หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 73-2 อัครมหาเสนาบดีมาแล้ว
ตอนที่ 73-2 อัครมหาเสนาบดีมาแล้ว
ใต้เท้าเฉิงมองไปยังรถม้าอีกคันด้วยอาการตัวสั่นงันงก คิดในใจว่า วันนี้มันวันอะไร การสอบเสินถงในอดีตไม่เคยมีผู้สูงศักดิ์เหล่านี้เฉียดกรายเข้าใกล้สนามสอบด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับปรากฏตัวทั้งท่านอ๋องทั้งอัครมหาเสนาบดี!
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าอัครเสนาบดีขอรับ!” เขาปาดเหงื่ออันเย็นเฉียบแล้วแสดงความเคารพ
“รองหัวหน้ากองช่างทำงานได้ดีนักนะ” จีหมิงซิวกล่าวด้วยท่าทางเฉยชา
ใต้เท้าเฉิงไม่รู้ว่าจีหมิงซิวได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายเพียงไม่ถูกกับยิ่นอ๋อง จึงมาลงที่เขาเท่านั้น “ข้าน้อย…ความจริงมิต้องการให้ยิ่นอ๋องเข้ามายุ่ง เป็นยิ่นอ๋องต่างหากที่ดึงดันจะพาคนไปจากมือข้าน้อย ข้าน้อยจนปัญญาจริงๆ ขอรับ!”
“โอ้ จริงหรือ”
“ขอรับ! สตรีนางนั้นขโมยป้ายเข้าสอบแล้วยังไปทำร้ายผู้อื่น แต่เห็นแก่ที่สาเหตุเกิดจากความรักที่มีต่อลูกชาย ข้าน้อยครุ่นคิดแล้วจึงสั่งโบยนางสามสิบไม้ ลงโทษเป็นการตักเตือนเล็กน้อยก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องส่งไปกินข้าวแดงในคุกขอรับ” ใต้เท้าเฉิงกล่าวอย่าง ‘เสียใจ’
จีหมิงซิวพูดเหมือนจะคล้อยตามแต่ไม่คล้อยตามว่า “โบยสามสิบไม้หรือ ออกจะน้อยเกินไปหรือไม่”
“เอ่อ…” ก็ไม่น้อยนะ คนปกติโดนโบยสามสิบไม้ก็แทบตายแล้ว แต่ในเมื่ออัครมหาเสนาบดีเห็นว่าน้อยไป เช่นนั้นก็…เพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่
ใต้เท้าเฉิงจึงกล่าวอย่าง ‘แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม’ “ความผิดในการก่อกวนความสงบเรียบร้อยในสนามสอบอีกหนึ่งกระทง การลงโทษเท่านี้มันน้อยเกินไปจริงๆ ใต้เท้าคิดว่า…โบยห้าสิบไม้เป็นเช่นไรขอรับ”
เขารับรองว่าคนที่โดนโบยห้าสิบไม้ไม่ตายก็เป็นอัมพาต
“น้อยเกินไป”
“แปดสิบ?”
“ไม่พอ”
“หนึ่งร้อย?!”
หลังจากที่ใต้เท้าเฉิงพูดจบ ตัวเขาเองยังตกใจ ใต้เท้าไม่คิดไว้ชีวิตหญิงชาวบ้านนางนั้น นางเพียงก่อกวนสนามสอบเท่านั้น ต้องทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
มิน่าทุกคนต่างบอกว่ายอมพบพญายมดีกว่าล่วงเกินอัครมหาเสนาบดี ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ มิใช่คนที่สมควรต่อกรด้วยเลยจริงๆ!
ในที่สุดจีหมิงซิวก็ดูเหมือนจะพอใจ “ต้องโบยอย่างหนักด้วย”
มุมปากของใต้เท้าเฉิงกระตุก เขาสั่งทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเร่งรีบเดินเข้ามา “พวกเจ้าได้ยินคำพูดของใต้เท้าแล้วหรือไม่ ประเดี๋ยวต้องลงโทษอย่างหนัก! อย่าเมตตาเด็ดขาด!”
ทหารทั้งหลายตอบพร้อมกัน “ขอรับ!”
