หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 70 คุณพระช่วย
ตอนที่ 70 คุณพระช่วย
เมื่อมองไปยังซากความพินาศย่อยยับและได้กลิ่นคาวจางๆ ที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เฉียวอวี้ซีโกรธมากจนแทบลมจับ นี่เป็นสมบัติทั้งหมดของนาง นางกลัวเกิดเรื่องผิดพลาดจนต้องส่งองครักษ์ไปคุ้มกัน ระหว่างทางไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่เมื่อถึงจวนกลับถูกน้องชายของตัวเองทำลาย!
“เฉียวอวี้ฉี!”
เฉียวอวี้ฉีได้ยินเสียงตะโกน หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ เขาขยับตัวตั้งหลักแล้วเดินถอยหลังไปที่ประตู ขณะที่คุณชายรองเฉียวที่วิ่งตามมาด้านนอกเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงถอยทัพเผ่นกลับเรือนสาม!
เฉียวอวี้ซีมองน้องชายของตนเองอย่างเย็นชา ท่าทางเหมือนอยากจะจับเขากินเสียเดี๋ยวนั้น เฉียวอวี้ฉีพูดอู้อี้ “ท่านจะทำอะไร แค่ทำโถของท่านแตกไปโถหนึ่งเอง ข้าชดใช้ให้ท่านก็ได้!”
เฉียวอวี้ซีถลึงตา “แค่โถหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีอะไรอยู่ในโถ”
“อะไรหรือ” เฉียวอวี้ฉีถามอย่างไม่ใส่ใจ
เฉียวอวี้ฉีเป็นบุตรชายคนสุดท้องของสวีซื่อกับท่านปั๋ว เขาเป็นที่รักของสวีซื่อและครอบครัว ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนมีนิสัยกำเริบเสิบสาน แล้วจะสนใจไยดีโถใบหนึ่งของพี่สาวหรือ
ก่อนที่เฉียวอวี้ซีจะยกมือขึ้นตีสั่งสอนเขา เขาก็วิ่งเข้าไปในห้องของสวีซื่อ “ท่านแม่! พี่ใหญ่ตีข้าขอรับ!”
สวีซื่อกำลังเลือกเสื้อผ้าสำหรับการสอบของลูกชายในวันพรุ่งนี้ ครั้นเห็นลูกชายวิ่งเข้ามาหาอย่างรีบร้อน จึงกอดเขาไว้ในอ้อมแขน “เกิดอะไรขึ้น ผู้ใดตีเจ้า”
“ท่านพี่! ข้าไม่ได้ตั้งใจทำโถใบหนึ่งของนางแตก นางก็เลยจะตีข้าขอรับ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เฉียวอวี้ซีผู้โกรธจนหน้าเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู “แค่โถใบหนึ่งหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าซื้อมันมาด้วยเงินเท่าไร เจ้าคิดว่าข้าเก็บเงินมาจากพื้นหรือ”
ในจวนเอินปั๋วมีคนมากมาย มิได้มีเพียงพวกเขาเรือนเดียวเท่านั้น ส่วนแบ่งของแต่ละคนถูกกำหนดโดยส่วนกลางอย่างเคร่งครัด นางได้เงินเพียงห้าตำลึงต่อเดือน ใช้เวลานานไม่รู้เท่าใดกว่าจะออมเงินใส่คลังส่วนตัวได้ขนาดนั้น แต่เขากลับ ทำสมบัติทั้งหมดของนางหายวับไปในพริบตาเดียว!
สวีซื่อเพิ่งมีลูกชายคนเล็กในวัยกลางคน ย่อมรักมากเป็นพิเศษ จึงกล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ เขาเป็นน้องชายของเจ้า เจ้าเป็นพี่สาวก็ยอมให้เขาหน่อย แค่ชนของเจ้าเสียหายเล็กน้อยมิใช่หรือ เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ใช่หรือไม่ อวี้ฉี?”
ยามอยู่ข้างนอกเฉียวอวี้ฉีเป็นจอมก่อปัญหา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสวีซื่อเขากลับเป็นเด็กดีว่าง่าย เขาพยักหน้าอย่างไร้เดียงสาทันที
เฉียวอวี้ซีโมโหอย่างไม่อยากจะเชื่อ เสียงหวานตวาด “ท่านแม่! ท่านเลิกปกป้องเขาทุกครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ เขานิสัยเช่นนี้ก็เพราะถูกพวกท่านตามใจจนเสียคน!”
