หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 469 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ หนีรอดสำเร็จ (2)
ตอนที่ 469 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ หนีรอดสำเร็จ (2)
ในที่สุดพวกเขาก็ข้ามสะพานมาได้อย่างปลอดภัยแบบจิตแทบหลุดออกจากร่าง
เวลานี้ใกล้เที่ยงวันแล้ว หมอกบนภูเขาจางหายไปเกือบหมด นอกจากยอดเขาสูงหลายยอดที่สูงทะลุชั้นเมฆไปแล้ว ทิวทัศน์ส่วนอื่นที่เหลือล้วนมองเห็นได้อย่างไร้อุปสรรค
เฉียวเวยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเมื่อคืนพวกตนขึ้นกันมาสูงเพียงนี้ พอมายืนอยู่บนยอดก็เห็นเป็นทิวเขาที่ทอดตัวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ให้ความรู้สึกคล้าย “มองไปเห็นภูเขาดูลูกเล็ก” ขึ้นมาทันที
ใต้เท้าเจ้าสำนักเพิ่งประสบกับ “เหตุสะเทือนขวัญ” ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต จึงไม่เพียงแค่ขาอ่อน แต่ถึงกับอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จะยืนก็ยังยืนไม่ขึ้น
เฉียวเวยปรายตามองเขาทีหนึ่ง “ขายขี้หน้า!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะมองพี่สะใภ้ “เก่งนักขาเจ้าก็อย่าสั่นสิ!”
เฉียวเวย…อันที่จริงเฉียวเวยก็กลัวมากเช่นกัน สะพานแคบเพียงนั้นกับหุบเหวที่ลึกเพียงนั้น ที่สำคัญที่สุดคือยังไม่มีรั้วกั้นอีกด้วย ในมือนางอุ้มทารกอยู่คนหนึ่ง มือก็ต้องลาก “เด็ก” อีกคนหนึ่งไปด้วย หากเจ้า “เด็ก” นี่ไม่ให้ความร่วมมือขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาสามคนคงตกลงไปอยู่ก้นเหวแล้ว
“ไปหาที่นั่งพักกันสักหน่อยแล้วกัน”
คนที่เอ่ยคือฟู่เสวี่ยเยียน เห็นได้ชัดว่านางเองก็ขวัญผวาอยู่พอควรเช่นกัน ตอนเดินข้ามสะพานนั้นทำอะไรไม่ได้ ต้องบังคับให้ตัวเองนิ่งที่สุด แต่หลังจากเดินข้ามมาแล้ว ความรู้สึกกลัวหลังจากผ่านมาได้ก็เข้ามาจู่โจม โดยเฉพาะตอนที่คิดถึงว่า เมื่อคืนพวกเขาข้ามสะพานนี้ไปอย่างน่าหวาดเสียวโดยที่ไม่รู้สักนิดว่ามีอันตราย เลยยิ่งนึกกลัวหนักเข้าไปใหญ่
ในตอนนั้นไม่มีใครมองออกทั้งนั้นว่านี่เป็นสะพาน ยังคิดว่าเป็นทางเส้นหนึ่งเสียอีก ส่วนทั้งสองข้างที่ดำมืดนั้นเป็นดิน ในตอนนั้นหากมีใครคิดจะ “เหยียบดิน” ขึ้นมา คงได้ตกเหวลงไปเป็นแน่แท้
พอคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ่งก้าวขาไม่ออก
เฉียวเวยหันมองไปทั่วๆ เพราะอยู่บนยอดเขา พื้นที่ส่วนนี้ไม่นับว่าราบเรียบ ตรงจุดที่อยู่ห่างจากนางไปสิบก้าวมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่ อีกด้านยังมีก้อนหินที่มันวาวเป็นกระกายตั้งอยู่อีกด้วย
หลังจากลังเลระหว่างก้อนหินกับต้นไม้ใหญ่อยู่พักหนึ่ง เฉียวเวยก็เลือกต้นไม้ใหญ่ “ไปนั่งตรงนั้นกันเถิด”
พวกเขาเดินเข้าไปแล้วนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่
