หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 69 อารมณ์เสีย
ตอนที่ 69 อารมณ์เสีย
“อะไรนะ ห้าตำลึง?” เฉียวอวี้ซีแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน แค่ไข่เองไม่ใช่หรือ ไฉนจึงมีราคาแพงกว่าโสมเสียอีก
ซิ่งจู๋ก็กลุ้มใจมากเช่นกัน คุณหนูให้เงินนางห้าตำลึง นางก็ไปซื้อไข่เยี่ยวม้าด้วยความดีใจ เดิมทีคิดว่านางสามารถซื้อได้หนึ่งตะกร้าใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่า…ซื้อได้ฟองเดียวเท่านั้น
ครั้นมองไปยังไข่เยี่ยวม้าที่มีอยู่ฟองเดียวโดดเดี่ยวบนโต๊ะ เฉียวอวี้ซีก็กัดริมฝีปากแน่น “เจ้าถูกคนโกงแล้วกระมัง”
โกงหรือ
“แม่นาง เจ้ายังไม่ทราบ ไข่เยี่ยวม้านี้เรียกอีกอย่างว่าไข่เทพ ไม่ใช่ไข่เป็ดธรรมดา แต่เป็นเป็ดเทพที่เลี้ยงโดยนักบวชเต๋าชราที่อาศัยอยู่ในป่าเขา ที่นั่นมีทะเลสาบเซียน เป็ดเทพที่นั่นเติบโตด้วยการกินปลาในทะเลสาบเซียน ไข่ที่ออกมาจะมีสีเขียวมรกต ไม่เพียงแต่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังมีสรรพคุณในการช่วยให้ปอดชุ่มชื้น บำรุงหยินช่วยหยุดเลือด มีฤทธิ์เย็นต่อลำไส้ หยุดท้องเสีย ช่วยเจริญอาหาร ท่านแม่ที่บ้านของข้าแก่ชรามากแล้ว มีปัญหาเกี่ยวกับท้องมานานหลายปี หลังจากกินไข่เทพก็อาการดีขึ้น! ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็เอาไปลองก่อนสักสองฟอง ถ้าไม่ได้ผลเจ้าก็กลับมาหาข้า! ข้าจะคืนเงินให้เจ้า”
ซิ่งจู๋ถ่ายทอดคำพูดของเถ้าแก่หรงให้คุณหนูของตนทราบ
หลังจากที่เฉียวอวี้ซีฟังจบ แม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดเกินจริง แต่หลังจากที่จีเหล่าฮูหยินได้ทานโจ๊กไข่เยี่ยวม้าก็เจริญอาหารจริง ดูจากเรื่องนี้ มันคงมีสรรพคุณทางยาจริง ส่วนจะมีสรรพคุณครอบจักรวาลอย่างที่เถ้าแก่กล่าวหรือไม่ก็ต้องรอการพิสูจน์เสียก่อน เพราะถึงอย่างไรสกุลเฉียวก็เปิดร้านยา ตอนแนะนำตัวยาล้ำค่าก็อธิบายสรรพคุณเกินจริงเช่นเดียวกัน ของที่ซื้อด้วยราคาหนึ่งตำลึงแล้วขายไปด้วยราคาสิบตำลึงก็ใช่ว่าจะไม่มี
“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นไข่ธรรมชาติ ไม่ผ่านการหมักดอง” นางถาม
ซิ่งจู๋ตอบว่า “เถ้าแก่โรงน้ำชาหรงจี้บอกบ่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
เฉียวอวี้ซียิ่งสับสนมากขึ้น เป็ดชนิดใดสามารถวางไข่เช่นนี้ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าโลกนี้มีเป็ดเทพจริงๆ
“คุณหนูเจ้าคะ เรายังจะซื้อหรือไม่เจ้าคะ” ซิ่งจู๋ถามอย่างระมัดระวัง
