หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 71 การสอบเสินถง
ตอนที่ 71 การสอบเสินถง
เฉียวเวยไม่ค่อยเคร่งเครียดกับการสอบเสินถงครั้งนี้นัก นางไม่ได้ซื้อเก็งข้อสอบในอดีตมาให้เด็กๆ ฝึกหัด แน่นอนเหตุผลประการสำคัญคือนางไม่สามารถหาซื้อได้
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้สอนเคล็ดลับอะไรให้ทั้งสองคนเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้เพราะเขาก็ไม่เคยเข้าร่วมการสอบ จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาสอบอะไรบ้าง
ระหว่างทางไปเมืองหลวง รถม้าโยกไปมา เจ้าก้อนซาลาเปาทั้งสองต่างก็อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของมารดา
เฉินต้าเตาเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เขาไม่รู้ทาง เฉียวเวยต้องคอยบอกทางเขาตลอด ดังนั้นจึงตื่นอยู่ตลอดเวลา อาเซิงก็ตื่นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
“อาเซิงอย่ากังวลไปเลย” เฉียวเวยพูดเบาๆ
อาเซิงพยักหน้า
กรมขุนนางจากหกกรมใหญ่เป็นผู้ควบคุมการสอบเสินถง สถานที่สอบรอบแรกอยู่ตามสำนักศึกษาขนาดใหญ่แห่งต่างๆ ในเมืองหลวงและคุ้มกันโดยทหารที่ทางการส่งมา ถนนที่เป็นทางผ่านล้วนแน่นขนัดด้วยรถม้าที่มาส่งผู้เข้าสอบ ยังดีที่สำนักศึกษาหนานซานอยู่ไม่ไกลจากประตูทิศใต้จึงเดินไปได้
เฉียวเวยพาเด็กๆ ทั้งสามลงจากรถม้า
หลังจากลงทะเบียนครั้งที่แล้ว หลัวหย่งเหนียนก็เคยพานางไปที่นั่นครั้งหนึ่ง นางรู้จักเส้นทางที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน ไม่นานก็เดินลัดเลาะมาถึงประตูด้านหลังของสำนักศึกษา ทันใดนั้นนางก็เหลือบเห็นหลัวหย่งเหนียนที่ชะเง้อคอรออยู่ นางตกใจเล็กน้อย “หย่งเหนียน? เจ้ามาได้เช่นไร ไม่ต้องทำงานหรือ”
หลัวหย่งเหนียนเห็นนางในรูปลักษณ์ใหม่ ตอนแรกก็ตกตะลึง จากนั้นจึงเดินยิ้มร่าเข้ามา “หลานตัวน้อยสอบ แน่นอนว่าข้าผู้เป็นน้าย่อมต้องมาให้กำลังใจ!” เขาลูบศีรษะของเด็กน้อยสองคน “น้าเอาขนมเครามังกรมาให้พวกเจ้าด้วย!”
ขณะที่พูดเขาก็เปิดถุงกระดาษเผยให้เห็นขนมเครามังกรที่ทั้งหอมทั้งหวาน
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหยิบคนละก้อน ขนมเครามังกรรสชาติหวานละมุน ละลายในปาก วั่งซูพูดอย่างมีความสุข “หวานนักเชียวเจ้าค่ะ!”
“แล้วโรงตีเหล็กเล่าทำเช่นไร” เฉียวเวยถาม
หลัวหย่งเหนียนเลิกคิ้วกล่าวว่า “พวกศิษย์พี่กินเนื้อตุ๋นของข้าไป กำลังกังวลว่าหาโอกาสตอบแทนข้าไม่ได้อยู่พอดี ท่านพี่วางใจเถิด”
เฉียวเวยพูดไม่ออก รู้จักโดดงานตั้งแต่อายุยังน้อยๆ โตขึ้นจะใช้การได้หรือไม่ พี่ชายของเขาซื่อตรงเกินไป ส่วนเขาเจ้าเล่ห์เกินไป ถ้านำทั้งสองคนมารวมกันก็คงเหมาะเจาะพอดี!
หลัวหย่งเหนียนถามอีกครั้ง “พวกท่านเดินมาหรือ”
เฉียวเวยชี้ถนนอันคับคั่ง “ต้าเตามาส่งพวกเรา หลังจากเข้าเมืองแล้วคนแน่นเกินไป พวกเราจึงเดินเท้ามาอีกเล็กน้อย”
“ข้าว่าแล้ว” หลัวหย่งเหนียนบีบแก้มเล็กๆ ของวั่งซู วั่งซูหมุนตัว “ท่านน้า เสื้อผ้าชุดใหม่ของข้าสวยหรือไม่เจ้าคะ”
หลัวหย่งเหนียนตอบอย่างจริงใจ “สวยมาก!”
สวยงามมากจริงๆ ดูดีกว่าเจ้านายตัวน้อยผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวงด้วยซ้ำ!