ใต้เท้าเฉิงยิ้มกับรถม้า “ข้าน้อย…จะไปจับนางมาเดี๋ยวนี้”
“เยี่ยนเฟยเจวี๋ย” จี้หมิงซิวเอ่ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่แต่งตัวเป็นคนขับรถม้ากระโดดลงจากรถ เดินตรงเข้าไปหาใต้เท้าเฉิง ดวงตาของใต้เท้าเฉิงเป็นประกาย ยกนิ้วโป้งให้ “ใต้เท้าช่างหลักแหลม! ผู้หญิงคนนั้นมีฝีมือ ทำร้ายทหารไปไม่น้อย สมควรให้ลูกน้องของใต้เท้าออกโรงเอง!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กดเขาลงกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นอย่างสับสน “ใต้เท้า?”
“ลากออกไป”
ใต้เท้าเฉิงตกตะลึง “ใต้เท้าขอรับ ท่านจับผิดหรือไม่ มิใช่ข้าน้อย! แต่เป็นนังไพร่คนนั้นขอรับ!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระชากคอเสื้อของเขา ลากไปที่ประตูหลังของสำนักศึกษา
อาซิ่วรีบวิ่งเข้ามา “เจ้าทำอะไร ปล่อยนายท่านของข้าเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคว้าหมับจับนางลากไปกับพื้นพร้อมกันอย่างไร้ความปรานี
บั้นท้ายของทั้งสองคนขูดกับพื้นจนเจ็บแสบ คอก็ถูกรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก และที่แย่กว่านั้นคือยังมีชาวบ้านยืนมุงอยู่รอบด้าน…
ในที่สุดใต้เท้าเฉิงก็ตระหนักว่าเขาถูกเปิดโปงแล้ว เขารู้สึกสุดแสนเสียใจ ช่างเป็นดังคำกล่าวที่ว่า ปกป้องคนผิดทำให้ถูกดินฝังกลบหน้าทั้งครอบครัวจริงๆ
“ใต้เท้า! ใต้เท้า! ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว! ข้าน้อยไม่กล้าทำอีกแล้วขอรับ! ได้โปรดเห็นแก่หน้าของอิงกุ้ยเหริน ละเว้นข้าน้อยสักครั้งเถิดขอรับ! อิงกุ้ยเหรินต้องขอบคุณใต้เท้าอย่างดี! ใต้เท้า! ใต้เท้า!…”
จีหมิงซิวหลับตาลงเบาๆ “เสียงดัง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอดถุงเท้าเหม็นๆ ของใต้เท้าเฉิง ยัดใส่ปากของใต้เท้าเฉิง!
“อู้ อู้ อู้”
เสียงครวญครางดังออกมาจากลำคอของใต้เท้าเฉิง
ศีรษะสองศีรษะโผล่ออกมาจากตรอก เฉียวเวยอยู่ด้านบนและเสี่ยวไป๋อยู่ด้านล่าง หนึ่งคนกับหนึ่งตัวจ้องเขม็งมองใต้เท้าเฉิงถูกสารถีชุดสีเทาลากไป จากนั้นอาซิ่วก็ถูกลากไปด้วย ทั้งสองคนนั้นยังโดนอุดปากไว้ ร่างกายดิ้นรนจนเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ย ผมบนศีรษะกระเซอะกระเซิง
ในไม่ช้าเฉียวเวยกับเสี่ยวไป๋ก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก แต่กลับได้ยินเสียงไม้กระทบเนื้อดังมาจากสำนักศึกษาอย่างชัดเจน
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…ป้าบๆ!
มีความสุขที่สุด!
