หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 7 บทเรียนบทแรก
ตอนที่ 7 บทเรียนบทแรก
นับตั้งแต่เฉียวเวยได้เงินมาก็เริ่มมีกิจวัตรเป็นการนับเงินอยู่ในบ้านทุกวัน ตอนนี้นางรู้ว่านับอย่างไรแล้ว ที่แท้เงินในยุคนี้ล้วนมีรูปแบบเป็นมาตรฐานแล้ว มีตั้งแต่หนึ่งตำลึงไล่ไปจนถึงสิบตำลึง เงินที่เป็นเศษชิ้นเล็กๆ โดยทั่วไปในตลาดไม่ใช้กัน ก่อนหน้านี้ตอนอ่านนิยายพวกนางเอกเดี๋ยวๆ ก็ล้วงก้อนเงินยี่สิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อ เมื่อได้มาสัมผัสกับตนเองจึงเพิ่งรู้ว่าอย่าพูดถึงยี่สิบตำลึงเลย แค่ควักสิบตำลึงออกมาก็ประหลาดแล้ว
หนึ่งตำลึงในปัจจุบันหนัก 50 กรัม หนึ่งตำลึงในยุคนี้หนักแค่ราว 37 กรัม เงินสิบตำลึงก็เท่ากับ 370กรัม หนักเกือบจะหนึ่งชั่งแล้ว ซึ่งความจริงก็หนักอยู่พอสมควร หากหนักยี่สิบตำลึงคงเอาไปใช้เป็นก้อนอิฐได้ นางจินตนาการภาพสตรีนางหนึ่งควักก้อนอิฐก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อไม่ออกจริงๆ…
ด้วยเหตุนี้การที่รัชสมัยนี้กำหนดให้ไม่มีเงินก้อนหนักเกินสิบตำลึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง แน่นอนว่านี่หมายถึงของที่ใช้ในตลาด แต่ของที่ทางการใช้ย่อมต่างออกไป ได้ยินสวีต้าจ้วงเล่าว่าก้อนเงินที่ใหญ่ที่สุดหนักได้ถึงห้าสิบตำลึง
เงินห้าสิบตำลึง…
เพียงคิด เฉียวเวยก็สูดน้ำลาย
เมื่อนับเงินเสร็จ เฉียวเวยก็เปิด ‘สมุดบัญชี’ อย่างพออกพอใจ พู่กันกับหมึกในยุคโบราณเป็นของแพง ในบ้านของเจ้าของร่างจึงไม่มี นางผ่าไม้แผ่นหนึ่งมาใช้แทนกระดาษแล้วเหลาถ่านก้อนหนึ่งใช้แทนพู่กัน จดรายการของที่นางต้องซื้อเอาไว้บนแผ่นไม้ อาหาร เสื้อผ้าหน้าหนาว ผ้าห่มบุนวม เตียง มีด ธนูกับลูกธนู ยาเกล็ดหิมะ[1] ผ้ารองระดู…ดีที่สุดซื้อดินอัดมาเพิ่มสักหน่อยจะได้ซ่อมแซมบ้านอีกนิด เมื่อคืนวานตอนนอนนางเอาแต่จ้องช่องบนกำแพง ในใจหวาดผวากลัวว่าหากลมพัดฝนเทลงมาสักรอบกำแพงจะถล่มลงมา
เมื่อพูดถึงสายลมสายฝน หลังคาบ้านก็น่าจะซ่อมแซมได้แล้ว หลายวันนี้หิมะละลายมีน้ำหยดลงมาตลอด
เมื่อคำนวณเช่นนี้ เงินทุนก็เริ่มไม่พอแล้ว
เฉียวเวยสูดอากาศเย็นเข้าปอด ประหยัด ประหยัด ประหยัด ใช้เงินประหยัดหน่อย! ดูซิว่ามีรายการไหนไม่ต้องรีบ ตัดทิ้งไปก่อน
เฉียวเวยหยิบดินสอถ่านขึ้นมา ทบทวนรายการดูสามสี่รอบ สุดท้ายก็กัดฟันขีดฆ่ายาเกล็ดหิมะออก
หลังจากตัดสินใจเรื่องรายการซื้อของเรียบร้อยแล้ว เฉียวเวยจึงตัดสินใจออกเดินทางเข้าเมืองทันที เพิ่งจะสอดเงินเข้าไปในอกเสื้อ เอ้อร์โก่วจื่อที่อยู่ต้นหมู่บ้านก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา “แม่ของจิ่งอวิ๋น ท่านรีบไปดูเร็วเข้า จิ่งอวิ๋นทะเลาะกับคนอื่นแล้ว!”