เฉียวอวี้ฉี ‘ตกใจ’ ซุกเข้าไปในอ้อมแขนของสวีซื่อ สวีซื่อพูดอย่างปวดใจ “น้องชายของเจ้ากำลังจะไปสอบเสินถงวันพรุ่งนี้ เจ้าอย่าทำให้เขาตกใจสิ”
“ท่านแม่!” เฉียวอวี้ซีกระทืบเท้า!
สวีซื่อหยุดโต้เถียงกับนาง จิ้มหน้าผากลูกชายแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ต่อไปอย่าวิ่งเล่นซุกซนไปทั่วเข้าใจหรือไม่ ไปชนข้าวของน่ะเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าทำให้ตัวเองบาดเจ็บจะทำเช่นไร”
เฉียวอวี้ฉีตอบอย่างเชื่อฟังทันที “ทราบแล้วขอรับ ท่านแม่ ต่อไปข้าจะไม่วิ่งซุกซนอีก ข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่เป็นกังวลอีก ข้ารักท่านแม่ที่สุดเลยขอรับ!”
พูดจบก็คลอเคลียในอ้อมแขนสวีซื่อเยี่ยงสุนัขรับใช้ เมื่อเฉียวอวี้ซีมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาก็แลบลิ้น ทำหน้าตาทะเล้นใส่!
เฉียวอวี้ซีโกรธจนเนื้อเต้น…
ยามห้า (ตีสาม) นาฬิกาชีวิตของเฉียวเวยปลุกนางโดยอัตโนมัติ นี่เป็นเวลาที่นางมักจะทำขนม นางขยี้ตาแล้วลุกจากเตียงอย่างที่ทำจนชิน อันดับแรกนางมองลูกน้อยที่กำลังหลับสนิท จิ่งอวิ๋นนอนหงายเหมือนเดิม ห่มผ้าห่มแน่นเหมือนหนอนไหมตัวน้อย นอนไม่กระดุกกระดิก แต่วั่งซูกลับนอนหันศีรษะไปทางปลายเท้า กางแขนกางขา เท้าข้างหนึ่งวางพาดบนท้องของจิ่งอวิ๋น
น่าเสียดายที่นางไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่อย่างนั้นนางอยากจะถ่ายรูปฉากนี้จริงๆ
นางอุ้มลูกสาวกลับมานอนดีๆ ข้างลูกชายอย่างขบขัน จากนั้นสวมเสื้อคลุมแล้วไปล้างหน้าล้างตา
ในเวลานี้ ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้ายามราตรี แลเห็นทางช้างเผือกเป็นเหมือนผ้าโปร่งบางบนโดมสีน้ำหมึกซึ่งปกคลุมทิวเขาเขียวขจีไกลออกไป ยามทอดสายตามอง แลดูงดงามเฉกเช่นสรวงสวรรค์
หลังจากเฉียวเวยล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว นางก็กลับไปสวมชุดใหม่ในห้อง
อาภรณ์สีขาวดั่งหิมะ ผิวสัมผัสเนียนนุ่ม ฝีมือตัดเย็บประณีต นางอยู่ในสมัยโบราณมานานแล้วแต่ยังไม่เคยสวมเสื้อผ้าราคาแพงเช่นนี้ นางมองเงาสะท้อนอันงดงามสะกดตาในอ่างน้ำ แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นตนเอง
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจริงๆ สินะ
เหมือนบนศีรษะจะขาดสิ่งใดไป
เฉียวเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เปิดกล่อง หยิบปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งที่นางไม่เคยใส่มาก่อนออกมาจากช่องลับด้านล่างของกล่องผ้า
…
การเดินทางไปเมืองหลวงหนทางไกลนัก พวกเขาต้องนั่งรถม้าเดินทางไปตามถนนอันคดเคี้ยว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม พอเข้าเมืองหลวงแล้วถนนคงเบียดเสียด เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย เมื่อลองคำนวณดูแล้วคงต้องออกเดินทางตั้งแต่ยามอิ๋น (ตีสี่)
เฉียวเวยฉุดตัวเด็กๆ ออกจากผ้าห่มอุ่น ครั้นเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่อันงดงาม เจ้าก้อนซาลาเปาน้อยทั้งสองจากที่งัวเงียอยู่ก็ตื่นเต็มตาทันที!