หลัวหย่งเหนียนหันไปมองเฉียวเวยผู้งดงามชวนหวั่นไหว คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอกของเขาโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกหวาดกลัวกับความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้นี้จึงรีบร้อนเบนสายตาหนี
ทุกคนเดินตรงไปที่ประตูใหญ่
เดิมทีคู่แฝดชายหญิงก็หายากอยู่แล้ว แล้วยังหน้าตาน่ารักสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ มารดาก็ยังงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ กอปรกับ ‘ลูกสุนัข’ สีขาวที่สวมดอกไม้สีแดง ยามครอบครัวนี้เดินไปตามถนน ผู้คนต่างก็ต้องเหลียวกลับมามองทุกคน
ครั้งนี้ในสายตาของทุกคนไม่มีการดูถูก มีแต่ความอิจฉาริษยาเท่านั้น
สตรีอิจฉาที่มีบุตรน่ารักเช่นนี้ บุรุษอิจฉาที่มีภรรยางดงามปานนี้ ส่วนเด็กๆ อิจฉา ‘ลูกสุนัขสีขาว’ ที่น่ารักและขี้อวดในอ้อมแขนของวั่งซู
หลัวหย่งเหนียนหยิบถุงน้ำเดินไปเติมน้ำร้อนที่เหลาสุราใกล้ๆ ส่วนเฉียวเวยพาเด็กๆ ไปต่อแถว
เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ‘คนคุ้นเคย’ อยู่ที่นี่ด้วย
“อาซิ่ว ทำได้จริงหรือ อู๋เกอร์ของข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว!”
ผู้พูดเป็นสตรีอายุราวๆ สามสิบปีเศษ รูปร่างอวบอ้วน สวมใส่เครื่องแต่งกายหรูหรา นางกำลังกอดแขนสตรีนางหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกัน แต่อีกฝ่ายมีรูปร่างผอมบางกว่า แม้ว่าสตรีนางนี้จะแต่งกายไม่หรูหราเท่านาง แต่เมื่อดูจากการที่นางยกยออีกฝ่าย แสดงว่าฐานะของอีกฝ่ายสูงกว่านางอย่างเห็นได้ชัด
อาซิ่วโบกผ้าเช็ดหน้า พูดว่า “ข้าเป็นคนจัดการ เจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ แค่เพิ่มรายชื่อเข้าไป ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”
พูดจบนางก็ลัดแถวตรงไปที่ทางเข้า ถามเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจหนังสือเข้าสอบกับป้ายเข้าสอบว่า “พวกเจ้าช่วยเพิ่มรายชื่อได้หรือไม่”
เจ้าหน้าที่มองนางอย่างแปลกใจ “แน่นอนว่าไม่ได้ ที่นั่งสอบทั้งหมดถูกกำหนดไว้ตามรายชื่อเรียบร้อยแล้ว”
อาซิ่วขยับเข้าไปใกล้เจ้าหน้าที่แล้วเอามือป้องปากกระซิบ “ข้าคือภรรยาของท่านเฉิง”
“ท่านเฉิงคนใด” เจ้าหน้าที่ถาม
อาซิ่วพูดอย่างไม่พอใจ “ในกรมขุนนางมีท่านเฉิงสักกี่คน รองหัวหน้ากองตรวจสอบอย่างไรเล่า!”
กองตรวจสอบเป็นผู้ดำเนินการสอบเสินถง รองหัวหน้ากองก็คือหนึ่งในขุนนางที่คุมการสอบเสินถงครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ถามว่า “คุณชายน้อยเฉิงต้องการสอบหรือขอรับ”
ลูกชายของตนอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น จำตัวอักษรยังมิได้ด้วยซ้ำจะไปสอบอะไร อาซิ่วกระแอมเบาๆ “เป็นหลานชายฝ่ายมารดาของข้า รีบเร่งเดินทางจากเมืองเตียนตูมาเพื่อการนี้ แต่เขาล้มป่วยระหว่างทางจึงมาลงทะเบียนล่าช้า เจ้าให้เขาเข้าสอบได้หรือใม่”
นางคิดว่าชื่อเสียงของตนเองจะมีประโยชน์ ผู้ใดจะนึกว่าเจ้าหน้าที่กลับไม่รับไมตรี “ขออภัยขอรับฮูหยิน ครั้งนี้การตรวจสอบเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้ผู้ไม่มีป้ายเข้าสนามสอบ ไม่เช่นนั้นหากเบื้องบนเอาโทษขึ้นมา พวกเราจะโดนลงโทษอย่างหนัก!”
