หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 6 รายได้ก้อนแรก
ตอนที่ 6 รายได้ก้อนแรก
สวีต้าจ้วงเป็นนายพรานเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน บิดามารดาตายจากไปด้วยโรคร้ายนานแล้ว เขามีพี่สาวคนหนึ่ง แต่นางแต่งงานออกไปเมื่ออายุสิบกว่าปี เขาเองก็เคยทำนา แต่น่าเสียดายไม่มีพรสวรรค์ในทางนั้น ปลูกได้ไม่นาน พืชพรรณในนาก็ตายเกลี้ยง พี่สาวเองก็ช่วยเหลือเขาตลอดไม่ได้ เขาหมดหนทางจึงต้องขึ้นเขาล่าสัตว์ พอเริ่มล่าครั้งแรกก็ล่ามาสิบกว่าปี
แรกเริ่มล่าได้เพียงกระต่ายป่ากับไก่ป่าจำนวนหนึ่ง ต่อมาค่อยๆ เรียนรู้การใช้ธนูจึงล่าได้เพียงพอนเหลืองกับกวาง หมาป่ากับจิ้งจอกก็เคยล่าได้ อย่างไรสัตว์ยิ่งดุร้ายก็ยิ่งขายได้ราคางาม ปีก่อนเขาพบเสือที่กำลังใกล้ตายตัวหนึ่ง แน่นอนว่าเสือตัวนั้นแก่ตาย เขาลงมือหรือไม่ก็เหมือนกัน
เขาคิดว่าสถานการณ์ที่เฉียวเวยเจอก็คงเหมือนกับที่เขาเคยเจอ ทว่าเมื่อเขาตามเฉียวเวยกับป้าหลัวขึ้นไปบนเขา สิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นศพของเสือร้ายวัยหนุ่มตัวหนึ่ง ทำเอาเขางงงัน
“นี่…นี่…นี่จ้าฆ่ามันเองจริงหรือ” สวีต้าจ้วงตาค้างลิ้นพันกัน
เฉียวเวยหัวเราะอย่างเก้อเขินแล้วเอ่ยเหมือน ‘หวาดกลัว’ อยู่นิดๆ “ก็นับว่าข้าฆ่ามันไม่ได้หรอก เดิมทีมันก็บาดเจ็บใกล้ตายอยู่แต่ดันจะปีนต้นไม้ขึ้นมา พอมันชะเง้อคอมาแบบนั้น ข้าตระหนกจึงฟันมันไปทีหนึ่ง มันก็กลายเป็นเช่นนี้”
ป้าหลัวจินตนาการภาพนั้นไม่ออก แต่สวีต้าจ้วงผู้เป็นนายพรานย่อมเข้าใจว่าสถานการณ์นั้นเสือร้ายเป็นฝ่ายเสียเปรียบจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นเขาก็น่าจะสังหารมันได้ แต่เขาเป็นนายพราน เขารู้ว่าจะฆ่าเสืออย่างไร เสี่ยวเฉียวเป็นสตรีนางหนึ่ง จังหวะฉุกละหุกฟันลงไปหนึ่งครั้งจะฟันแม่นเช่นนี้ได้เช่นไรเล่า หากฟันเบี่ยงเพียงนิดเดียว คนที่ตายก็คงเป็นเสี่ยวเฉียวแล้ว
เฉียวเวยเห็นเขาจ้องบาดแผลที่คอเสือก็รู้แล้วว่าเขาสงสัย หนึ่งดาบที่นางฟันลงไปนี้ฟันได้เหี้ยมเกินไป แม่นยำเกินไปจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงสตรีบอบบาง ต่อให้เป็นบุรุษฉกรรจ์ก็มีน้อยคนนักที่จะทำได้เช่นนี้ แต่นางย่อมบอกสวีต้าจ้วงไม่ได้ว่าตนไม่ใช่เจ้าของร่างคนเดิม แต่เป็นหมอเฉียวผู้ใช้มีดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
“ข้ากลัวแทบแย่ จริงๆ…ข้าตัดสินใจแล้วด้วยซ้ำว่าจะยอมตายไปพร้อมกัน” เสียงของเฉียวเวยสั่นน้อยๆ แล้วก้มหน้าลง มือเรียวยาวกำชายเสื้อ แสงอาทิตย์อัสดงส่องลอดเข้ามากระทบร่างบอบบางของเฉียวเวย ลำคอที่โผล่พ้นคอเสื้อของนางขาวผ่องและบอบบางราวกับว่าบิดเบาๆ ครั้งเดียวก็คงหัก
หญิงสาวเช่นนี้ หากมิใช่ว่าโชคดีคงลงไปอยู่ในท้องเสือแล้ว
สวีต้าจ้วงส่ายหัว รู้สึกว่าความสงสัยของตนเป็นเรื่องไร้สาระ เขาเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “หลังจากนี้อย่าไปเที่ยวเล่นบนเขาอีก”