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบป้ายวิ่งเหยาะๆ เข้ามา และกล่าวอย่างหวาดผวา “ฮูหยิน เชิญคุณชายน้อยเข้าไปได้แล้วขอรับ”
เฉียวเวยเหลือบมองรถม้าที่อยู่ไม่ไกล มิรู้ว่าตนเองคิดไปเองหรืออย่างไร แต่รู้สึกเหมือนคนในรถม้ากำลังมองมาที่นาง นางถามเจ้าหน้าที่ว่า “ผู้ใดนั่งอยู่ในรถม้า”
เจ้าหน้าที่ตอบอย่างสุภาพว่า “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีขอรับ”
นับตั้งแต่มีการสอบเสินถงก็คัดเลือกผู้มีพรสวรรค์เข้ามาในราชสำนักได้มากมาย ตัวอย่างเช่น ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ยิ่นอ๋อง ท่านแม่ทัพตัวหลัว ล้วนเป็นผู้ครองอันดับหนึ่งในการสอบเสินถงของราชวงศ์ต้าเหลียงเรา…
…ในแง่พรสวรรค์ น่าจะเป็นใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี หนึ่งขวบรู้จักอักษรพันตัว สามขวบท่องบทกวีร้อยบท ห้าขวบเจนจบประวัติศาสตร์ เจ็ดขวบสอบได้อันดับแรก ตั้งแต่เล็กขยันใฝ่เรียนรู้ ความทรงจำเป็นเยี่ยม ชำนาญภาษาแต่ละแคว้น เป็นเสินถงอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ต้าเหลียงเราอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นจะได้เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อยหรือ
คนที่ซิ่วไฉเฒ่าพูดถึงคือเขาใช่ไหม
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นขุนนางดี
เฉียวเวยทำสีหน้าจริงจัง โค้งคำนับไปทางรถม้า นี่เป็นครั้งแรกที่นางปฏิบัติตามมารยาทของคนโบราณนับตั้งแต่นางทะลุมิติมายังสมัยโบราณ เพราะคนผู้นี้ คู่ควรได้รับคำขอบคุณและความเคารพจากนาง
ฝั่งรถม้าไม่มีความเคลื่อนไหว รถจอดอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ แล่นจากไป
หลังจากนั้นเฉียวเวยจึงเดินเข้าไปในตรอกอีกแห่งหนึ่ง อุ้มจิ่งอวิ๋นจากอ้อมแขนของหลัวหย่งเหนียน ขอบดวงตาของจิ่งอวิ๋นแดงระเรื่อ เฉียวเวยลูบศีรษะเขาพลางยิ้มเล็กน้อย “แม่กับเสี่ยวไป๋ไม่เป็นอันใด เจ้ารีบเข้าไปเถิด”
ตุ๊งงง
ตุ๊งงง
ตุ๊งงง
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “นี่คือ…”
เจ้าหน้าที่กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ “การสอบวิชาแรกจบลงแล้วขอรับ”
เฉียวเวยรู้สึกหนาวจับขั้วใจ เพราะถูกขุนนางชาติสุนัขกับยิ่นอ๋องก่อกวนจึงพลาดการสอบวิชาแรกไปโดยเปล่าประโยชน์ “ทั้งหมดมีกี่วิชา”
เจ้าหน้าที่ตอบว่า “สามวิชาขอรับ เช้าวันนี้สองวิชา วันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวิชา”
เฉียวเวยมองลูกชายในอ้อมแขนของนาง “เจ้าไม่มีคะแนนวิชาแรกแล้ว เจ้ายังต้องการสอบอยู่หรือไม่ แม่เคารพความคิดเห็นของเจ้า”
จิ่งอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แววตาแห่งความมุ่งมั่นค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าน้อยอันอ่อนเยาว์ของเขา “สอบขอรับ”
…
ในเหลาสุราตรงข้ามสนามสอบ มีคนชมเรื่องครึกครื้นอยู่คนหนึ่ง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังมามา คนรับใช้ข้างกายของสวีซื่อ ผู้ซึ่งเป็นฮูหยินที่จัดการดูแลทุกอย่างภายในจวนเอินปั๋ว
เดิมทีหวังมามามาที่สนามสอบเพื่อสืบข่าวคุณหนูใหญ่ตามคำสั่งของฮูหยิน เนื่องจากนางไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่อยู่ที่สนามสอบใด นางจึงเรียกคนเก่าคนแก่หลายคนที่รู้จักคุณหนูใหญ่มาด้วย ลองเสี่ยงโชคตามหาทีละสนามสอบ เหตุผลที่นางเลือกสำนักศึกษาหนานซานเพราะสนามสอบของนายน้อยอยู่ที่นี่ แต่นางโชคดีนัก หานางพบจริงๆ! แถมยังได้ชมละครฉากใหญ่อันน่าตื่นเต้นเช่นนี้!