ฟองละห้าตำลึง สิบฟองก็ห้าสิบตำลึง เดือนหนึ่ง…อาจต้องเสียเงินถึงสิบห้าตำลึงทอง ลองคำนวณเพียงวันละหนึ่งฟองยังขนาดนี้ แต่สถานการณ์จริงอาจไม่ใช่เช่นนี้ก็เป็นได้ ผู้ใดจะทำโจ๊กใส่ไข่แค่หนึ่งฟองในหนึ่งหม้อ เหล่าฮูหยินกินชามเดียวไม่ได้หมายความว่าแม่ครัวจะทำอาหารไว้เพียงชามเดียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่เกินสองเดือน เงินทองในคลังน้อยๆ ของนางคงต้องว่างเปล่า
…
ตั้งแต่ออกมาจากโรงน้ำชาหรงจี้ เฉียวเวยก็อารมณ์ดีมาก ไม่ใช่เพราะเงินห้าตำลึงเท่านั้น แต่ยังเพราะ…
หึๆ หึๆ
ตอนนี้นางพอมีเงินเหลืออยู่ในมือแล้ว จึงปรึกษากับเถ้าแก่หรงว่ากำไรจากการขายขนมและไข่เยี่ยวม้าจะคำนวณเป็นรายเดือน เพราะทุกครั้งที่ส่งสินค้าล้วนได้เงินค่าสินค้าเป็นเบื้องต้นอยู่ก่อนแล้ว เงินเหล่านั้นเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ของนาง
“ท่านแม่ พวกเราจะกลับบ้านกันแล้วหรือเจ้าคะ” วั่งซูถามพร้อมลูบพุงป่องๆ นางกินปาท่องโก๋เยอะจนเดินแทบไม่ไหว
เฉียวเวยอุ้มนางขึ้นนั่งบนรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อ ส่วนจิ่งอวิ๋นปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง นางยิ้มอย่างรู้ทัน “ซื้อของเล็กน้อยก่อนค่อยกลับ ต่อไปก็ทานให้น้อยลงหน่อยจะได้ไม่แน่นท้อง เข้าใจหรือไม่”
วั่งซูตอบรับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ถามอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ พวกเราจะไปซื้อสิ่งใดเจ้าคะ”
เฉียวเวยจับแก้มแดงๆ ของลูกสาว “ถึงแล้วก็รู้เอง”
เฉียวเวยให้ตาเฒ่าซวนจื่อจอดรถรอตรงประตูร้านผ้าที่เคยไป เถ้าแก่เนี้ยจำนางกับคู่แฝดแสนน่ารักได้ จึงเดินเข้ามาทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยิน วันนี้จะซื้อผ้าที่ยังไม่ตัดหรือจะซื้อชุดที่ตัดเสร็จแล้วดี”
“ตัวที่ตัดเสร็จแล้ว” ทักษะด้านการเย็บปักของนางมีขีดจำกัด ทำเสื้อกันหนาวให้เสี่ยวไป๋สองชุดก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว ขืนทำให้ลูกจริงๆ เกรงว่าคงทำเสร็จฤดูร้อนเลยกระมัง
เถ้าแก่เนี้ยรู้ว่านางหมายถึงเสื้อผ้าเด็กจึงรีบพานางเข้าไปด้านใน ชี้เสื้อคลุมตัวยาวสีขาวตัวน้อยตัวหนึ่งบนโต๊ะ แล้วยิ้มแย้มกล่าวว่า “แบบใหม่ล่าสุดของปีนี้ ข้าเพิ่งทำเสร็จครึ่งเดียว เจ้าดูว่าชอบแบบนี้หรือไม่”
มันเป็นเสื้อคลุมไหมตัวยาวคอเสื้อเฉียง แขนเสื้อกว้าง ชายเสื้อปล่อยลงมาเป็นทรงตรง มีสายคาดเอวสีอ่อนผูกรอบเอว เป็นชุดที่ดูดีมีคุณภาพมากทีเดียว
เฉียวเวยค่อนข้างพอใจจึงถามราคา
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวว่า “ตัวนี้ทำมาจากผ้าไหมฝู่โฉว[1]จากอำเภอเผิงไหล ราคาที่ซื้อหามาสูงนัก วิธีการทอก็ซับซ้อน เห็นเจ้าเป็นลูกค้าประจำ ข้าจะคิดราคาชุดละหนึ่งตำลึงก็แล้วกัน!”
