกระบี่เช่นกัน แต่ที่ต่างไปก็คือ หลังจากเฉียวเวยผ่านการต่อสู้กับนักรบมรณะแปดคนแรกแล้ว พละกำลังของนางหดหายไปมาก แต่พวกเขาแต่ละคนยังอยู่ในช่วงฮึกเหิม หากเฉียวเวยจะสู้ขึ้นมาคงลำบากไม่น้อย นางจึงไม่ฝืน เน้นไปที่การหลบหลีกเอาแทน
แต่นักรบมรณะฝีมือดีจำนวนมากเช่นนี้ จะหลบหลีกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง!
เฉียวเวยถูกรุกไล่จนหนีแทบไม่ออก!
ช่วงแรกไม่รู้สึกว่าตนแบกคนไว้ข้างหลังด้วย แต่ยิ่งพละกำลังถดถอย ถึงค่อยๆ รู้สึกถึงความหนักที่อยู่ด้านหลัง
นางเคลื่อนไหวเร็วๆ ไม่ไหวแล้ว…
โชคดีที่ในตอนนั้น นักรบมรณะของตำหนักราชครูมาถึงพอดี มีทั้งหมดหกคน
เฉียวเวยรีบวิ่งไปอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้น ถามศิษย์เอกว่า “เหตุใดถึงมีเพียงหกคน ตำหนักราชครูของพวกเจ้าไม่ได้มีอยู่มากหรือ”
ศิษย์เอกอธิบายว่า “คนอื่นๆ หาใช่คู่ฝีมือของพวกเขาไม่”
ระหว่างที่พูดนั้น นักรบมรณะจากตำหนักราชครูทั้งหกก็พุ่งเข้าไปหาอีกแปดคนแล้ว
คราแรกเฉียวเวยยังเป็นกังวลว่าคนจะไม่พอ โอกาสชนะมีน้อย ไม่คิดเลยว่านักรบมรณะของตำหนักราชครูจะเหนือกว่าอีกแปดคนอย่างชัดเจน อาวุธของพวกเขาเป็นมือเหล็ก มือเหล็กแต่ละคนพุ่งทะลุศีรษะนักรบมรณะฝั่งตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย
ภาพเช่นนี้ จึ๊!
เร้าใจเกินไปจริงๆ
นักรบมรณะหกคนของตำหนักราชครูจัดการนักรบมรณะแปดคนของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว นอกจากสองคนที่บาดเจ็บภายนอกเพียงเล็กน้อย อีกสี่คนที่เหลือร่างกายยังคงสมบูรณ์พร้อม
ศิษย์เอกสบายใจเสียที นักรบมรณะที่เขาพามาเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดแล้ว หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น อาจารย์ฟื้นขึ้นมาจะต้องกล่าวโทษเขาเป็นแน่!
“ไปกันเถอะ เอ๋ เจ้าดูอะไรอยู่น่ะ” ศิษย์เอกหันไปมองจึงเห็นว่าเฉียวเวยกำลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาประหลาด
เฉียวเวยพึมพำว่า “ข้ากำลังคิดว่า พวกเราเสียงดังกันเพียงนี้ กระทั่งนักรบมรณะยังมาที่นี่แล้ว แต่เหตุใดราชองครักษ์สักคนยังไม่เห็นมีมาเลย เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้หรือว่ารู้แต่ถูกขวางเอาไว้กันแน่”
ถึงอย่างไรเมื่อนักรบมรณะสองฝ่ายต่อสู้กัน หากราชองครักษ์มาเห็นเข้าก็คงรู้แล้วมิใช่หรือว่านอกจากตำหนักราชครูแล้ว ยังมีนักรบมรณะกลุ่มอื่นอยู่จริงๆ
เฉียวเวยสายตาพลันขยับ “ไม่ถูกต้อง!”
“ตรงใดไม่ถูกต้องกัน”
พอสิ้นเสียงศิษย์เอก เฉียวเวยก็กดศีรษะเขาลงทันที!
