หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 61 โลกกว้างทางแคบ
ตอนที่ 61 โลกกว้างทางแคบ
หากกล่าวถึงที่มาของการสอบเสินถง ต้องย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ก่อน ตอนนั้นฮ่องเต้ไท่จู่ยังเป็นเพียงหัวหน้าทหารกบฏที่ชูธงลุกขึ้นต่อสู้ ครั้งหนึ่งระหว่างการสู้รบ เขาโชคร้ายถูกกองทัพของราชวงศ์ก่อนโอบล้อม ขณะที่กำลังจะอดตาย บุตรชายของทาสเลี้ยงม้าก็ลุกขึ้นอาสาปลอมเป็นโอรสของฮ่องเต้ไท่จู่ ใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำล่อทหารออกไป
ฮ่องเต้ไท่จู่จึงหนีทั้งวันทั้งคืนไปถึงด่านอวี้เหมินสำเร็จ เมื่อรวบรวมกองทัพกลับมาช่วยผู้มีพระคุณตัวน้อย ผู้มีพระคุณตัวน้อยก็พลีชีพอย่างกล้าหาญแล้ว
ในปีนั้นผู้มีพระคุณตัวน้อยอายุเพียงสิบสองปี
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเขา ฮ่องเต้ไท่จู่จึงกำหนดให้มีการสอบเสินถงทุกสามปี โดยกำหนดให้อายุไม่เกินสิบสองปีตามอายุตอนที่เขาวายชีวา การสอบเคอจวี่เป็นการคัดเลือกผู้มี ‘ความรู้’ ส่วนการสอบเสินถง เป็นการคัดเลือกผู้มี ‘สติปัญญา’
“นับตั้งแต่มีการสอบเสินถงก็คัดเลือกผู้มีพรสวรรค์เข้ามาในราชสำนักได้มากมาย ตัวอย่างเช่น ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ยิ่นอ๋อง ท่านแม่ทัพตัวหลัว ล้วนเป็นผู้ครองอันดับหนึ่งในการสอบเสินถงของราชวงศ์ต้าเหลียงเรา” ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว พลางทำท่าทางเลื่อมใส
เฉียวเวยพึมพำ “ที่แท้ราชวงศ์นี้คือราชวงศ์ต้าเหลียง…”
“เจ้าว่าอะไรนะ เสี่ยวเฉียว” ซิ่วไฉเฒ่าได้ยินไม่ชัด
แววตาของเฉียวเวยวูบไหวแล้วคลี่ยิ้ม “ข้าว่า…เมื่อครู่ท่านเอ่ยถึงคนมากมาย ผู้ใดเก่งที่สุดหรือ”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบเครา “ในแง่พรสวรรค์ น่าจะเป็นใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี หนึ่งขวบรู้จักอักษรพันตัว สามขวบท่องบทกวีร้อยบท ห้าขวบเจนจบประวัติศาสตร์ เจ็ดขวบสอบได้อันดับแรก ตั้งแต่เล็กขยันใฝ่เรียนรู้ ความทรงจำเป็นเยี่ยม ชำนาญภาษาแต่ละแคว้น เป็นเสินถงอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าเหลียงเราอย่างแท้จริง”
“สวรรค์ เก่งกาจเพียงนั้นเชียว!” เฉียวเวยตกตะลึง
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวต่อ “ไม่เช่นนั้นจะได้เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อยหรือ แต่ข้าว่าจิ่งอวิ๋นก็ไม่ด้อยกว่า หลายวันก่อนข้าสอนภาษาสันสกฤตให้เขา เขาก็จดจำได้หมด ข้ามั่นใจในตัวจิ่งอวิ๋นมาก ไม่พูดถึงสิบอันดับแรก แต่ร้อยอันดับแรกเขาทำได้แน่นอน”
ดวงตาของเฉียวเวยเป็นประกาย “ร้อยอันดับแรก…ได้เงินรางวัลหรือไม่”
“ได้เฉพาะสิบอันดับแรกเท่านั้น”
เฉียวเวยหันไปมองจิ่งอวิ๋นแล้วพูดด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง “ไม่ใช่สิบอันดับแรก ก็น่าขายหน้าอยู่นะ”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าอย่างอึ้งๆ
ซิ่วไฉเฒ่า “…”