เสื้อผ้าเด็กหนึ่งชุดราคาหนึ่งตำลึง หัวใจของเฉียวเวยกระตุกด้วยความเจ็บปวด แต่เฉียวเวยก็เข้าใจดีว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้โก่งราคาให้สูงเทียมฟ้า ผ้าไหมฝู่โฉวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าผ้าไหมฝ้าย แรกเริ่มเดิมทีเป็นสิ่งทอที่ชนชั้นสูงกับขุนนางใช้กัน เพราะผิวสัมผัสคล้ายกับผ้าไหม จึงมีชื่อเรียกว่าผ้าไหมฝู่โฉว ราคาของมันสูงกว่าผ้าฝ้ายทั่วไปอยู่บ้าง เมื่อรวมกับค่าฝีมือแล้วก็เป็นราคาประมาณนี้
“มีเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงหรือไม่” เฉียวเวยถาม
เถ้าแก่เนี้ยรีบพูดว่า “ตัดให้ได้”
ดวงตาของวั่งซูเป็นประกายทันที
เฉียวเวยไม่ได้ละเลยความปรารถนาในแววตาของเด็กทั้งสอง จึงพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า “ข้าเอาสี่ชุด เจ้าลดราคาให้หน่อยสิ”
เถ้าแก่เนี้ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าเช่นนั้นข้าจะแถมรองเท้าให้เจ้าสองคู่ดีหรือไม่”
เฉียวเวยลังเล
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเสริมว่า “อันที่จริงซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ลูกสักชุดก็พอ ปกติอยู่บ้านไม่ต้องแต่งกายประณีตถึงเพียงนั้น ใส่ไปพบญาติๆ ก็ใช้ได้แล้ว เจ้ามาดูชุดตรงนี้ดีกว่าหรือไม่ ชุดละสามร้อยอีแปะ”
ของราคาถูก คุณภาพก็ด้อยตามราคา ชุดละสามร้อยอีแปะเป็นแบบธรรมดาพื้นๆ
เฉียวเวยต้องการซื้อให้เด็กๆ ใส่ไปเข้าร่วมการสอบเสินถง ครั้งที่แล้วยามไปกินข้าวในร้านอาหาร สายตาแปลกๆ เหล่านั้นทำให้นางอึดอัด แม้แต่นางเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมามากมายแล้วยังรู้สึกเช่นนั้น พวกเด็กๆ ต้องรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งกว่าแน่
การที่ทั้งสองไม่พูด ไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้
หลายปีมานี้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองผ่านความลำบากมามาก เคยชินกับการไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เคยชินกับการถูกคนอื่นเหยียดหยาม เคยชินกับความน้อยเนื้อต่ำใจ เคยชินกับการไม่ทำให้ ‘นาง’ ต้องเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย
ยามคนอื่นชมเชยว่าลูกของนางเป็นเด็กรู้ความ แท้จริงแล้วนางรู้สึกเศร้าใจมาก เด็กตัวเล็กเท่านี้ ไม่ควรรู้ความปานนั้น!
บางครั้งนางอยากให้พวกเขาทำตัวเหมือนเถี่ยหนิว ร้องไห้งอแงอยากให้ผู้ใหญ่ซื้อของให้ ดีกว่าต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความต้องการและความปรารถนา
ในท้ายที่สุดเฉียวเวยก็สั่งซื้อชุดผ้าไหมฝู่โฉวราคาแพงสี่ชุด และนางยังสั่งกระโปรงยาวสองตัวให้ตัวเอง เงินใช้ไปมากเท่าใดก็หากลับมาใหม่ได้ แต่มีบางสิ่ง มีเงินมากเท่าใดก็ซื้อไม่ได้
…
ช่วงเวลาหลายวันหลังจากนั้นเฉียวเวยส่งสินค้าให้โรงน้ำชาหรงจี้สามชุด ได้เงินค่าของมาห้าตำลึง ในที่สุดถุงเงินแบนๆ ก็เริ่มนูนขึ้นมาบ้าง
เนื่องจากมีการสอบเสินถงในวันที่ยี่สิบเจ็ด เฉียวเวยจึงหยุดทำงานตั้งแต่วันที่ยี่สิบหก ตั้งใจเตรียมตัวเก็บของเดินทางเข้าเมืองหลวงโดยเฉพาะ