หลังจากสวมเสื้อผ้ากับรองเท้าใหม่แล้ว ทั้งสองก็วิ่งไปที่ลานบ้านอย่างตื่นเต้น ยืนส่องกับอ่างน้ำซ้ายทีขวาที
น่ารักจริงๆ!
ทั้งสองมองมารดาที่ยืนยิ้มให้พวกเขาอยู่ตรงหน้าประตู ท่านแม่ก็สวยเหมือนกัน! อาภรณ์สีขาวประหนึ่งเทพธิดากรีดกรายออกมาจากภาพวาด! แล้วยังปักปิ่นแสนสวยอีกด้วย!
ทว่าพวกเขาทุกคนมีชุดใหม่กันหมด แต่เสี่ยวไป๋กลับไม่มี…
วั่งซูวิ่งกลับเข้าไปในห้อง เขย่งเท้าหยิบดอกไม้น้อยสีแดงอันสวยสดงดงามออกมาจากตู้ จากนั้นวางบนหัวของเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋ “…”
ครอบครัวสี่คนไปรวมตัวรออาเซิงที่หน้าหมู่บ้าน อาเซิงยังไม่ทันมา เฉินต้าเตากับป้าหลัวก็มาถึงก่อน เมื่อเห็นสามแม่ลูกสวมชุดใหม่เอี่ยม ทั้งสองคนล้วนคิดว่ามีผู้สูงศักดิ์ท่านใดมาเยือนหมู่บ้าน พวกเขาต่างอ้าปากด้วยความประหลาดใจ กระทั่งเด็กน้อยสองคนวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ ร้องเรียก “ท่านยาย” และ “ลุงเฉิน” ทั้งสองถึงได้รู้ตัวว่าคุณหนูน้อยกับคุณชายน้อยที่อยู่ตรงหน้าคือจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู
สวรรค์ นี่ช่าง…เหมือนผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยในเมืองหลวงเกินไปแล้ว!
เมื่อหันไปมองเฉียวเวยอีกหน เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ดวงหน้าโฉมสะคราญ เรือนผมดำขลับราวน้ำหมึก ดั่งจันทราลอยเด่นเหนือหมู่เมฆ ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายงดงามสูงศักดิ์ ทว่าบริสุทธิ์ไร้กิเลสประหนึ่งดอกเบญจมาศ
เฉินต้าเตาตกตะลึง ในใจเขาไม่เคยมองว่าเฉียวเวยเป็นสตรี แต่ในห้วงเวลานี้ เขาเพิ่งเห็นความอ่อนหวานบนตัวนาง มองแล้วช่างรู้สึกว่า…หัวใจเต้นระส่ำ!
ทุกคนรอพักหนึ่งแต่ไม่เห็นอาเซิง ตอนที่ป้าหลัวกำลังไปตามเอง ป้าจ้าวก็ลากอาเซิงออกมา
ท่าทางอาเซิงดูไม่ปกติ
ป้าจ้าวบอกอย่างกระดากอาย “ขออภัย ขออภัย ทำพวกเจ้าสายแล้ว!” เห็นสามแม่ลูกแต่งตัวภูมิฐานนักก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง แต่ใจนางมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่จึงสะกดความตกตะลึงเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว นางกำชับกำชาลูกชาย “อาเซิง วันนี้เข้าเมืองแล้วต้องเชื่อฟังพี่เฉียว เข้าใจหรือไม่”
“…ขอรับ”
“ตั้งใจสอบ ทำให้ดี อย่าเป็นเหมือนครั้งที่แล้วล่ะ!”
“…ขอรับ”
น้ำเสียงหม่นหมองลงเรื่อยๆ
ป้าหลัวเหลือบมองอาเซิงแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ญาติที่รัก รีบให้เด็กๆ ขึ้นรถเถอะ ขืนชักช้าจะไปไม่ทัน!”
“ใช่ ใช่ ใช่!” ป้าจ้าวปล่อยอาเซิง อาเซิงเดินไปที่รถม้าของเฉินต้าเตาโดยไม่หันกลับมามอง เขาอุ้มเจ้าก้อนซาลาเปาน้อยทั้งสองขึ้นไปก่อน จากนั้นตัวเองก็ปีนขึ้นไป เห็นๆ อยู่ว่าป้าจ้าวอยากกำชับบางอย่างกับเขา แต่เขากลับดึงม่านลงมา