วันรุ่งขึ้นเฉียวเวยพาเด็กๆ ไปลงทะเบียนที่เมืองหลวง พร้อมกับอาเซิงน้องชายของชุ่ยอวิ๋น
แม้อาเซิงสอบเป็นซิ่วไฉไม่สำเร็จ แต่เขาก็เป็นบัณฑิตถงเซิงอายุสิบขวบเพียงคนเดียวในละแวกนี้ บ้านสกุลจ้าวยังคาดหวังในตัวเขาเช่นเดิม เขากดดันมาก ขณะอยู่ในรถม้าจึงนั่งตัวสั่นมาตลอดทาง
เฉียวเวยตบไหล่เขา “เพียงลงชื่อเท่านั้น อย่ากังวลนักเลย”
“ขอรับ” อาเซิงพยักหน้าพลางบีบมือของตนแน่น มิให้ตนเองดูประหม่ามากเกินไป
กลับกันจิ่งอวิ๋นดูสงบนิ่งกว่ามาก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ถึงเวลาหยอกล้อเสี่ยวไป๋ก็หยอกล้อ ไม่แสดงอาการผิดไปจากปกติแม้แต่น้อย
นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉียวเวยเดินทางเข้าเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการสอบเสินถงหรือเปล่า เมืองหลวงจึงดูคึกคักกว่าช่วงวันตรุษมาก ถนนมีรถม้าสัญจรขวักไขว่ ร้านค้าเรียงรายเป็นทิวแถว ผู้คนเดินตามกันไม่ขาดสาย เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนดังเอะอะ ได้ยินแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวา
วั่งซูเลิกม่านขึ้น “ว้าว เมืองหลวงใหญ่มาก! คนเยอะมาก!”
ครั้งล่าสุดที่เข้าเมืองหลวง พวกเขาทั้งคู่ต่างล้มป่วยจึงไม่สนใจชื่นชมผู้คนกับบ้านเมืองที่นี่นัก มาตอนนี้จึงกระโดดโลดเต้น เห็นสิ่งใดก็แปลกตาไปเสียหมด
เฉียวเวยถามมาแล้วว่าจุดลงทะเบียนใกล้ที่สุดอยู่ถนนฉางอัน ไม่ไกลจากโรงตีเหล็กของหลัวหย่งเนียน หากเสร็จเร็วอาจไปเยี่ยมหลัวหย่งเนียนได้
ถนนฉางอันแออัดจนรถม้าขับเข้าไปไม่ได้ วันนี้เฉินต้าเตาไม่อยู่ในเมือง สารถีจึงเป็นคนหน้าใหม่ของพรรคนามว่าเสี่ยวอู่
เฉียวเวยให้เสี่ยวอู่จอดรถม้าในตรอก แล้วนางพาเด็กๆ เดินไปเอง
จุดลงทะเบียนอยู่นอกร้านตำรา เวลานี้คนมาต่อแถวแน่นขนัด แต่มีทหารคอยคุมอยู่ ทุกสิ่งจึงดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เฉียวเวยเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียนเพื่อรับป้ายลำดับก่อน พอรับป้ายชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม เจ้าหน้าที่ก็หมดความอดทน “อะไรกัน ให้เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยลูบศีรษะเล็กๆ ของจิ่งอวิ๋น “เจ้าตัวเล็กก็สอบด้วย”
เจ้าหน้าที่มองคู่แฝดชายหญิงที่ยังสูงไม่ถึงโต๊ะ แล้วหัวเราะเยาะ “…เจ้าคิดว่าเล่นสนุกอยู่หรือไร”
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกะพริบตามองมารดาของพวกเขา
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีกฎกำหนดอายุขั้นต่ำไว้ด้วยหรือ”
“…”
ไม่มี
“แล้วมีกฎว่าเด็กผู้หญิงเข้าร่วมไม่ได้หรือ”
“…”
ก็ไม่มีเช่นกัน
แต่…มันไม่สมเหตุสมผล มีผู้ใดบ้างให้เด็กผู้หญิงมาทำเรื่องเช่นนี้ แล้วเด็กสองคนนี้ก็ดูเหมือนอายุเพียงห้าขวบมิใช่หรือ แล้วยังมาจากชนบทอีก หากมาจากครอบครัวมีชื่อเสียงก็ไม่เป็นไร บางทีพวกเขาอาจรู้จักคำมากสักหน่อย แต่เด็กน้อยบ้านนอก…
ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว ถึงอย่างไรก็เก็บค่าลงทะเบียนอยู่ดี!