ฝั่งเฉียวอวี้ซีนับตั้งแต่รู้ราคาอันสูงลิ่วของไข่เยี่ยวม้าก็ไม่เคยส่งใครไปเหยียบโรงน้ำชาหรงจี้พักใหญ่ นางไม่เชื่อว่าไม่มีใครรู้จักไข่ชนิดนี้ หอหลิงจือเป็นร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตั้งแต่เหนือจรดใต้มีร้านยามากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
นางส่งคนไปสอบถามทีละแห่ง
แต่สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังมากที่สุดก็คือ ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินเกี่ยวกับไข่ชนิดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำมันขึ้นมาเอง
นางจะเชื่อว่ามันเป็นของที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือมีเพียงหรงจี้เท่านั้นที่มีขาย หากนางอยากซื้อก็ต้องจ่ายราคานี้
หากใต้เท้าหมิงซิวชอบนาง นางคิดว่านางคงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงขบคิดอันใดให้ยุ่งยาก แต่ใต้เท้ากลับเฉยชากับนาง แล้วตระกูลจีก็ยังมีคนคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้ มีเพียงจีเหล่าฮูหยินคนเดียวที่สนับสนุน นางจำเป็นต้องหาทางมัดใจอีกฝ่ายให้อยู่หมัด
เมื่อเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีแล้วค่อยทวงคืนเงินที่จ่ายไปในวันนี้และจะต้องเอาคืนหลายเท่าทวีคูณ ยามนี้นับว่าเป็นการทำเพื่อปูทางให้ตนเอง
ทองคำที่นางวางแผนจะใช้ติดสินบนสหายของสือชีครั้งล่าสุดคือสิบตำลึง นั่นคือสมบัติสี่ในสิบส่วนจากคลังส่วนตัวของนาง นางให้ซิ่งจู๋นำสมบัติทั้งหมดของนางไปยังหรงจี้เพื่อซื้อไข่เยี่ยวม้า เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นางจึงส่งองครักษ์ฝีมือแข็งแกร่งอีกหลายคนมาคอยคุ้มกันด้วย
ซิ่งจู๋ทำภารกิจสำเร็จ นางนำไข่เยี่ยวม้าหนึ่งโถกลับมายังจวนอย่างปลอดภัย
“คุณหนู!” ซิ่งจู๋ตื่นเต้นมาก
เฉียวอวี้ซีขมวดคิ้ว “ช้าๆ หน่อย นี่เป็นสมบัติทั้งหมดของข้า”
ทองคำหนึ่งหีบซื้อไข่ได้หนึ่งโถ คิดแล้วก็รู้สึกว่ามันเหลวไหลมาก!
แต่นางจะทำเช่นไรได้เล่า
ซิ่งจู๋ถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู วางไว้ที่ใดดีเจ้าคะ”
เฉียวอวี้ซีมองไปรอบๆ แล้วชี้ตรงโต๊ะ พลางกำชับว่า “วางมันลงบนโต๊ะ วางให้ดีๆ บ่ายวันนี้ข้าจะนำไปมอบให้เหล่าฮูหยิน”
“อ้าก! พี่ใหญ่ ช่วยด้วย พี่รองกำลังจะฆ่าข้า!”
เฉียวอวี้ฉีผู้กำลังเล่นกับพี่รองถีบประตูเข้ามาอย่างแรง แล้วโผเข้าไปหาเฉียวอวี้ซีอย่างไม่แม้แต่จะคิด!
เฉียวอวี้ซีคิดจะหลบก็สายเสียแล้ว นางเป็นเพียงคุณหนูบอบบาง ไหนเลยจะรับตัวเด็กซนคนหนึ่งที่ถลาเข้ามาสุดแรงไหว
ร่างกายนางเสียหลักไปชนโต๊ะด้านหลังพร้อมกันกับน้องชาย
ได้ยินเสียงเพล้งดังสนั่น โถตกกระแทกพื้น แตกกระจัดกระจาย…
[1]ผ้าไหมฝู่โฉว หนึ่งในศิลปหัตถกรรมโบราณของมณฑลซานตง มีต้นกำเนิดมาจากอำเภอลี่เฉิง เผิงไหลของมณฑลซานตง สัมผัสของเนื้อผ้าและรูปลักษณ์คล้ายผ้าไหม ดังนั้นจึงเรียกว่าผ้าไหม วัสดุที่ใช้ทำได้แก่ฝ้าย เส้นใยผสมหรือขนสัตว์เป็นต้น