หลังจากไม่ได้ข่มตานอนกันมาทั้งคืนกับตลอดช่วงเช้า พวกเขาเหนื่อยล้ากันถึงขีดสุด แค่ได้นั่งพิงต้นไม้ก็ผล็อยหลับกันไปทันที
เสี่ยวไป๋กระโดดแด่วๆ เข้าไปในอกของเฉียวเวยแล้วซุกตัวลงใน “ห่อผ้า” ของเด็กน้อย นอนเบียดเด็กน้อยแล้วหลับตาที่หนักอึ้งของเพียงพอนลง
เฉียวเวยรู้ว่ามันเหนื่อยจะแย่แล้ว จึงไม่ได้ไปกวนมัน นางดึงชุดผ้าไหมของตนลงเล็กน้อย แล้วห่อตัวพวกมันเอาไว้ด้วยกัน
เด็กน้อยตัวเล็กมากจริงๆ หากอยู่ในยุคปัจจุบันคงต้องเข้าไปอยู่ในตู้อบ น่าสงสารนางที่คลอดจากครรภ์มารดาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตู้อบเลย แค่ผ้าห่มกับเตียงอุ่นๆ สักหลังก็ยังไม่มี ให้เสี่ยวไป๋เป็นเตาอบให้มันก็แล้วกัน
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ พอเสี่ยวไป๋เข้าไปเบียดอยู่ด้วยแล้ว เด็กน้อยก็ไม่งอแงอีกเลยจริงๆ
เฉียวเวยมองเด็กในมือด้วยความรักใคร่ ถึงจะรู้ว่าตนไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นเด็กที่นางทำคลอดให้กับมือ วันหน้าต่อให้มีหลานสาวหลานชายตัวน้อยเพิ่มขึ้นอีก นางก็จะไม่เหมือนกับหลานคนอื่นอยู่ดี
ในขณะที่เฉียวเวยกำลังระดมหอมแก้มแดงระเรื่อของเด็กน้อยอยู่นั้น จู่ๆ เด็กน้อยก็เผยอปากเล็กๆ แล้วร้องไห้จ้า
ฟู่เสวี่ยเยียนพลันสะดุ้งตื่น จึงได้รู้ว่าตนไม่รู้พิงอกใต้เท้าเจ้าสำนักหลับไปตั้งแต่เมื่อไร แก้มขาวๆ ของนางพลันแดงระเรื่อ ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วมองไปทางเฉียวเวย “นางเป็นอะไรหรือ”
เฉียวเวยมองประเมินท่าทางการร้องไห้ของเด็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “น่าจะหิวแล้วกระมัง เจ้าให้นมนางหน่อยแล้วกัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนขยับสาบเสื้อแล้วเม้มปากเอ่ยว่า “ข้า…ข้ายังไม่มี”
เฉียวเวยตอบอ้อคำหนึ่ง “เจ้าลองป้อนดูเดี๋ยวก็มา”
“อย่างนั้นหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนยื่นมือออกไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เฉียวเวยปลดผ้าปูเตียงที่ห้อยเด็กไว้อยู่แล้วส่งเด็กให้ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้ม
ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ตกใจตื่นเพราะเสียงร้องของบุตรสาวเช่นกัน เขาลืมตาขึ้นด้วยความง่วงงุน
ฟู่เสวี่ยเยียนยังไม่รู้ว่าเขาตื่น คิดว่าเขายังหลับอยู่เลยไม่ต้องเบี่ยงหลบ ส่วนเฉียวเวยนั้นเป็นสตรี ซ้ำยังเป็นหมอ จึงยิ่งไม่ต้องหลบเลี่ยงเข้าไปใหญ่ ฟู่เสวี่ยเยียนค่อยๆ ปลอดเสื้อลง เผยหัวไหล่ที่กลมกลึงเป็นประกายรวมถึงทิวทัศน์ที่อวบอิ่มที่อยู่ด้านล่างออกมา
พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นภาพเช่นนี้ เรียกได้ว่ากระตุ้นอารมณ์อย่างที่สุด เลือดในกายใต้เท้าเจ้าสำนักพลันฉีดขึ้นสมอง!