เอ้อร์โก่วจื่อปีนี้อายุสิบปี เขาเป็นเด็กไม่กี่คนในหมู่บ้านที่เล่นกับบุตรชาย ก่อนหน้านี้หากมีเด็กน้อยคนใดคิดจะรังแกบุตรชาย เอ้อร์โก่วจื่อก็จะเข้าไปขวาง ตอนนี้เอ้อร์โก่วจื่อวิ่งขึ้นเขามาหาด้วยตนเอง ดูท่าคนที่ทะเลาะกับบุตรชาย เอ้อร์โก่วจื่อคงเอาไม่อยู่ คนที่เอ้อร์โก่วจื่อเอาไม่อยู่ บุตรชายอายุสี่ขวบคนนั้นของนางจะไหวได้อย่างไร
เฉียวเวยรีบลงเขา เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านก็เห็นที่ว่างหน้าบ้านของเอ้อร์โก่วจื่อมีสตรีสวมเสื้อสีม่วงลายเครือบุปผาคนหนึ่งกำลังโหวกเหวกโวยวายถือไม้กระบองท่อนหนึ่งไล่ตีเฉียวจิ่งอวิ๋นอยู่ เฉียวเวยเพลิงโทสะลุกท่วมในพริบตา!
บัดซบ นี่เรียกว่าทะเลาะหรือ มีผู้ใหญ่ที่อายุขนาดนี้คนไหนไล่ตีเด็กน้อยอายุสี่ขวบบ้าง! มียางอายหรือไม่! มีหรือไม่!
เฉียวเวยเพลิงโทสะลุกโชติช่วง นางวิ่งเข้าใส่ผู้หญิงคนนั้นอย่างเย็นชา นางจำได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางก็คือน้าหลิวที่ครั้งก่อนใส่ร้ายว่าบุตรชายของนางขโมยไก่ ครั้งก่อนเห็นแก่หน้าป้าหลัว นางจึงยอมปล่อยน้าหลิวไปโดยดี เดิมคิดว่าน้าหลิวคงรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรแล้ว คงไม่มาสร้างปัญหาให้ครอบครัวนางอีก ใครจะคิดว่านางจะ ‘เก่ง’ ปานนี้!
ดี ดีมาก อาศัยจังหวะที่นางไม่อยู่ กล้าลงมือโหดเหี้ยมกับบุตรชายของนาง ไม่สั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง นางก็ไม่ใช่คนแซ่เฉียวแล้ว!
ตอนที่ไม้กระบองในมือน้าหลิวกำลังจะตีถูกร่างเฉียวจิ่งอวิ๋นนั่นเอง เฉียวเวยก็คว้าข้อมือของน้าหลิวเอาไว้
นางไม่ตบหน้าผู้หญิง ไม่เคยคิดจะทำ
แต่บนโลกนี้มีวิธีที่ได้ผลยิ่งกว่าการตบหน้า
ดวงตาเย็นชาของเฉียวเวยหรี่ลง ขยับไหล่กระแทกครั้งเดียวน้าหลิวก็ล้มลงไปกองกับพื้น
น้าหลิวไม่เข้าใจสักนิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจู่ๆ ก็ล้มอย่างจังจนสองตาเห็นดาว
เจ้าซาลาเปาน้อยเห็นมารดามาแล้วก็วิ่งมาหานางกันทั้งคู่ นางกอดลูกๆ เข้ามาในอ้อมแขน พลางลูบหัวพวกเขา “เจ็บหรือไม่ มีตรงไหนเจ็บบ้างหรือเปล่า นางตีถูกตรงไหนของพวกเจ้าบ้าง”
เฉียวจิ่งอวิ๋นไม่ตอบ
เฉียววั่งซูกอดเจ้าก้อนน้อยสีขาวไว้แล้วบอกว่า “นางตีท่านพี่”
เฉียวเวยรีบคลายอ้อมแขนแล้วประคองหน้าของบุตรชาย “ตีตรงไหนของเจ้าบ้าง”
ใบหน้าน้อยของเฉียวจิ่งอวิ๋นแดงระเรื่อ “ไม่ได้ตีถูกตรงไหน ไม่เจ็บขอรับ”
“โกหก เจ็บมากแท้ๆ ข้าเห็นนางถีบก้นท่านพี่” เฉียววั่งซูเอ่ยอย่างเจ็บใจ
บัดซบ! ถีบก้นลูกชายนางด้วยหรือ!