ถ้าฮูหยินรู้เข้านางคงแปลกใจมาก นางแทบทนรอไม่ไหวแล้ว
หวังมามาจ่ายเงินและสั่งสาวใช้ให้ไปรอนายน้อยที่ประตูสำนักศึกษา ส่วนตัวเองรีบขึ้นรถม้าเดินทางกลับจวนเอินปั๋ว
ภายในเรือนหลักของเรือนใหญ่ สวีซื่อกำลังตรวจดูงานปักของเฉียวอวี้ซี ใกล้จะถึงวันเกิดของจีเหล่าฮูหยินแล้ว นางต้องการให้ลูกสาวปักภาพอายุยืนร้อยปีให้เหล่าฮูหยิน ครั้นเห็นหวังมามาเข้ามาก็แปลกใจเล็กน้อย “ไฉนถึงกลับมา อวี้ฉีสอบเสร็จแล้วหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ นายน้อยยังสอบอยู่ กุ้ยจือยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู บ่าวกลับมารายงานท่าน บ่าวพบคุณหนู…” หลังจากเหลือบมองเฉียวอวี้ซี หวังมามาจึงเปลี่ยนสรรพนาม “เฉียวซื่อแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉียวอวี้ซีเลิกคิ้วด้วยความพอใจ พี่สาวคนนั้นถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว ตอนนี้นางต่างหากที่เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว
สวีซื่อกลับไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สิ่งที่นางกังวลมากกว่าคือว่าสายเลือดเพียงคนเดียวของเรือนใหญ่มีลูกจริงหรือไม่
แต่เห็นได้ชัดว่าในใจของหวังมามาไม่คิดว่าเรื่องเด็กเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่นางประหลาดใจมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของเฉียวเวย “…คุณหนูใหญ่แตกต่างจากเมื่อก่อนมากราวกับคนละคน คราวก่อนเห็นนางแต่งตัวซอมซ่อเช่นนั้นบ่าวเกือบจำไม่ได้ วันนี้น่ากลัวกว่านั้นอีกนะเจ้าคะ นางทะเลาะวิวาท!”
“ทะเลาะวิวาทหรือ” สวีซื่อขมวดคิ้ว มองไปยังหวังมามา
หวังมามาเล่าสิ่งที่เห็นและได้ยินนอกสนามสอบให้ฟัง นางอยู่ไกลจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด แต่นางเห็นอาซิ่วขโมยป้ายจากอาเซิง ตอนแรกนางไม่รู้ว่าเป็นอนุภรรยาของรองหัวหน้ากอง นางคิดว่าเป็นโจรธรรมดา แต่นางรู้ว่าเด็กอายุสิบขวบคนนั้นมากับคุณหนูใหญ่ นางจึงจับตามองเป็นพิเศษ
หลังจากที่คุณหนูใหญ่กลับมา นางก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับอนุภรรยา แน่นอนนางเดาได้ว่าเป็นเรื่องป้าย ต่อมารองหัวหน้ากองถูกเสียงเอะอะเรียกมา นางเคยได้ยินเกี่ยวกับรองหัวหน้ากองเฉิงคนนั้น รู้ว่าชื่อเสียงของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่เนื่องจากเขามีน้องสาวที่ถวายตัวไม่นานก็ได้รับการโปรดปราน ทุกคนจึงยอมอดทนกับเขา ในตอนแรกรองหัวหน้ากองสุภาพกับคุณหนูใหญ่ นางคิดว่าคุณหนูใหญ่เอาฐานะของจวนเอินปั๋วมาอ้าง รองหัวหน้ากองจึงเกรงกลัวเช่นนี้ แต่ต่อมาไม่รู้ว่าอนุภรรยาพูดอันใดกับรองหัวหน้ากอง ท่าทีของรองหัวหน้ากองจึงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา แล้วตะโกนสั่งว่า “โบยสามสิบไม้”
