หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 449-2 คืนดี (2)
ตอนที่ 449-2 คืนดี (2)
จีหมิงซิวลองนึกภาพตาม ไม่ทันไรในหัวก็สังหารศัตรูในจินตนาการไปนับพันหน จากนั้นก็แค่นเสียงดังเหอะ เอ่ยว่า “เจ้าไม่มีโอกาสนั้นหรอก เลิกคิดเรื่องนี้ซะ!”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ขยับหัวพิงหัวไหล่ของเขา “ต้องรีบตามหาตำราหน้าสุดท้ายให้พบโดยไว แล้วให้ท่านเก็บตัวฝึกฝนวิชา”
จีหมิงซิวขานอืมตอบเบาๆ แต่ไม่พูดประเด็นนี้ต่อ เขาเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นว่า “เด็กๆ เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยตอบเสียงเบา “เพิ่งหลับไป”
สายตาของจีหมิงซิวเลื่อนมาจับบนหน้าท้องของนาง “ข้าหมายถึงคนที่อยู่ในท้องของเจ้า”
เอาอีกแล้ว!
ก็บอกว่าไม่ได้ท้อง!
เฉียวเวยกลอกตาอย่างจนปัญญา คร้านจะสนใจเขาแล้ว นางลุกขึ้นไปนอนบนเตียง โอบลูกๆ เข้ามาในอ้อมแขนแล้วปิดตาลงอย่างฉับไว!
ค่ำคืนนี้สายลมสงบยิ่งนัก
วันต่อมายามท้องฟ้าทอแสงสลัว ทุกคนก็ลุกขึ้นมาจัดเก็บสัมภาระ
การเดินทางไปเมืองอูเปี๋ยเหลือระยะทางเพียงไม่กี่ลี้ พวกเขามีรถม้าอีกเดี๋ยวเดียวก็คงถึง
หลังจากผ่านเมืองอูเปี๋ยมุ่งหน้าไปทางตะวันตกก็จะเข้าสู่ทะเลทรายแล้ว
หากการเดินทางในทะเลทรายไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน สิบวันก็จะไปถึงเยี่ยหลัว
“ตอนพวกเจ้าเดินทางมาพบเจอเรื่องไม่คาดฝันอันใดบ้างหรือไม่” ระหว่างที่เก็บข้าวของ เฉียวเวยก็ถามศิษย์เอกขึ้นมาประโยคหนึ่ง
ศิษย์เอกส่ายหน้า “ไม่มี พวกเราเป็นอูฐชำนาญทางย่อมเดินทางมาอย่างราบรื่นยิ่ง”
ถ้าเช่นนั้นหนนี้ก็น่าจะราบรื่นเหมือนกัน
คณะเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองอูเปี๋ย เมืองอูเปี๋ยใหญ่กว่าเมืองซีหนิว เพราะเชื่อมต่อกับสี่ทิศ นักเดินทางที่เดินทางไปมาจึงคลาคล่ำ เมืองเจริญคึกคักมากอย่างเห็นได้ชัด ในที่แห่งนี้ไม่เพียงจะเห็นพ่อค้าชาวซยงหนีว์ แต่ยังเห็นพ่อค้าชาวต้าเหลียงอีกด้วย
หากไม่รีบเร่งเดินทาง เฉียวเวยก็อยากจะเดินเที่ยวเล่นเมืองอูเปี๋ยเสียจริง
เพื่อให้สะดวกแก่การเดินทาง พวกเขาทุกคนจึงเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของเผ่าซยงหนีว์ เพียงแต่ว่าจีหมิงซิวกับเฉียวเวยรูปโฉมสะดุดตาเกินไป ต่อให้คนหนึ่งสวมหน้ากาก คนหนึ่งสวมผ้าปิดหน้า ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ยังคงเหมือนนกกระเรียนกลางฝูงไก่อยู่ดี
ยิ่งทั้งสองคนจูงเด็กน้อยสองคนที่แต่ละคนงดงามไม่แพ้กัน ก็ยิ่งทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้จริงๆ
ระหว่างที่คนกลุ่มใหญ่มองครอบครัวสี่คนอยู่นั่นเอง ใครบางคนก็บังเอิญมองเห็นจูสือที่เดินนำหน้าอยู่เข้า
จูสือกำลังแนะนำร้านขายอูฐในเมืองให้จีหมิงซิว “…อูฐของร้านเหล่าไล่เหอดีที่สุด ราคาก็ยุติธรรมที่สุด ข้ารู้จักเขา หากพวกท่านต้องการจะซื้ออูฐที่นั่น ข้าช่วยแนะนำพวกท่านได้!”