ต่อให้ใต้เท้าเจ้าสำนักเคยกระทำกิจแนบชิดกับนางมาก่อน แต่ครั้งนั่นเขาก็ถูกปิดตาเอาไว้ มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น! ความหมายที่ชัดเจนก็คือ นี่เป็นครั้งแรกในระยะประชิดที่เขาได้เห็นนาง…
เพิ่งมองได้ครึ่งเดียว ฟู่เสวี่ยเยียนก็เห็นเข้าเสียแล้ว
ฟู่เสวี่ยเยียนรีบดึงเสื้อกลับขึ้น เหลือบมองเขาด้วยความเขินอาย แล้วจึงอุ้มบุตรสาวนั่งหันหน้าไปทางก้อนหิน
ใต้เท้าเจ้าสำนักดึงสายตากลับไปด้วยความไม่พอใจ
ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งหันหลังให้ต้นไม้ ป้อนนมเงียบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็หันมามองเฉียวเวยอย่างทำอะไรไม่ถูก ทำท่าเหมือนอยากพูดบางอย่าง
เฉียวเวยอึ้งไป “ก็ยังไม่มาเหรอ”
ฟู่เสวี่ยเยียนหน้าแดงก่ำ “มาก็มาหรอก…แต่ว่า…”
เฉียวเวยเป็นหมอ แค่เห็นสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นเรื่องที่คุณแม่มือใหม่หลายตนต้องเจอ ต่อให้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ก็ออกจะลำบากอยู่บ้าง
เฉียวเวยถามออกไปตรงๆ ว่า “ไม่ยอมดูดสินะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอื้อเบาๆ หน้าแดงหนักขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าเพราะอายหรือเพราะร้อนใจกันแน่
เฉียวเวยเดินเข้าไปดู ท่าทางให้นมถูกต้องแล้ว แต่เด็กเองที่ไม่ยอมดูด
ลองคิดดูแล้วก็ไม่ถือว่าแปลก เด็กคนนี้ยังเด็กเกินไป เสียงร้องก็อ่อนเพียงนี้ จะมีแรงดูดเพียงไหนกันเชียว
เฉียวเวยเดินกลับไปใต้เท้าไม้แล้วเตะใต้เท้าเจ้าสำนักให้ทีหนึ่ง “เจ้าไปก่อน”
“ทำไม” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
เฉียวเวยส่งสายตา “ไปสิ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเฉียวเวยด้วยสายตาประหลาดก่อนจะลุกขึ้นปัดก้นเดินออกไป
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ไม่สนใจอีก นางนั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้เงียบๆ พักใหญ่พอใต้เท้าเจ้าสำนักเดินกลับมาใต้ต้นไม้ ใบหน้าเขาแดงก่ำราวกับตูดลิง เลือดกำเดาพุ่งพรวดออกมาราวกับน้ำพุร้อน
เฉียวเวยส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้อย่างเฉยชา “จึ๊ ขายขี้หน้า”
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อ ฟู่เสวี่ยเยียนก็อุ้มบุตรสาวกลับมา
เด็กน้อยได้กินเสียอิ่มหนำ จิตใจฟู่เสวี่ยเยียนก็ดีมาก
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเป็นเหลือบมองฟู่เสวี่ยเยียนโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่รู้เหลือบไปเห็นอะไรเข้า เลือดกำเดาที่อุตส่าห์หยุดไปแล้วก็พุ่งพรวดออกมาอีกครั้ง…