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านคิดว่านางได้เอาฐานะที่จวนเอินปั๋วมาอ้างหรือไม่”
เพราะยกมาอ้าง เขาจึงเห็นแก่หน้าจวนเอินปั๋วยอมผ่อนปรนให้นาง นี่ก็ฟังดูมีเหตุผล หรือเพราะยกมาอ้าง ทุกคนย่อมทราบว่านางเคยล่วงเกินจวนยิ่นอ๋องกับจวนอัครมหาเสนาบดี ท่าทีของเขาจึงเปลี่ยนอย่างปุบปับ เช่นนี้ก็ฟังดูมีเหตุผลเช่นกัน
หวังมามาคิดไม่ตกยิ่งนัก
สวีซื่อพูดอย่างหมดความอดทน “เจ้าจะสนใจเรื่องนี้ทำไม แล้วหลังจากนั้นเล่า”
ต่อมายิ่นอ๋องกับอัครเสนาบดีก็ปรากฏตัวขึ้น
ตั้งแต่เพียงพอนตัวน้อยไปจนถึงคุณหนูใหญ่ จากนั้นสายฝนกลีบดอกไม้ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ช่างเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น
“ไม่ได้เจอนางเพียงไม่กี่ปี นางมีวรยุทธ์ได้เช่นไร บุรุษยังเอาชนะนางไม่ได้…”
สวีซื่อชังความไม่รู้จักสถานการณ์ของหวังมามายิ่งนัก ทำท่าทำทางเหมือนทึ่งในตัวเฉียวเวยนักหนา สตรีชื่อเสียงเน่าเหม็นเช่นรองเท้าผุนางนั้นมีค่าอันใดให้สนใจ
เฉียวอวี้ซีก็ไม่ชอบเช่นกัน นางไม่อยากได้ยินข่าวอันใดของพี่สาวคนนั้นแม้สักนิด ทุกครั้งที่หวังมามาเอ่ยถึงเฉียวซื่อ นางแทบจะทนไม่ไหวอยากบอกหวังมามาให้พูดข้ามไป!
“เกิดอะไรขึ้นกับเด็ก”
“เกิดอะไรขึ้นกับใต้เท้าหมิงซิว”
มารดากับบุตรสาวพูดออกมาพร้อมกัน ผู้ที่ถามเรื่องเด็กคือสวีซื่อ ผู้ที่ถามเรื่องหมิงซิวคือเฉียวอวี้ซี
เฉียวอวี้ซีเม้มริมฝีปาก ก้มศีรษะลงปักผ้าต่อ
เมื่อรู้ว่านางโกรธ สวีซื่อจึงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร แต่เรื่องราวไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดแน่นอน”
เฉียวอวี้ซีกำผ้าปักแน่น กัดริมฝีปากจนแดงก่ำแล้วโพล่งขึ้นว่า “เหตุใดจะไม่เป็นเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ ใต้เท้าหมิงซิวถึงกับออกหน้าสั่งสอนรองหัวหน้ากองให้ แล้วยังสู้กับคนของยิ่นอ๋องด้วย!”
สวีซื่อกล่าวว่า “ใต้เท้าไม่ได้ลงจากรถมิใช่หรือ”
หวังมามารีบตอบ “ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้ากับยิ่นอ๋องต่างนั่งอยู่ในรถม้า มิได้เผยหน้าเลย”
เฉียวอวี้ซียังไม่เลิกคิดมาก “เขาไม่ลงจากรถ เขาก็เปิดม่านดูได้!”