มีดเล่มใหญ่อันหนึ่งบินผ่านหัวพวกเขาไป หากเฉียวเวยกดศีรษะลงไม่ทันกาล เกรงว่าศีรษะพวกเขาทั้งสองคงหลุดจากบ่าไปแล้ว!
นักรบมรณะตำหนักราชครูคนหนึ่งพุ่งเข้าไป เงื้อฝ่ามือเหล็กเข้าคว้าอีกฝ่าย!
แต่กระนั้นมือของเขายังไม่ทันยื่นไปสุด ก็ถูกอีกฝ่ายใช้มีดเล่มใหญ่ตัดศีรษะเสียแล้ว
มีดใหญ่เล่มนั้นไม่ใช่มีดใหญ่ด้ามสั้นอย่างของเฉินต้าเตา แต่เป็นมีดใหญ่ด้ามยาวแบบที่กวนอูใช้ มีดประเภทนี้แค่น้ำหนักก็หลายสิบจินแล้ว หากไม่เดินกำลังภายในไม่มีทางยกขึ้นอย่างแน่นอน
สีหน้าศิษย์เอกพลันเปลี่ยนสีเมื่อได้เห็นหน้าอีกฝ่าย
ดูท่าความสามารถของศิษย์เอกมีดยาวดูจะเหนือกว่านักรบมรณะของตำหนักราชครูไปอีก
เฉียวเวยคิดในใจว่าแย่ล้ว วันนี้ดูท่าคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี!
นักรบมรณะมีดยาวเดิมทีก็รับมือได้ยากอยู่แล้ว แล้วมาทียังมากันสองคนอีก!
นักรบมรณะหกคนของตำหนักราชครูเมื่ออยู่ต่อหน้านักรบมรณะมีดยาวแล้วเป็นเพียงแมลงหวี่แมลงวันเท่านั้น แค่ชั่วพริบตา ทั้งสองก็จัดการกวาดล้างทุกอย่างจนสิ้นซาก
ศิษย์เอกเข่าทรุด มองศพบนพื้นแล้วตาแดงขึ้นมาด้วยความเสียใจ
เฉียวเวยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้งานนักรบมรณะที่ร้ายกาจเพียงนี้ คราวนี้ไม่เพียงเสียนักรบใหญ่ไปหลายคนเท่านั้น กระทั่งตัวพวกเขาเองก็ยังยากจะหนีรอด
นักรบมรณะมีดยาวสองคนถือมีดเดินเข้ามา ศิษย์เอกล้มเลิกการต่อต้านแล้ว ได้แต่นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น เกร็งคอแข็งคล้ายแพะที่รอคนมาสำเร็จโทษ
มีดยาวเล่มหนึ่งฟันมาทางศีรษะเขา!
เฉียวเวยรีบดึงตัวเขาหลบ “เจ้าอยากตายหรือไร!”
ศิษย์เอกโอดครวญว่า “ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นแล้วนี่!”
“ใครบอกเล่า เจ้าดูสิ!” เฉียวเวยบังคับจับอีกฝ่ายให้หันหน้าไปมองนอกกำแพง จึงเห็นเงาสีฟ้าเงาหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับนกอินทรี!
เฉียวเวยโยนกระบี่ชาดในมือไปให้ “อาจารย์ตา!”
อาจารย์ตาฮั่วรับกระบี่ชาดไว้อย่างมั่นคง
เฉียวเวยรู้ว่านักรบมรณะมีดยาวถึงแม้จะเก่งกาจ แต่กลับไม่ใช่คู่ฝีมือของอาจารย์ตาฮั่ว หนำซ้ำอาจารย์ตายังมีกระบี่ชาดในมือ จะจัดการนักรบมรณะมีดยาวสองคนจึงไม่ใช่ปัญหา!
