หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 475-1 ฮองเฮาเสียหายหนัก (2)
ตอนที่ 475-1 ฮองเฮาเสียหายหนัก (2)
เฉียวเวยกระทั่งฝันก็ไม่มีทางคิดว่าจะได้เห็นเขาคนนี้ นางไม่ได้พบเขามานานเพียงใดแล้ว
ลองนับดู เหมือนว่าจะหนึ่งปี
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ใบหน้าเขานั่นอีก…
เฉียวเวยกำลังเพ่งสายตามอง อีกฝ่ายก็รีบหันหลังกลับไป ดึงหมวกของเสื้อคลุมลงมาคล้ายพยายามปิดบังใบหน้านั้นไว้
สายตาเฉียวเวยขยับเล็กน้อย ในใจเกิดอารมณ์ที่ทั้งไม่คุ้นเคยและซับซ้อนขึ้น ต่อให้นางสติไม่สมประกอบนางก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้นางเห็นตน แต่นางไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้
“แม่ทัพน้อยมู่”
สุดท้ายนางก็เอ่ยออกมา นางเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี ตั้งใจเอ่ยถามให้ฟังดูสบายๆ ว่า “ที่แท้คนในโรงพนันตรงถนนหนานเถิงวันนั้นก็คือเจ้านี่เอง น่าเสียดายที่ข้าช้าไปก้าวหนึ่ง มิเช่นนั้นคงได้รู้ว่าต้าไป๋อยู่กับเจ้าแล้ว ใช่สิ เจ้าไปเจอต้าไป๋เข้าได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงมาอยู่ที่เยี่ยหลัวได้ เหตุใดเจอข้าแล้วต้องเดินหนีด้วยเล่า”
คำถามต่อกันเป็นพรวดพร้อมกับยื่นหน้ายื่นตาไปมองแม่ทัพน้อยมู่ อาจเป็นเพราะตัวเฉียวเวยเองก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะตอบ ถึงได้ถามติดๆ กันเช่นนั้น แล้วหวังใจว่าอีกฝ่ายจะตอบสักคำถามสองคำถามอย่างเสียไม่ได้
แต่เฉียวเวยคงต้องผิดหวังเสียแล้ว แม่ทัพน้อยมู่ไม่เอ่ยอะไรสักคำ แค่เพียงเอากรงยัดใส่มือเฉียวเวยแล้วรีบร้อนเดินหนีไป
เฉียวเวยมองแผ่นหลังที่แทบจะลนลานหนีไปแล้วได้แต่ถอนหายใจด้วยความจนใจ
หากนางจำไม่ผิด เขาน่าจะยัง…ไม่ถึงสิบเก้าปีเลยกระมัง
ครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าเขา เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่มีปณิธานแน่วแน่ แต่เพียงพริบตาเขาก็กลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเครา ผ่านมรสุมในชีวิตมากมายไปเสียแล้ว
เฉียวเวยใคร่รู้ยิ่งนัก หนึ่งปีที่ไม่ได้พบกันนี้เขาผ่านอะไรมาบ้าง แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่เยี่ยหลัวได้
อย่าบอกเชียวว่าเขาดั้นด้นตามนางมา นางหาได้มีเสน่ห์มากล้นเพียงนั้นไม่
จีหมิงซิวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอเห็นภรรยาของตนกำลังเหม่อมองตามแผ่นหลังบุรุษผู้หนึ่ง นัยน์ตาก็มีแววขุ่นเคืองปรากฏให้เห็น “ใครหรือ”
เฉียวเวยตอบ “แม่ทัพน้อยมู่”
เจ้าเด็กที่ถูกภรรยาตนถอดกางเกงล่อนจ้อน แล้วยังเดินตูดบิดหนีไปนั่นน่ะเหรอ!
หน้าตาใต้เท้าอัครเสนาบดียิ่งดูย่ำแย่หนักเข้าไปใหญ่!
อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุ้มวั่งซูที่กำลังหลับอุตุเข้ามา ในมือวั่งซูกอดธนูทองคำเอาไว้อยู่
ธนูอันนั้นย่อมเป็นธนูจันทร์โลหิต แต่วั่งซูไม่ชอบของสีดำๆ เลยดื้อรั้นจะให้บิดาของตนทางสีทองให้เป็นประกายอร้าอร่ามให้ได้
ความชอบเช่นนี้สมกับเป็นวั่งซูมากๆ เหมือนใต้เท้าเจ้าสำนักเอามากๆ
คราแรกที่ได้ยินว่าตนสามารถออกมาเล่นข้างนอกได้แล้ว วั่งซูดีใจจนกระโดดโลดเต้น แต่พอรถม้าเริ่มโยกไปมา นางก็หลับสัพหงกไปอย่างฝืนไว้ไม่อยู่
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เรียกอยู่หลายครั้ง ม้าส่งเสียงร้องก็แล้ว เจ้าเด็กอ้วนก็ยังไม่ยอมตื่น
เฉียวเวยเอาตัววั่งซูไปอุ้ม ไม่แปลกที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยปลุกนางไม่ตื่น เจ้าเด็กอ้วนนี้พอได้หลับต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่มีรู้สึกตัว เพียงแต่…เหตุใดถึงอุ้มเจ้าเด็กอ้วนนี้มากันนะ
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิวด้วยความข้องใจ
จีหมิงซิวขยับแขนเสื้อพร้อมบอกว่า “เดิมทีคิดจะให้วั่งซูเล่นเป็นเพื่อนฮองเฮาสักหน่อย”
ใครจะคิดว่านางจะถูกต้าไป๋ข่วนหน้าเป็นรอยได้ ไม่รู้จริงๆ ว่านางโชคดีหรือว่าโชคไม่ดีกันแน่
…
เฉียวเวยอุ้มต้าไป๋กลับจวนมู่อ๋อง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สนามสู้สัตว์ ตาของต้าไป๋เป็นสีแดง แต่เวลานี้กลับมาเป็นเหมือนเก่าแล้ว หนำซ้ำร่างกายก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ เฉียวเวยก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พอได้เจอต้าไป๋อีกครั้ง เด็กทั้งสองดีใจกันยิ่งนัก รีบเอาขนมลูกอมที่ตนเก็บไว้ออกมาแบ่งให้ต้าไป๋กิน
ต้าไป๋อยู่กับเจ้านายคนก่อนหน้านี้ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ เป็นแต่จะป้อนเนื้อดิบให้มันกิน จึงรู้สึกห่อเหี่ยวแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว เวลานี้พอได้กลิ่นของลูกกวาด มันเลยตื้นตันจนแทบอยากจะร้องไห้!
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็ได้พบกับสหายของมันแล้วเช่นกัน
เสี่ยวไป๋แบ่งถั่วเคลือบน้ำตาลให้อีกฝ่ายอย่างใจกว้าง ต้าไป๋กินเสร็จก็ถึงกับตาลอยคว้าง
จูเอ๋อร์…ของขวัญจากจูเอ๋อร์เลยเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน
ช่วงที่ต้าไป๋ไม่อยู่ ในบ้านมีน้องสาวตัวน้อยเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน
จิ่งอวิ๋นตั้งใจอาบน้ำต้าไป๋เสียจนขาวผ่องแล้วอุ้มให้ไปดูน้องสาว “ต้าไป๋เจ้าอ้วนขึ้นอีกใช่ไหมนี่ ข้าอุ้มเจ้าเกือบจะไม่ไหวแล้ว”
ต้าไป๋ที่อ้วนขึ้นสองจินจริงๆ รีบเกร็งตัว กลั้นหายใจ พยายามให้ตัวเองดูตัวเล็กที่สุด
แต่ต่อให้มันพยายามเท่าไร พอเอามันวางลงข้างเสี่ยวไป๋ ขนาดตัวที่ต่างกันหลายเท่าก็พลันปรากฏให้เห็น
เสี่ยวไป๋ยังตัวเล็กเท่าเดิม น่ารักเช่นเดิม แต่มันกลับตัวใหญ่เพียงนี้แล้ว ทั้งอ้วน ทั้งตัวกลม!
ต้าไป๋ร้องไห้จ้าออกมา!
พอต้าไป๋กลับมาในบ้านก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาก เฉียวเวยเห็นพวกสัตว์น้อยกับเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานก็ยิ้มออก ไม่ได้เข้าไปกวนพวกเขา เพียงปลดม่านลงแล้วเดินไปดูอินทรีทองที่อยู่ห้องข้างๆ
อินทรีทองบาดเจ็บตรงช่วงท้อง จำต้องทำแผลตามเวลา ตอนเฉียวเวยทำแผลให้มันเห็นว่าแผลที่ท้องของมันหายค่อนข้างช้า จึงลูบศีรษะมันแล้วบอกว่า ไว้มันหายดีเมื่อไรจะให้มันได้กินเสี่ยวไป๋
นางเอ่ยเช่นนี้ทำให้อินทรีอย่างมันทำใจได้ยากมากเลยนะ!
อินทรีทองกระพือปีกเพื่อบอกว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มันจะรักษาแผลให้เร็วที่สุด!
เสี่ยวไป๋ที่ซุกตัวให้ความอบอุ่นอยู่ในห่อผ้าของน้องสาวตัวน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแทงเข้าที่หัวเข่า…
มื้อเย็นพวกเขากินกันที่เรือนของฟู่เสวี่ยเยียน เฉียวเวยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามสู้สัตว์ให้ฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนักฟัง พอได้รู้ว่านังปีศาจเฒ่านั่นถูกต้าไป๋ข่วนหน้าจนเป็นรอย ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ดีใจจนกินข้าวได้เยอะขึ้นอีกสองถ้วย! ทั้งยังตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะดีกับต้าไป๋ให้มากๆ!
