หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 486-2 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (2)
ตอนที่ 486-2 ความลับของเมืองเหนือยอดเมฆ (2)
อัครเสนาบดีถูกราชันอสูรซัดฝ่ามือใส่จนตกลงไป แน่นอนว่าราชันอสูรควบคุมแรงได้ดียิ่งนัก กำลังภายในอันกล้าแข็งสามารถ ‘ส่ง’ เขาลงไปสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย (หน้าจมดินไปเต็มๆ) ซ้ำยังไม่ทำให้เขาบาดเจ็บจริงๆ จังๆ อีกด้วย
ราชันอสูรแบกสองคนอยู่บนหัวไหล่ ส่วนอีกคนเกาะอยู่ที่ขา ตอนเขาเดินสบายๆ ลงมาจนสุดบันไดนั้น ใต้เท้าอัครเสนาบดีก็จัดการสภาพตัวเองเรียบร้อยแล้ว มาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยรูปลักษณ์ราวกับจันทร์ฉาย
เฉียวเวย: เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าท่านตกลงมาอย่างน่าอนาถนะ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย: ข้าก็จำได้เช่นนั้นดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ไห่สือซาน: ข้าด้วย
…
พวกเขาขึ้นนั่งรถม้า กลับไปยังจวนอ๋องอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะราชันอสูรทำให้การเดินทางครั้งนี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ตอนพวกเขากลับมาถึงจวนอ๋องฟ้าจึงยังไม่มืดนัก
แม่ทัพน้อยมู่ยังคงอยู่ที่จวน
เฉียวเวยเดิมทีก็คิดจะให้เขาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เมื่อเขายอมอยู่ เฉียวเวยย่อมยินดี ไม่ได้ถามกระทั่งว่าเหตุใดเขาถึงยอมอยู่ จนกระทั่งครั้งนี้นางได้ยินที่เขาพูดคุยกับจีหมิงซิวในห้องหนังสือ เฉียวเวยถึงได้รู้ว่าความคิดของตนก่อนหน้านี้ออกจะไร้เดียงสาไปสักหน่อย
ภายในห้องหนังสือ จีหมิงซิวชงชาให้แม่ทัพน้อยมู่
ตั้งแต่ได้ดื่มชาที่จีหมิงซิวชง เขาก็ไม่อยากกินชาอื่นอีกเลย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ แม่ทัพน้อยมู่ไม่ได้ให้จีหมิงซิวรู้
จีหมิงซิวยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ “เอาล่ะ บันไดสวรรค์ข้าขึ้นไปมาแล้ว และกลับลงมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าก็ควรจะเปิดอกกับพวกเราได้หรือยัง”
แม่ทัพน้อยมู่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าขึ้นไปมาแล้ว”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ปราการแปดประตูข้าก็เห็นมาแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
แม่ทัพน้อยมู่หลุบตาลง มือที่จับถ้วยชาอยู่ออกแรงขึ้นเล็กน้อย “พวกเจ้า…ขึ้นไปมาแล้วจริงๆ…”
จีหมิงซิว “ไม่เพียงขึ้นไปมาแล้ว แต่ยังกลับมาได้อย่างปลอดภัยด้วย ทั้งยังถือโอกาสแก้แค้นให้เจ้าแล้วด้วย”
จีหมิงซิวเงยหน้าขวับขึ้นทันที “พวก…พวกเจ้าสังหารคนผู้นั้นแล้วหรือ”
เป็นไปได้อย่างไร
วรยุทธ์ของคนผู้นั้น…สูงส่งจนยากจะคาดเดาถึงขั้นนั้นแล้ว…
จีหมิงซิวยิ้มสบายๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เดิมทีเจ้าสามารถไปพร้อมกับพวกเราได้ แต่เจ้าไม่วางใจ จะต้องทดสอบความสามารถของพวกเราให้ได้ เวลานี้เจ้าทดสอบเสร็จแล้ว จะวางใจเข้าเมืองไปกับพวกเราได้หรือยัง”
“ข้า…” เมื่อมีคนอ่านความคิดเขาออก สีหน้าแม่ทัพน้อยมู่ก็ดูประดักประเดิดขึ้นมาทันที แต่ที่ประดักประเดิดยิ่งกว่าอยู่หลังจากนี้ เขาเหลือบตาขึ้นมาเห็นเฉียวเวยยืนถือถาดขนมอยู่ที่หน้าประตู ตัวเขาจึงพลันแข็งค้าง!