“นายน้อย นั่นจูสือไม่ใช่หรือขอรับ” ตรงประตูร้านขายของโบราณร้านหนึ่ง ทาสคนหนึ่งถามคุณชายผู้สวมเสื้อผ้าหรูหราที่อยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย
คุณชายอาภรณ์หรูหราลูบเขาวัวในมือแล้วหันไปมองตามทิศทางที่ทาสของตนชี้ ทันใดนั้นแววตาก็เย็นยะเยือกขึ้นทันควัน “ใช่เขาจริงๆ! เขายังกล้ามาอีก ใจกล้ามากจริงๆ! พวกเจ้าไปจับตัวเขามาให้ข้า!”
“ขอรับ!”
ทาสทั้งหลายยกพลไปตามถนนเส้นน้อยจนไล่ตามจูสือทัน แต่ด้านหลังจูสือมีองครักษ์และผู้คนขบวนใหญ่ตามอยู่ พวกเขาไม่กล้าวู่วามจึงรอจนกระทั่งจูสือออกมาเข้าห้องส้วมตามลำพัง แล้วจึงเอาถุงกระสอบคลุมหัวของจูสือ ลากจูสือไปที่ตรอกด้านหลังร้านขายของโบราณ
คุณชายผู้สวมเสื้อผ้าหรูหราเดินมาตรงหน้าจูสืออย่างเย็นชา เขาไม่พูดพร่ำก็ถีบจูสือหนึ่งทีเป็นอย่างแรก
จูสือถูกถีบจนอวัยวะภายในแทบจะย้ายที่
คุณชายอาภรณ์หรูหราส่งสัญญาณมือให้ทาสทั้งหลายเอากระสอบที่คลุมหัวจูสือออก
จูสือคุกเข่าอยู่บนพื้น แสงแดดทิ่มแทงเข้ามาในดวงตา เขาหลับตาลง หลังจากนั้นเขาก็เห็นรองเท้าหนังวัวสะอาดเอี่ยมคู่หนึ่ง บนร้องเท้าสลักภาพเลี่ยเป้า[1]หนึ่งตัว นัยน์ตาของเขาหดวูบทันควัน เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้า หลังจากนั้นหน้าก็ถอดสีในทันใด
คุณชายผู้สวมอาภรณ์หรูหราใช้ปลายเขาวัวเชยคางของเขาขึ้นมาแล้วยิ้มหยันมองเขา “เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ”
จูสือแววตาตื่นตระหนกตอบว่า “นาย นายน้อยอวี้!”
นายน้อยอวี้หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “หลอกเอาเงินของนายน้อยคนนี้ไป แล้วยังกล้าย่างเท้าเข้ามาในถิ่นของนายน้อยคนนี้อีก จูสือ เจ้าเป็นคนแรกจริงๆ”
จูสือกลืนน้ำลาย เขาตอบตัวสั่นระริก “นายน้อยอวี้…ล่วงเกินแล้วๆ…หนก่อนข้า…ก็ถูกผู้อื่นหลอกมาเช่นกัน…หลังจากนั้นข้าเพิ่งทราบว่าสินค้าที่ข้าซื้อมาเป็นของปลอม…เรื่องนี้ไม่…พอข้าทราบก็จะนำเงินมาคืนท่านทันที…”
นายน้อยอวี้เหมือนจะไม่เชื่อ “เช่นนั้นหรือ แล้วเงินอยู่ไหนเล่า”
จูสือยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “อยู่…อยู่บนรถม้า ท่านปล่อยข้าไป ข้าจะไปเอามาให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
นายน้อยอวี้ยกเท้าถีบเขาจนคว่ำกับพื้น “เจ้าคิดว่านายน้อยยังจะติดกับเจ้าอีกหรือ! เด็กๆ! ตัดมือของเขาเสีย!”