ตกดึก ในตะกร้าที่หลังของต้าไป๋มีเหรียญทองคำที่ส่องประกายแวววาวเพิ่มเข้ามาหนึ่งเหรียญ
ต้าไป๋ทำหน้ารังเกียจ…
พอกินมื้อยินเสร็จ พวกเด็กๆ เฝ้าน้องตัวนางอยู่พักหนึ่งก็กลับห้องกันไปนอน จีหมิงซิวไปหาท่านมู่อ๋อง วันนี้มู่อ๋องไม่ได้เข้าวัง เหตุผลคือ “ถูกอากาศเย็นจนเป็นหวัด” จีหมิงซิวผู้เป็น “บุตรชาย” เลยต้องไปเยี่ยมสักหน่อย
เฉียวเวยนั่งอยู่ในห้อง นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามสู้สัตว์ หากบอกว่าไม่ชอบใจคงเป็นการโกหก ไม่ว่าจะได้เจอต้าไป๋ก็ดี หรือได้เล่นงานฮองเฮาก็ดี ล้วนทำให้ความขุ่นมัวในใจนางหายไปทั้งสิ้น เพียงแต่นางยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องบางเรื่อง
เรื่องที่นางคิดไม่ตกนางจะไม่ฝืนคิดต่อไปเรื่อยๆ แต่หากมีโอกาสที่จะได้คำตอบ นางจะก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นกัน
หลังจากบุตรทั้งสองเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว นางก็เรียกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยให้เข้าไปเฝ้าในห้อง ส่วนตนกลับสวมชุดคลุมตัวสีฟ้าอ่อนแล้วอุ้มต้าไป๋ออกไปข้างนอก
…
ค่ำคืนของเมืองหลวงในฤดูหนาวแรกนั้น หนาวเย็นยิ่งนัก
ตรงขอบฟ้ามีเมฆดำขมุกขมัว คล้ายมีอะไรกดทับอยู่บนศีรษะตลอดเวลา
พอเข้าสู่ยามราตรี บนถนนที่เย็นเยียบไม่มีใครเดินผ่านไปมาให้เห็น
เงาคนที่สูงใหญ่กำยำแต่ดูหม่นหมองก้าวเท้าหนักๆ เดินอยู่ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัด เขาเดินไปตามถนนแล้วเลี้ยวเข้าไปในตรอกตรอกหนึ่ง ก่อนจะไปถึงหน้าบ้านหลังเล็กที่ดูดำทะมึน
ที่บอกว่าเป็นบ้าน เอาเข้าจริงเป็นเพียงเรือนไม้ผสมหินหน้าตาซอมซ่อหลังหนึ่งเท่านั้น ข้างหน้าใช้ไม้ไผ่ล้อมเป็นลานขนาดเท่าฝ่ามือ
ในลานมีเครื่องมือวางอยู่ระเกะระกะ เขาเดินข้ามเครื่องมือเหล่านั้นไปตรงหน้าห้อง ใช้มือซ้ายหยิบถุงผ้าแล้วควักกุญแจหน้าตาดำเมี่ยมออกมาดอกหนึ่ง
เขาลองใช้กุญแจดอกนั้นเสียบเข้าไปในรูกุญแจ แต่พอเสียบเข้าไป หัวกุญแจก็ดิ้นหนี โชคดีที่เขามือใหญ่ จึงกางมือออกใช้หัวแม่มือกดหัวกุญแจเอาไว้ แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบกุญแจแล้วเสียบเข้าในรูอีกครั้ง
มือขวาของเขาไม่ขยับเลยสักนิด
เขาหมุนกุญแจอย่างทุลักทุเล
พอได้ยินเสียงดังคลิก กุญแจก็เด้งออก
เขารีบดึงหัวกุญแจกลับมา แต่พอไม่ทันระวัง มือก็ดันทำให้กุญแจกลับเข้ากลอนอีกครั้ง กุญแจก็หล่นออกมาด้วย
เขาก้มลงไปเก็บกุญแจที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา เขาเปิดกลอนด้วยวิธีการเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด เป็นตายอย่างไรก็เสียบกุญแจเข้าไปในรูไม่ได้
เขาเลยยกเท้าถีบประตูด้วยความหัวเสีย!
จากนั้นเขาก็ลูบหน้าที่เย็นยะเยือกแทบไร้ความรู้สึก สูดหายใจลึกๆ แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังคงเปิดไม่ออกเช่นเดิม
แต่แล้วจู่ๆ มือที่เรียวยาวข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาช้าๆ
มือข้างนี้น่ามองมากจริงๆ ขาวเนียนราวกับหยก ผอมเรียวราวกับต้นหอม ถ้าเทียบกันแล้ว มือที่ทั้งหยาบทั้งดำของตนเรียกได้ว่าเหมือนท่อนไม้ดำๆ ท่อนหนึ่งนี่เอง
“ข้าทำให้”
เสียงที่ทั้งกังวานทั้งใสดังขึ้นที่ข้างหูเขา
ดวงตาเขาสั่นไหวเล็กน้อยพร้อมตัวที่แข็งเกร็ง เขาไม่ได้มองนาง แต่ก็ไม่ได้ขยับ ปล่อยให้นางเอากุญแจจากมือตนไป
เฉียวเวยเปิดประตูได้อย่างง่ายดาย
**************************************