ในขณะที่เฉียวเวยคิดว่าอาจารย์ตาฮั่วสามารถจัดการนักรบมรณะมีดยาวได้สบายๆ นั้น ท่าทางทั้งสองกลับเหมือนถูกบางอย่างทำให้ตกใจอย่างหนัก ถือดาบวิ่งแนบหนีไปทันที!
เฉียวเวยร้องว้าวทีหนึ่ง อาจารย์ตาฮั่วเก่งเพียงนี้เชียวหรือ ยังไม่ทันแสดงฝีมือ แค่เพียงรัศมีก็สามารถบีบคู่ต่อสู้ให้ถอยหนีได้แล้ว!
แต่เรื่องราวหลังจากนั้นก็ทำเฉียวเวยร้องว้าวไม่ออกอีก
บนทางเดินที่ห่างไปไม่ไกล ชายชุดดำแปดคนแยกเสลี่ยงที่ปิดคลุมด้วยผ้าโปร่งสีน้ำตาลกำลังเดินเท้าเข้ามา บนหลังแต่ละคนมีดาบยาวสะพายอยู่ แต่ละคนแผ่ไอเหี้ยมโหดออกมาทั้งสิ้น ฝีเท้าทุกคนดูเบาหวิว พู่สีดำที่ห้อยอยู่แกว่งเบาๆ เป็นจังหวะ
เฉียวเวยมองลักษณะของคนข้างในเสลี่ยงไม่ชัด แต่กลับรับรู้ได้ถึงรังสีของอีกฝ่ายที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ถึงขั้นแค่เพียงดีดนิ้วก็สามารถพังทุกอย่างให้ราพณาสูร
ศิษย์เอกตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
กระทั่งอาจารย์ตาฮั่ว บนใบหน้าก็มีความหนักอึ้งให้เห็น
เฉียวเวย “อาจารย์ตา คนผู้นั้นเป็นใครหรือ”
อาจารย์ตาฮั่วกระชับกระบี่ชาดในมือ “ราชันอสูร”
เหนือนักรบมรณะมีเพียงราชันอสูร!
แน่นอนว่าราชันอสูรไม่ใช่อสูรจริงๆ แต่เป็นประมุขของนักรบมรณะทั้งหมด
นักรบมรณะชั้นประมุขนี้ หนึ่งร้อยปียังยากที่จะมีสักคนหนึ่ง ก็ไม่แปลกที่สีหน้าอาจารย์ตาฮั่วจะดูหนักอึ้ง
อาจารย์ตาฮั่วเข้ามาบังหน้าเฉียวเวยไว้ “พวกเจ้าไปกันก่อน”
เฉียวเวย “แต่อาจารย์ตา ท่าน…”
อาจารย์ตาฮั่ว “ข้าเอาตัวรอดได้ รีบไป”
เฉียวเวยแบกยิ่นอ๋องและพาศิษย์เอกวิ่งไปทางกำแพงวัง
เสลี่ยงนั้นหยุดห่างไปไกล
เฉียวเวยไม่ได้หันกลับไปมอง เสลี่ยงนั้นก็ไม่ได้เปิดผ้าม่านโปร่งออก แต่เฉียวเวยรู้สึกได้ว่าสายตาคู่นั้นหยุดมองมาที่ตน
เฉียวเวยกำลังคิดจะหันไปมองว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่ อาจารย์ตาฮั่วก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหันมา รีบไป!”
เฉียวเวยสูดหายใจเขาลึกๆ โยนตัวศิษย์เอกออกไปนอกกำแพงวัง จากนั้นตนเองก็ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วเริ่มวิ่งส่ง
คนในเสลี่ยงขยับตัวแล้ว
เขายื่นมือที่เห็นข้อนิ้วชัดเจนออกมาด้านอก ชี้เบาๆ มาทางอาจารย์ตาฮั่ว
อาจารย์ตาฮั่วคล้ายถูกขุมพลังมหาศาลโจมตีอย่างไรอย่างนั้น ตัวทั้งตัวอัดกระแทกกับกำแพง ก่อนตัวจะสั่นเทิ้มแล้วกระอักเลือดออกมา!
เฉียวเวยขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงแล้ว พอเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้นหน้าก็พลันเปลี่ยนสี อาจารย์ตาฮั่วไม่เคยมีคู่ต่อสู้มาก่อน วันนี้กลับยังไม่ทันได้ประมือกับอีกฝ่ายเลยสักกระบวนท่า…
“อาจารย์ตา!” เฉียวเวยจะพลิกตัวกลับลงมา
อาจารย์ตาฮั่วจับขานางไว้ ไม่ยอมให้นางกระโดดลงมา “รีบไป!”
ศิษย์เอกที่อยู่อีกด้านของกำแพงจับขานางอีกข้างหนึ่งไว้ “เจ้ารีบลงมาเร็ว!”
เฉียวเวยส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “อาจารย์ตา…”
อาจารย์ตาฮั่วกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ใช้พลังเฮือกสุดท้ายดันฝ่าเท้าเฉียวเวยขึ้นไป “รีบไปสิ!”
ขนตาเฉียวเวยสั่นระริก “ข้า…ข้าขยับไม่ได้!”
ร่างกายนางคล้ายถูกขุมพลังมหาศาลกดตัวเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
เฉียวเวยหันไปมองทางเสลี่ยง เห็นว่ามือที่ยื่นออกมานอกเสลี่ยงนั้นกำลังอยู่ในท่ากดบางอย่างไว้ เฉียวเวยจึงรู้ว่าตนถูกำลังภายในของอีกฝ่ายกดตัวไว้
มือที่กดอยู่นั้นขยับเล็กน้อย
ทั้งตัวเฉียวเวยก็ลอยละลิ่วไปทางเสลี่ยงนั้น!
อาจารย์ตาฮั่วหน้าถอดสี “เสี่ยวเวย…”
เฉียวเวยลอยตรงเข้าไปหาเสลี่ยง
ในขณะที่เฉียวเวยกำลังจะลอยเข้าไปในเสลี่ยงนั้น หอกยาวสีดำส่องประกายคมกริบก็พุ่งลงมาจากขอบฟ้า นำพาไอเย็นที่พาให้หวาดผวาทั้งเทพทั้งปีศาจพุ่งเสียเข้าใส่เสลี่ยงนั้นอย่างรวดเร็ว!
มีเสียงหึขรึมๆ ดังมาจากในเสลี่ยง
มือข้างนั้นเก็บกลับเข้าไป
เฉียวเวยเป็นอิสระอีกครั้ง นางพลิกตัวลงยืนบนพื้นที่อย่างคล่องแคล่วและมั่นคง
ด้านนอกกำแพงวังมีเสียงเป็นระเบียบดังขึ้น
ตึง!
ตึง!
ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!…
คล้ายเหล็กกล้าอันหนักอึ้งตกกระแทกพื้นหินที่เย็นจัด นางรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ปลายเท้า พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นกำแพงวังที่แม้แต่อาจารย์ตาฮั่วยังชนไม่พัง ค่อยๆ พังยุบลงมาต่อหน้านางอย่างบอบบาง
ด้านหลังฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบ องครักษ์กลุ่มใหญ่สวมใส่เกราะสีน้ำตาล ในมือถือคันธนู ยืนใบหน้าดุดันอยู่นอกกำแพงราวกับอสูรกาย
จะบอกว่านอกกำแพงก็ไม่ถูกนักเพราะเวลานี้กำแพงไม่อยู่แล้ว
เฮ่อหลันชิงขี่ม้าตัวสง่าเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่
สีหน้าเรียบเรื่อยนั้นประหนึ่งว่าที่นางเพิ่งทลายลงไปหาใช่กำแพงของวังหลวงไม่ เป็นเพียงรั้วของแปลงผักธรรมดาๆ เท่านั้น