สวรรค์เป็นใจ บันดาลให้ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นหากฝนตกหนักคงชะล้างกลิ่นพวกเขาไปจนหมด หาไม่แล้วต่อให้เสี่ยวไป๋เก่งกาจเพียงใดก็คงไม่อาจหาทางกลับบ้านให้พวกเขาได้
หลังจากเดินไปอีกหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงถ้ำที่เมื่อคืนใช้หลบภัย
สภาพในถ้ำไม่น่ามอง เมื่อคืนหลังจากพวกเขาไปแล้ว คงมีนักรบมรณะมาคนหาที่นี่อีก
ศพของนักรบมรณะที่ถูกเฉียวเวยโยนออกไปก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ไม่รู้ว่าถูกสัตว์ป่ากินเข้าไปหรือถูกสหายของเขาเอาตัวกลับไปกันแน่
ที่นี่อยู่ใกล้กับรังนักรบมรณะของฮองเฮามากๆ แล้ว ทุกคนจึงระมัดระวังตัวกันขึ้นมาทันที เวลานี้สถานการณ์ของพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อคืนสักเท่าไร หากบังเอิญพบนักรบมรณะที่เก่งกาจเข้า พวกเขาก็รอถูกจับได้เลย
เสี่ยวไป๋ผ่อนความเร็วลง คนอื่นๆ ก็พร้อมใจกันหายใจให้เบาที่สุด
เดินไปได้อีกพักหนึ่ง พวกเขาก็เห็นค่ายนักรบมรณะอยู่ไกลๆ ที่น่าตกใจก็คือ กระโจมหลายหลังภายในค่ายหายวับไปภายในข้ามคืน ที่เข้ามาแทนที่คือลานตัดไม้ที่คล้ายถูกทิ้งร้าง
หากเสี่ยวไป๋ไม่ได้จำกลิ่นที่เหลืออยู่ในค่ายได้ กระทั่งเฉียวเวยคงเข้าใจว่าที่นี่เป็นลานตัดไม้มาแต่แรกแล้วเป็นแน่
ใต้เท้าเจ้าสำนักตาค้างเอ่ยว่า “พวกเขาทำอะไรรวดเร็วยิ่งนัก พอหาพวกเราไม่เจอก็ทำลายร่องรอยทิ้งจนหมดสิ้นทันที”
เฉียวเวยลอบฉงนในใจ พวกเขาทำลายหลักฐานได้รวดเร็วมากจริงๆ นักรบมรณะพวกนั้นตามหาพวกเขาอยู่ทั้งคืนก็ไม่เจอ คงคิดว่าพวกเขาหนีขึ้นฟ้าไปแล้ว หลังจากพวกเขาหนีออกไปได้คงต้องหาทางเปิดโปงค่ายใต้ดินของพวกเขา ดังนั้นการทำลายร่องรอยทั้งหมดทิ้งถึงเป็นเรื่องถูกต้อง เพียงแต่ความรวดเร็วนี้…ออกจะรีบร้อนเกินไปหน่อยกระมัง
“ทำอย่างไรดี ย้ายหนีไปแล้ว หลังจากนี้ต่อให้พวกเราบอกว่ามีค่ายใต้ดินขนาดใหญ่เพียงนั้นไปก็คงไม่มีผู้ใดเชื่อ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยด้วยความขัดใจ
เฉียวเวยเอ่ยเสียงต่ำว่า “ในโลกนี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมลอดผ่านไม่ได้ ค่ายใต้ดินใหญ่เพียงนี้จะสะสางให้สิ้นซากในชั่วข้ามคืนออกจะกระชั้นชิดเกินไป ถึงอย่างไรก็ต้องเหลือร่องรอยไว้อยู่บ้าง อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย กลับไปให้ได้ก่อน ถึงเวลาค่อยกลับมาเล่นงานนางอีกที!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักพยักหน้า เดินตามเฉียวเวยกับเสี่ยวไป๋ไป
จากตรงนี้เฉียวเวยจำทางได้แล้ว นางจึงจับเสี่ยวไป๋ที่เหนื่อยแทบขาดใจขึ้นมาอุ้มไว้
การถอนค่ายใต้ดินออกไปนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อคณะของเฉียวเวยมาก ตลอดทางหลังจากนั้นพวกนางก็ไม่ได้เจอนักรับมรณะอีกเลย เดินทางกลับถึงจวนอ๋องกันได้อย่างปลอดภัย
*************************