พูดเหมือนกันกับป้าหลัว เขาก็เป็นคนจิตใจดีคนหนึ่งเช่นกัน
เฉียวเวยพยักหน้านิดๆ “เข้าใจแล้ว พี่ต้าจ้วง”
พี่ต้าจ้วง? สวีต้าจ้วงชะงักอีกครั้ง คนอายุน้อยในหมู่บ้านต่างเรียกขานเขาเช่นนี้ แต่เพิ่งเคยได้ยินเสี่ยวเฉียวเรียกเป็นครั้งแรก เสี่ยวเฉียวดูเหมือนจะ…ต่างจากก่อนหน้านี้มากทีเดียว แม้จะยังบอบบางแต่ไม่ทำตัวน่าชังแล้ว
สวีต้าจ้วงตรวจสภาพเสืออย่างละเอียด “ดีกว่าตัวก่อนของข้า”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ต้าจ้วงคิดว่าน่าจะขายได้เท่าไรหรือ”
สวีต้าจ้วงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยังบอกไม่ได้ ต้องดูว่าคนซื้อจะให้ราคาเท่าไร แต่หน้าหนาวล่าสัตว์ได้น้อย น่าจะสูงกว่าราคายามปกติเล็กน้อย ตัวที่เจ้าล่ามาได้เป็นเสือหนุ่ม หนังเสือสมบูรณ์ดีทีเดียว ข้าจะพยายามขายให้ได้ราคาดีที่สุดก็แล้วกัน”
จากนั้นเขาก็ยกมือทำสัญลักษณ์เลขสอง
เฉียวเวยกะพริบตา “สองร้อยตำลึง?”
สีหน้าของสวีต้าจ้วงเหมือนกำลังตะโกนว่า ‘พูดบ้าอะไรของเจ้า’
เฉียวเวยหัวใจเต้นโครมคราม “หรือว่าสองพันตำลึง”
เสือได้ราคาเช่นนี้เชียวหรือ สวรรค์ นางรวยแล้ว!
“ยี่สิบตำลึง”
น้ำเย็นอ่างหนึ่งสาดดับฝัน!
ใบหน้าน้อยของเฉียวเวยถมึงทึงในทันใด “พี่ต้าจ้วง ทำไมได้แค่ยี่สิบตำลึงเล่า นี่มันเสือตัวจริงเสียงจริงเลยนะ! ร่างกายเสือมีของล้ำค่าตั้งเท่าไรท่านรู้หรือไม่” ไตเสือรักษาโรคคอพอก ตับเสือรักษาโรคลมชัก เอ็นเสือรักษาข้ออักเสบเรื้อรัง ดวงตาเสือช่วยบำรุงสายตา ไขมันเสือรักษาริดสีดวงทวาร อวัยวะเพศเสือเสริมสมรรถภาพทางเพศ เนื้อกับหนังเสือรักษาไข้ป่า แล้วยังมีกระดูกเสือ ฟันเสือ ไม่มีตรงไหนไม่ใช่ยา
สวีต้าจ้วงยิ้มพลางบอกว่า “ข้าย่อมรู้ ดังนั้นถึงบอกว่าจะช่วยขายให้ได้สักยี่สิบตำลึง เสือตัวก่อนหน้านี้ของข้าเพิ่งจะขายได้สิบตำลึงเท่านั้นเอง”
เฉียวเวยได้ยินว่าสิบตำลึงยี่สิบตำลึงรู้สึกว่าค่อนข้างน้อย แต่หลังจากรู้ราคาข้าวของที่นี่จากป้าหลัว นางจึงพบว่าหนึ่งตำลึงในยุคนี้เทียบเท่ากับหกร้อยหยวนของปัจจุบัน ยี่สิบตำลึงก็เท่ากับหนึ่งหมื่นสองพัน สมัยปัจจุบันเสือตัวหนึ่งขายได้แพงถึงสามแสนหยวน แต่ปัจจุบันมีเสือน้อย การล่าเสือต้องโทษจำคุก ในยุคโบราณเสือมีมาก อยากล่าเท่าไรก็ล่าได้เท่านั้น ย่อมเทียบกันไม่ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉียวเวยจึงรู้สึกว่าความจริงยี่สิบตำลึงก็ไม่นับว่าน้อยแล้ว
นางยิ้มบาง “พี่ต้าจ้วง ยี่สิบตำลึงก็ยี่สิบตำลึง หากท่านขายได้มากกว่านั้น ส่วนนั้นยกให้ท่าน”
ขายแต่ไม่ได้เงินกับขายแล้วได้เงิน ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่เหมือนกัน นางเองก็ไม่ละโมบ วันหน้านางยังอยากทำการค้าระยะยาวกับสวีต้าจ้วงอยู่ ให้สวีต้าจ้วงได้ลิ้มรสความหอมหวานของผลประโยชน์เสียก่อนจึงจะดี
สวีต้าจ้วงรับปากอย่างยินดี ก่อนจากไปสวีต้าจ้วงมองห้องโถงแวบหนึ่งก็วาดมือชี้แล้วบอกว่า “หากเจ้ายินดีขายเจ้าตัวนั้น ข้าน่าจะขายให้ได้ราคาสูงทีเดียว”
เจ้าตัว…นั้น?