เฉียวเวยไม่ได้พูดอะไร หลุบตาลงเดินเข้ามาในห้องเงียบๆ แล้วเอาขนมวางลงบนโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ “อาหารเย็นยังไม่เรียบร้อย ข้ากลัวพวกท่านจะหิว เลยเอาขนมมาให้กินรองท้องก่อน”
แม่ทัพน้อยมู่มองเฉียวเวยด้วยความลำบากใจ
“พวกเจ้าคุยกันต่อเถิด ข้าออกไปก่อนล่ะ” เฉียวเวยพูดจบก็หมุนตัวออกจากห้องหนังสือไป
แม่ทัพน้อยมู่ทะลึ่งตัวลุกขึ้นก้าวยาวๆ ตามออกไป เขาเอ่ยเรียกนางไว้ “เจ้า…”
เฉียวเวยชะงักฝีเท้า ค่อยๆ หันกลับมามองเขาพร้อมส่งยิ้มบางๆ ไปให้ “อืม ข้าได้ยินแล้ว ตกใจนิดหน่อย”
“ข้า…” แม่ทัพน้อยมู่ใช้มือข้างซ้ายที่ยังดีอยู่ลูบใบหน้าที่บวมแดงเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทดสอบพวกเจ้า ข้าเพียงแค่…เพียงแค่แพ้อีกไม่ได้แล้ว…”
คนในบ้านล้มหายตายจาก ไม่มีทางให้ถอย ความเสี่ยงเพียงน้อยนิดเขาก็ไม่อาจรับได้อีก
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ข้าเข้าใจ”
แม่ทัพน้อยมู่หันไปมองนางด้วยใจที่หวาดหวั่น “เจ้าไม่…โกรธข้าหรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “หากเปลี่ยนเป็นข้าที่สูญสิ้นทุกอย่างในชั่วข้ามคืน ข้าคงระมัดระวังตัวเสียยิ่งกว่าท่าน ยิ่งไปกว่านั้นจุดที่ท่านควรเตือนก็ได้เตือนไปหมดแล้ว ก็แค่ต้องขึ้นไปอีกรอบเท่านั้น ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย”
แม่ทัพน้อยมู่เอนตัวพิงกำแพงคล้ายยกภูเขาออกจากอก เขาไม่ชอบที่เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบเอามากๆ แต่เขาไม่มีทางเลือก หากเขาขึ้นไปด้วยแล้วเอาชนะคนผู้นั้นไม่ได้ หรือกระทั่งถูกคนผู้นั้นฆ่าตาย เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดก็เท่ากับสูญเปล่า ความแค้นของตระกูลมู่ก็จะไม่มีผู้ใดชำระ… คนของตระกูลมู่ ไม่เหลือใครอีกแล้ว…
คืนนี้แม่ทัพน้อยมู่ไม่ได้พักอยู่ในจวนอ๋อง แต่เช้าตรู่วันต่อมาเขาก็มาปรากฏตัวที่จวนอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาจะขึ้นเมืองเหนือยอดเมฆนั้นด้วย เฉียวเวยพกกล่องยาฉุกเฉินกับอาหารแห้งเอาไว้กินระหว่างทางไปด้วย
คณะของพวกเขาขึ้นรถม้า ไม่เท่าไรก็มาถึงปากทางเข้าเขาหมั่งฮวง
พวกจีหมิงซิวตามกันลงจากรถ
ราชันอสูรไม่ขยับตัว
เฉียวเวยหยิบถั่วคั่วน้ำตาลห่อหนึ่งจากห่อผ้าออกมา
ราชันอสูรยอมลง
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรุบกรับจากราชันอสูรไปตลอดทาง
“พวกเจ้า…ไปรู้จักราชันอสูรผู้นี้ได้อย่างไร” แม่ทัพน้อยมู่ก็นับว่าทำการบ้านมาอย่างพรักพร้อมแล้วถึงได้เข้ามาที่เยี่ยหลัว ราชันอสูรไม่ได้เป็นกันมาแต่กำเนิด โดยทั่วไปมักมีเจ้านาย เขาไม่คิดว่าพวกจีหมิงซิวจะใจคอโหดเหี้ยมถึงขั้นฝึกปรือนักรบที่น่าอนาถเช่นนี้
เฉียวเวยบอกว่าวั่งซูเก็บมาได้ แม่ทัพน้อยมู่ไม่เชื่อ
ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น พวกเขาก็มาถึงสะพานหิน ราชันอสูรเก็บถั่วคั่วน้ำตาลเอาไว้ โยนเข้าถ้ำไปสามคน ก่อนจะคว้าอีกสองคนแล้วทะยานตามเข้ามาในทางเดิน