“ค่าลงทะเบียนคนละหนึ่งตำลึง” เจ้าหน้าที่โยนป้ายให้เฉียวเวย
เฉียวเวยหยิบเงินสามตำลึงออกมาอย่างปวดใจแล้วส่งให้เจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ชี้แถวยาวทางด้านขวา “ไปแถวนั้น รอจัดสนามสอบ”
เฉียวเวยกวาดสายตามอง ดูแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยคน เกรงว่าพวกเขาอาจต้องเข้าแถวรอจนถึงบ่าย “พวกเจ้าหิวหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นกับอาเซิงอดทนไม่พูด ส่วนวั่งซูกับเสี่ยวไป๋พยักหน้าพร้อมกัน!
เฉียวเวยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยมาต่อแถว” วันนี้ได้ป้ายลำดับมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องได้จัดสนามสอบ
เฉียวเวยพาเด็กๆ ไปหาเสี่ยวอู่ เพิ่งเดินมาถึงถนนก็เห็นฝูงชนรอบด้านแหวกออกประหนึ่งน้ำหลาก!
เสียงกีบเท้ากุบกับดังใกล้เข้ามา บุรุษบนหลังม้าสะบัดแส้ในมือไล่คนบนถนนให้หลบออกสองฝั่ง
เฉียวเวยกำลังสงสัยว่าเกิดอันใดขึ้นก็เห็นทหารแถวหนึ่งถือป้ายคำว่า ‘หลบ’ เดินขบวนมาอย่างยิ่งใหญ่
ด้านหลังกองทหารคือรถม้าสีแดงเข้มเทียมอาชาสี่ตัว หลังคาชุบทอง ม่านลูกปัดหยก เมื่อแสงตะวันส่องกระทบเป็นประกายระยิบระยับ ดูหรูหรายิ่งนัก
“นั่นขบวนของยิ่นอ๋อง!”
ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นมาจากในฝูงชน ทุกคนเริ่มส่งเสียงฮือฮา แย่งกันหันไปมองรถม้า ระหว่างที่เบียดเสียดกันอยู่ เด็กชายอายุเจ็ดหรือแปดขวบคนหนึ่งก็ถูกดันหลุดจากกลุ่มคน ล้มลงไปบนถนน!
จังหวะที่อาชาของบุรุษผู้เปิดทางกำลังจะเหยียบลงบนตัวเด็กน้อย เฉียวเวยก็ส่งลูกทั้งสองคนให้อาเซิง แล้วถลาเข้าไปกอดเด็กชายกลิ้งตัวหลบไปอีกฝั่งของถนน!
กีบเท้าม้าเหยียบถูกความว่างเปล่า บุรุษบนหลังม้าไม่แม้แต่จะหันมามองทั้งสองคนสักหน แต่จากไปอย่างรวดเร็ว!
เหตุใดถึงมีคนเช่นนี้อยู่บนโลกได้ เกือบเหยียบเด็กคนหนึ่งตายยังไม่ลงจากม้ามาดูดำดูดี
เลี้ยงบ่าวนิสัยเช่นนี้ไว้ ดูท่าเจ้านายก็คงไม่ใช่ตัวดีอันใด!
ขบวนเดินผ่านไปอย่างยิ่งใหญ่ ขณะที่รถม้าแล่นผ่านตัวเฉียวเวย ทันใดนั้นทองก้อนหนึ่งก็ถูกโยนออกมาจากม่านรถ ร่วงลงมาแทบเท้าของนาง
ดวงตาของเฉียวเวยฉายแววเย็นชา เตะครั้งเดียวส่งทองคำกลับเข้าไปในรถม้า! เพล้ง! ในรถม้าเกิดเสียงดังเหมือนบางอย่างแตก
องครักษ์ที่ติดตามขบวนชักกระบี่ออกมาทันที!
ขันทีหลิวในรถม้ายกม่านขึ้นดู เขาเพิ่งมารับใช้ท่านอ๋องเมื่อสามปีก่อน เขาไม่เคยเห็นสตรีนางนั้นมาก่อน แต่จำหน้าเด็กคนนั้นได้ “ท่านอ๋อง เด็กคนนั้นเป็นคุณชายน้อยของจวนเอินปั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
ยิ่นอ๋องยกมือส่งสัญญาณอย่างเฉยชา
ขันทีหลิวหันไปสั่งองครักษ์ “ไม่ต้องสนใจ!”
องครักษ์เก็บกระบี่ทันที
เฉียวเวยกวาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แล้วหันมาปัดฝุ่นบนตัวเด็กคนนั้น “เจ้าหนู เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
แววตาของยิ่นอ๋องชะงัก เสียงนี้มัน…