หญิงร่างท้วมหันไปมองอาซิ่ว “เช่นนั้นก็ช่างเถิดอาซิ่ว”
อันที่จริงนางมิใช่ญาติของอาซิ่ว แต่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกับมารดาของอาซิ่วเท่านั้น ปกติมารดาของอาซิ่วชอบโอ้อวดว่าลูกสาวของนางให้กำเนิดบุตรชายเพียงคนเดียวแก่สามีผู้เป็นขุนนาง เป็นที่โปรดปรานอย่างนั้นอย่างนี้ มีอำนาจอย่างนั้นอย่างนี้ หญิงร่างท้วมบังเอิญมีญาติห่างๆ พาลูกมาเยี่ยมที่บ้าน นางบังเอิญพูดถึงเรื่องการสอบเสินถงขึ้นมา ญาติคนนั้นเกิดสนใจ สอบถามวิธีการสมัครจากหญิงร่างท้วม แต่เวลานั้นการลงทะเบียนก็สิ้นสุดไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้หญิงร่างท้วมจึงไปหามารดาของอาซิ่ว มารดาของอาซิ่วตกปากรับคำ จากนั้นก็มาหาอาซิ่ว
อาซิ่วและมารดาของนางชอบคุยโวโอ้อวดและรักหน้าตาพอๆ กัน มารดาของนางเพียงยอไม่กี่คำว่า “ลูกสาวช่างเก่งกาจจริง เป็นหน้าเป็นตาให้วงศ์ตระกูล พวกเขาล้วนอิจฉาเจ้าแทบตาย” อาซิ่วก็รับปากอย่างไม่ไตร่ตรอง
นางคิดว่าการสอบเสินถงเป็นงานที่อยู่ใต้การดูแลของสามี ไม่น่าจะจัดการยาก ไหนเลยจะรู้ว่า…ยังไม่ทันได้เดินเข้าประตูก็โดนตะปูตำเข้าเสียแล้ว!
“อาซิ่วไม่ได้ใช่หรือไม่ ไม่ได้ก็ช่างเถิด” หญิงร่างท้วมกล่าว
หากนางไม่สามารถจัดการเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ได้ ต่อไปนางจะเชิดหน้าชูคอยามอยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้านได้เช่นไร
“ได้สิ เจ้าไปรอข้าตรงนั้น” อาซิ่วดันตัวหญิงร่างท้วมออกไป นางกัดฟันหยิบก้อนทองจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือของเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่คืนเงินให้นาง “ฮูหยิน หากไม่มีป้ายเข้าสอบข้าปล่อยให้ท่านเข้าไปไม่ได้จริงๆ ขอรับ”
อาซิ่วกล่าวอย่างคับแค้น “ผ่อนผันหน่อยมิได้หรือ”
เจ้าหน้าที่ส่ายศีรษะด้วยความลำบากใจ
อีกด้านหนึ่ง วั่งซูยกมือกุมก้นเล็กๆ ของตน “ท่านแม่ ข้าปวดฉี่…”
เฉียวเวยมองแถวที่อยู่ด้านหน้า น่าจะนานกว่าจะถึงลำดับของพวกเขา นางอุ้มวั่งซู แล้วถามจิ่งอวิ๋นกับอาเซิง “พวกเจ้าอยากเข้าห้องส้วมหรือไม่”
ทั้งสองส่ายศีรษะ
ตุบ!
ป้ายเข้าสอบในมือของวั่งซูตกลงพื้น
อาเซิงรีบก้มลงหยิบมันขึ้นมา วั่งซูเอื้อมมือเล็กๆ ออกไปรับคืน แต่เฉียวเวยจับไว้ นางกล่าวว่า “เลิกเล่นได้แล้ว ประเดี๋ยวทำตกส้วมไปเจ้าจะเข้าห้องสอบไม่ได้นะ ให้น้าอาเซิงเก็บไว้”
“พี่อาเซิงต่างหากเจ้าค่ะ!” เสียงเล็กๆ ของวั่งซู ‘แก้’ คำเรียกขานของมารดา
เฉียวเวยขบขันท่าทางจริงจังของนางจึงจูบแก้มนางเบาๆ “เด็กโง่ อาเซิงเป็นน้าของเจ้า”
“พี่ชาย!”
เฉียวเวยอดหัวเราะไม่ได้ “ก็ได้ ให้พี่อาเซิงของเจ้าช่วยเก็บป้ายไว้”
“เจ้าค่ะ!”
วั่งซูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ!
เฉียวเวยให้อาเซิงกับจิ่งอวิ๋นเข้าแถวต่อ ขณะที่นางพาลูกสาวไปที่เหลาสุราฝั่งตรงข้ามถนน
อาเซิงเก็บป้ายทั้งสามแผ่นไว้ในอกเสื้อ จากนั้นจูงมือเล็กๆ ของจิ่งอวิ๋นแน่น
ทันใดนั้น หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งก็เดินผ่านด้านข้าง นางบังเอิญชนอาเซิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาเซิงไม่อยากมีเรื่อง เห็นนางจากไปอย่างรวดเร็วจึงมิได้พูดอันใด ยืนต่อแถวต่อ
เมื่อเฉียวเวยพาวั่งซูกลับมาก็ถึงลำดับของพวกเขาพอดี อาเซิงหยิบป้ายเข้าสอบออกมา หนึ่งแผ่น…สองแผ่น สองแผ่น?!
“เกิดอะไรขึ้น” เฉียวเวยถาม
อาเซิงร้อนใจจนจะร้องไห้ “ป้ายเข้าสอบของจิ่งอวิ๋นหายไปแล้ว!”