เฉียวเวยมองตามทิศทางที่สวีต้าจ้วงชี้แล้วก็เห็นเจ้าก้อนน้อยสีขาวสมควรตายตัวนั้น! มันมาได้อย่างไร แล้วยังยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กสองคนอวดหน้าอกกับกล้ามแขนเล็กจิ๋วของตนอย่างหน้าไม่อายอีกด้วย
เด็กๆ หลงเสน่ห์มันเข้าเสียแล้ว เฉียววั่งซูถึงขั้นปรบมือร้องชม
มันยิ่งลำพอง หมุนรอบตัวอย่างสง่างามเพื่ออวดหางอันชวนรัญจวนและทรงเสน่ห์ของตนเอง
เฉียวเวยหน้าเขียว “ได้สักเท่าไร เอาไปขายเถอะ!”
เจ้าก้อนน้อยสีขาวได้ยินว่าตัวเองจะถูกเอาไปขาย กรงเล็บน้อยตะกุยครั้งเดียวก็กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียววั่งซูทันที
เฉียววั่งซูได้กอดเจ้าตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนพลันรู้สึกเหมือนหัวใจตนจะละลาย ใบหน้าถูไถกับขนนุ่มฟูของมัน แล้วเอ่ยเสียงอ่อน “ท่านแม่ มันน่ารักมาก ข้าเลี้ยงมันไว้ได้หรือไม่”
เฉียวเวยได้ยินเสียงตนเองกัดฟันกรอด…
——————
สวีต้าจ้วงไม่เสียทีเป็นนายพรานเพียงคนเดียวใน ‘แปดทิศสี่คาบสมุทร’ เขาทำงานได้เก่งยิ่งนัก วันรุ่งขึ้นขนเสือเข้าเมืองไปขาย ตกค่ำก็เข้ามาที่ลานบ้านของเฉียวเวยอย่างดีอกดีใจ “เสี่ยวเฉียว! เจ้ารีบออกมาดูเร็ว!”
เฉียวเวยกำลังทำอาหารเย็นอยู่ ตอนเที่ยงตุ๋นกระต่ายไปเพียงครึ่งตัว ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งเตรียมจะย่าง เพิ่งจะก่อกองไฟที่ลานบ้านก็เห็นสวีต้าจ้วงมา นางลุกขึ้นทักทาย “พี่ต้าจ้วง”
สวีต้าจ้วงล้วงถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “เจ้านับดู ทั้งหมดสามสิบตำลึง!”
“มากปานนั้นเชียว” เฉียวเวยเบิกตาจนกลมแล้วรับถุงเงินไป ความจริงนางนับเงินในยุคโบราณไม่เป็น แต่สวีต้าจ้วงคงไม่หลอกลวงนาง นางแสร้งทำท่าเขี่ยอยู่สองสามครั้งก็ส่งถุงเงินให้ “พี่ต้าจ้วง ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าต้องการเพียงยี่สิบตำลึง ส่วนที่เหลือให้ท่านเอาไว้เอง”
สวีต้าจ้วงเกาหัวพลางขยับยิ้ม “ข้าเอาไปแล้ว” พูดพลางก็ล้วงถุงเงินใบหนึ่งออกมา “ข้าไปพบชนชั้นสูงคนหนึ่งเข้า เขาให้ข้ามาสามสิบห้าตำลึง ข้าเอาไว้เองห้าตำลึง ส่วนที่เหลือเจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
เฉียวเวยตอบว่า “นี่จะได้อย่างไร ตกลงกันแล้วว่าข้าจะเอาแค่ยี่สิบตำลึง ท่านขายได้สามสิบห้าตำลึงเพราะความสามารถของท่าน หากเปลี่ยนเป็นข้าก็ไม่แน่ว่าจะได้” นี่เป็นความจริง หากสตรีคนหนึ่งเช่นนางไปเร่ขายเสือ คงได้แต่โดนหลอกเท่านั้น
สวีต้าจ้วงเป็นตายก็ไม่ยอมรับไว้ เดือนหนึ่งเขาหาเงินได้ไม่ถึงห้าตำลึง แค่ช่วยผู้อื่นไปทำธุระเที่ยวเดียวจะโลภมากเกินไปไม่ได้ เป็นมนุษย์ต้องรู้จักใจกว้าง
เฉียวเวยเห็นเขาท่าทางแน่วแน่จึงไม่ยัดเยียดอีก แต่เชิญสวีต้าจ้วงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันเป็นการขอบคุณ
ใครจะคิดว่าแค่อาหารเย็นมื้อเดียวนี่จะเกิดเรื่องขึ้นได้