แต่กระนั้นตอนที่พวกเขาเดินผ่านทางเดินจนมาถึงบันไดสวรรค์แล้ว พวกเขาก็ได้พบกับคนคุ้นเคยคนหนึ่งโดยไม่คาดคิด…
“ตายจริง นั่นไม่ใช่ใต้เท้าชางหรอกหรือ”
เฉียวเวยเอาสองมือไพล่หลัง เดินยิ้มแย้มเข้าไปหา “ใต้เท้าชาง ไม่ได้พบกันนานเลย สบายดีหรือไม่”
ชางจิวไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังพานักรบมรณะดาบยาวมาด้วยอีกสิบหกคน สี่คนในนั้นกำลังแบกเกี้ยวอยู่ คนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวคือผู้ใด ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้
อย่าว่าแต่เฉียวเวยที่คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาเลย เขาเองก็ยิ่งไม่คิดว่าจะเจอกับเฉียวเวย… ไม่ใช่แค่เฉียวเวย แต่ยังมีจีหมิงซิวกับสมุน รวมถึง…ราชันอสูร
ราชันอสูรเอาแต่เคี้ยวถั่วดังกรุบกรับ ไม่สนใจชางจิวสักนิด
ชางจิวกับนักรบมรณะดาบยาวสิบหกนายนับว่ามีขุมพลังที่ไม่อาจประมาทได้แล้ว แต่ในสายตาของราชันอสูร พวกเขาไม่ต่างอะไรกับมดที่เดินอยู่ตามพื้น
คนจะหวาดระแวงมดตามพื้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร
สีหน้าชางจิวพลันเปลี่ยนเป็นยากจะอธิบาย
เฉียวเวยเดินเข้าไปหาเขา ส่งยิ้มแจ่มใสขณะเอ่ยว่า “ใต้เท้าชางนี่กำลังจะกลับเมืองหรือ”
ชางจิวกำหมดด้วยความระมัดระวัง “พวกเจ้า…พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่เล่า”
สายตาชางจิวพลันเปลี่ยน “พวกเจ้ามาพบที่นี่ได้อย่างไร”
เฉียวเวยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หายากนักหรือ เอ๋ ในเกี้ยวมีผู้ใดนั่งอยู่ คงไม่ใช่ฮองเฮากระมัง”
“เฉียวซื่อ เจ้าอย่าได้เสียมารยาท!” ชางจิวก้าวเท้าเข้ามา คิดจะขวางเฉียวเวยไว้ แต่น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง เฉียวเวยเลิกผ้าม่านเกี้ยวขึ้นเสียแล้ว
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เกี้ยวจึงไม่ใหญ่นัก ไม่อาจนอนราบได้ ตรงมุมเกี้ยวมีฮองเฮาที่ไม่รับรู้เรื่องภายนอกนั่งอยู่ ศีรษะนางพิงอยู่กับหมอนใบนุ่ม สีหน้าซีดขาวราวกับเทียนไข ริมฝีปากที่เดิมทีแดงฉ่ำก็ซีดขาวไร้สีเลือด
ลมหายใจของนางยิ่งเบาหวิว คิดดูแล้วหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่านางจะฝืนจนผ่านคืนนี้ไปได้
ชางจิวแย่งเอาผ้าม่านไปแล้วปิดกลับลงอย่างเก่า
เฉียวเวยระบายยิ้ม “นางใกล้ตายแล้ว ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะรักษานางให้นายได้ เจ้ารีบร้อนจะพานางขึ้นเมืองเหนือยอดเมฆไปเช่นนี้ ใช่เพราะในเมืองที่หมอเทวดาที่สามารถปลุกชีพคนตายขึ้นมาได้หรือไม่”
สีหน้าชางจิวพลันชะงักไป “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
มุมปากเฉียวเวยค่อยๆ มีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้น “วันนี้เจ้าโชคไม่ดี บังเอิญมาเจอข้า เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปหรือ”
***********************