“ขอรับ!” ทาสหลายคนรุมเข้ามากดจูสือไว้กับพื้น คนหนึ่งในนั้นชักมีดสั้นออกมา เล็งไปที่ข้อมือของจูสือ กำลังจะฟันลงมา
จูสือตะโกนลั่น “นายน้อยอวี้เมตตาด้วย! ข้า…ข้า…ข้า…จะคืนเงินให้ท่านสิบเท่า!”
นายน้อยอวี้ไม่ตอบคำใด
“ยี่สิบเท่า!”
นายน้อยอวี้หนังตาไม่กระตุกสักนิด
“สามสิบเท่า! สามสิบเท่านายน้อยอวี้!” จูสือกลัวจนร้องไห้แล้ว “ขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถิด! ท่านต้องการสิ่งใดข้าจะมอบให้ท่านทุกอย่าง! ตอนนี้ข้ารู้จักคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง! พวกเขาเป็นคนจากบ้านเกิดของข้า! พวกเขามีเงินมากมาย! ข้าช่วยบุตรชายของพวกเขาไว้! ท่าน…ท่าน…ท่านไปหาพวกเขาขอค่าตอบแทนได้ พวกเขาจะต้องมอบให้ท่านอย่างแน่นอน!”
นายน้อยอวี้ยกมือขึ้นมา
ทาสที่กำลังจะฟันมือของเขาหยุดมีดไว้
นายน้อยอวี้นั่งยองๆ ลงมา แววตาเป็นประกายเล็กน้อยระหว่างที่มองเขา “คนบ้านเกิดของเจ้า? คนต้าเหลียงหรือ”
จูสือพยักหน้าเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“ชื่อว่าอันใด” นายน้อยอวี้ถาม
จูสือตอบว่า “ผู้หญิง…ผู้หญิงแซ่เฉียว…ผู้ชาย…ผู้ชายแซ่จี…”
นายน้อยอวี้แววตาวาววับ “เด็กสองคนเล่าชื่อว่าอะไร”
จูสือชะงัก ตนเองยังไม่ทันบอกเขาเสียหน่อยว่าอีกฝ่ายมีลูกสองคน…
นายน้อยอวี้แค่นเสียงเย็นชา “ไม่พูดใช่หรือไม่ เด็กๆ ลงมือ”
จูสือโพล่งเสียงดัง “ข้าพูดๆ! ลูกชายชื่อจิ่งอวิ๋น ลูกสาวชื่อวั่งซู!”
นายน้อยอวี้ใช้เขาวัวตบลงบนกะโหลกของเขา “หากเจ้ากล้าหลอกข้า…”
จูสือขวัญผวาตัวสั่นตอบว่า “ข้าไม่กล้าหลอกนายน้อยอวี้อย่างแน่นอน”
นายน้อยอวี้ลุกขึ้นยืน ก้มมองเขาจากด้านบน “พวกเขามีแผนการอย่างไร”
จูสือกลืนน้ำลาย “เอ่อ…พวกเขาเหมือนวางแผนจะซื้ออูฐจำนวนหนึ่งเพื่อเดินทางเข้าไปในทะเลทราย”
“เจ้าคิดหาวิธีรั้งพวกเขาเอาไว้ ถ่วงเวลาไว้หนึ่งคืน หากเจ้ารั้งไว้ได้ หนี้ระหว่างเจ้ากับข้าก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน แต่หากเจ้ารั้งไว้ไม่ได้…จูสือ วิธีการของข้า เจ้าคงรู้สินะ!”
นายน้อยอวี้ข่มขู่อย่างเย็นชาเสร็จก็พาทาสจากไป
ฝั่งพวกเฉียวเวยเดินทางไปที่เหลาสุราตั้งใจว่าจะทานอาหารกลางวันแบบง่ายๆ แล้วออกเดินทางทันที คิดไม่ถึงว่าอาหารเย็นหมดแล้วก็ไม่เห็นจูสือเข้ามา
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกเท้าเดินออกไปด้านนอก เพิ่งเดินมาถึงประตู จูสือก็วิ่งโซซัดโซเซเข้ามา เขาพุ่งมาถึงตรงหน้าจีหมิงซิวกับเฉียวเวย เนื้อตัวสั่นระริกบอกว่า “รีบไปเร็วเข้า! พวกเจ้าถูกคนจ้องเล่นงานแล้ว!”
[1]เลี่ยเป้า คือเสือชีตาห์
—————————–