เฉียวเวยเดินเข้าไปหา น้าหลิวเพิ่งลุกขึ้นจากพื้น หัวยังมึนงง พอเห็นเฉียวเวยเดินเข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย นางก็กลัวจนตัวสั่น “คนแซ่เฉียว! เจ้าจะทำอะไร”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าทำอะไร คำนี้ข้าสมควรถามเจ้าถึงจะถูก อายุปูนนี้แล้วยังรังแกเด็กสี่ขวบคนหนึ่ง เจ้ามียางอายหรือไม่”
“ข้าหรือไม่มียางอาย เหอะ!” น้าหลิวที่เดิมตกเป็นรองเมื่อได้ยินคำนี้ก็ยืดตัวกลับขึ้นมาในทันใด “ทำไมเจ้าไม่ลองถามลูกชายสุดที่รักของเจ้าดูเล่าว่าเขาทำอะไรลูกชายข้า เถี่ยหนิว! มานี่!”
เถี่ยหนิวผู้อายุเจ็ดขวบร้องไห้ขี้มูกโป่งเดินเข้ามา ขอบตาแดงก่ำ เห็นชัดว่าร้องไห้มา น้าหลิวถกคอเสื้อเขาให้ดู “เห็นหรือไม่ นี่ฝีมือลูกชายเจ้าทั้งนั้น! ลูกชายเจ้าปล่อยสุนัขมากัดเถี่ยหนิวจนเป็นเช่นนี้ ข้าสั่งสอนสักหน่อยจะทำไม”
เฉียวเวยเหลือบมองรอยกรงเล็บโหดเหี้ยมสามรอยนั่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครทำ เจ้าตัวนั้นไม่มีความเกี่ยวพันกับสุนัขสักหน่อย เฉียวเวยถลึงตาใส่เจ้าก้อนน้อยสีขาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเฉียววั่งซู เจ้าก้อนสีขาวเกาะคอของเฉียววั่งซูอย่างขลาดกลัว
เฉียวเวยหรี่ตาลงแล้วถามบุตรชายว่า “จิ่งอวิ๋น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าปล่อยมันไปกัดเถี่ยหนิวหรือ”
เฉียวจิ่งอวิ๋นก้มหน้า
เฉียววั่งซูร้อนใจจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ เถี่ยหนิวรังแกท่านพี่ เรียกคนตั้งหลายคนมาตีท่านพี่ เสี่ยวไป๋เลยไปช่วยท่านพี่”
สายตาเย็นยะเยือกของเฉียวเวยจ้องบนร่างของเถี่ยหนิว “เถี่ยหนิว เป็นเช่นนั้นหรือไม่”
เถี่ยหนิวถูกสายตาเย็นยะเยือกนั่นมองจนสั่นไปทั้งตัว เขาซุกหัวเข้าไปในอ้อมแขนของน้าหลิว น้าหลิวเปิดปากด่าเสียงดัง “เจ้ามาดุลูกชายข้าทำอะไร ลูกชายเจ้าทำคนอื่นเจ็บ เจ้ายังเถียงอีกหรือ เป็นแค่หญิงชั่วจากต่างถิ่น หากพวกเราไม่จิตใจดีรับเจ้าไว้ ก็ไม่รู้เจ้าจะไปตายที่ไหนแล้ว! เจ้าไม่ตอบแทนบุญคุณ กลับมาทำร้ายกัน! ไม่ใช่ตัวดีจริงๆ!”
เฉียวเวยตวาดกลับ “ข้าไม่ใช่ตัวดี แล้วเจ้าดีนักหรือ เด็กๆ ทะเลาะกันแล้วเจ้าเข้ามายุ่งอะไรด้วย เด็กเจ็ดขวบสู้เด็กสี่ขวบไม่ได้ก็เรียกพวกมารุม หน้าไม่อายจริงๆ”
น้าหลิวถูกต่อว่าจนพูดไม่ออกจึงหันมาหยิกบุตรชาย “เจ้าตัวไร้ประโยชน์!”
เถี่ยหนิวเจ็บที่ถูกหยิกจึงร้องไห้โฮ “เขาลงมือก่อนนะ! เขาลงมือก่อน! เขาปรี่มาถึงก็กัดข้าไม่ปล่อย! ข้าเจ็บเหมือนจะตายเลยต้องเรียกคนมาตีเขา!”
เฉียวเวยหันไปถามบุตรชาย “ลูกลงมือก่อนหรือ”
เฉียวจิ่งอวิ๋นกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “ทำไมถึงลงมือเล่า แม่เชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนชอบวิวาท เจ้าบอกเหตุผลที่ลงมือกับแม่”
เฉียวจิ่งอวิ๋นกำหมัดแน่นแต่ไม่พูดสักคำ
[1] ยาเกล็ดหิมะ ยาที่มีลักษณะเป็นครีมข้นช่วยปกป้องผิวจากความแห้งของอากาศ ช่วยไม่ให้ผิวแตก