ครั้นเห็นท่าทางโกรธเหมือนจะพองขนของลูกสาว สวีซื่อพลันรู้สึกว่านางดูน่ารักไร้เดียงสามากจึงหัวเราะออกมาดังๆ อาจเป็นเพราะลูกทุกคนน่ารักที่สุดในสายตาของแม่ แม้แต่ยามที่นางโกรธก็ยังน่ารัก นางจับมือลูกสาวของนาง กล่าวว่า “มองแล้วอย่างไร พวกเขายังมิเคยพบหน้ากัน เขารู้หรือว่านางเป็นภรรยาที่อดีตฮองเฮากำหนดไว้ให้เขา หากเขาจำได้ เขาคงไม่ออกหน้าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้นางหรอก”
หวังมามากล่าวว่า “ใช่เจ้าค่ะ นางสวมเขาให้ใต้เท้าเสียงามหน้าขนาดนั้น ใต้เท้าคงเกลียดนางมากกว่า จะช่วยนางได้เช่นไร ใต้เท้าคงเห็นยิ่นอ๋องเกะกะสายตาจึงจงใจหาเรื่องยิ่นอ๋องเท่านั้น”
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ” เฉียวอวี้ซีมองหน้าสวีซื่อ
สวีซื่อยิ้มอย่างนุ่มนวล “แม่จะโกหกเจ้าหรือ นางทำลายเรื่องระหว่างเจ้ากับอัครมหาเสนาบดีไม่ได้หรอก เจ้าวางใจได้แล้ว สิ่งที่แม่เป็นกังวลคือเด็กสามคนนั้นมากกว่า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้รอยยิ้มของสวีซื่อพลันจางลง คิดว่าเด็กโตคงมิใช่เลือดเนื้อของเฉียวเวย แต่แฝดชายหญิงคู่นั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกของนางถึงแปดเก้าส่วน
ตอนนี้สวีซื่อยังไม่คิดว่าเด็กเป็นลูกของยิ่นอ๋อง แม้นางมั่นใจว่าคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อนเฉียวเวยเสียตัวให้ยิ่นอ๋อง แต่นางไม่คิดว่าเฉียวเวยจะยังกล้าให้กำเนิดลูกของยิ่นอ๋องหลังจากเขาเอากระบี่แทงนาง นางคิดว่ามีความเป็นไปได้แปดส่วนที่หลังเฉียวเวยถูกขับไล่ออกจากตระกูล นางจะไปมีลูกกับผู้ชายคนอื่น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ใดเป็นพ่อของเด็ก เด็กก็คือสายเลือดของเรือนใหญ่
ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งนางพาลูกมาที่บ้านเพื่อต้องการแบ่งทรัพย์สินของเรือนใหญ่…
“นางถูกไล่ออกจากจวนแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ แม้นางจะมีลูก แต่สมบัติของเรือนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง!” เฉียวอวี้ซีชอบแกล้งทำตัวน่ารักต่อหน้ามารดายิ่งนัก ท่าทางการพูดดูไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
ในฐานะแม่ แน่นอนว่านางหลงกลเสมอ สวีซื่อตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ อย่างรักใคร่ กล่าวอย่างครุ่นคิด “ทรัพย์สินของเรือนใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง แต่สินเดิมของมารดานางนั้น…พูดยาก”
สินเดิมเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายหญิง แม้แต่สามีของนางก็ไม่มีสิทธิทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทายาทอันชอบธรรมตามกฎหมายคือบุตรของพวกนาง
เฉียวเวยถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจตั้งแต่เด็ก นางไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นางไม่รู้จักโลก ทั้งยังไม่รู้ว่ามารดาของนางทิ้งมรดกก้อนใหญ่อันมั่งคั่งไว้ให้นาง ความจริงมรดกก้อนนี้ตอนนางออกจากบ้าน นางสามารถนำติดตัวออกไปด้วยได้
เฉียวอวี้ซีปรารถนาเพียงจะแต่งเข้าจวนอัครมหาเสนาบดี นางไม่ต้องการมีปัญหาเพิ่ม ดังนั้นจึงกล่าวว่า “มากหรือไม่เจ้าคะ หากไม่มากก็ให้นางไปเถิด”
สวีซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปาก “หนึ่งแสนตำลึง”
เฉียวอวี้ซีตาโตอ้าปากค้าง “หนึ่ง…แสนตำลึง?”
จวนอัครมหาเสนาบดีแต่งลูกสาวออกยังมีสินเดิมติดตัวเพียงสองหมื่นตำลึง! พ่อค้าขายสมุนไพรตัวเล็กๆ จากหุบเขาสมุนไพรคนหนึ่งเหตุใดจึงใจป้ำเช่นนี้
เงินจำนวนมากขนาดนั้น สามารถซื้อไข่เยี่ยวม้าได้มากแค่ไหนกันนะ
เฉียวอวี้ซีคิดมาตลอดว่าพี่ใหญ่เป็นคนจนผู้แสนลำเค็ญ นึกไม่ถึงว่าจะมีเงินมากกว่านางเสียอีก นางลูบอกตัวเองอย่างปลอบใจ “ช่างเถิดๆ เพียงหนึ่งแสนตำลึงเท่านั้น เรายังมีหอหลินจืออยู่ ประเดี๋ยวก็หาคืนมาได้”
สวีซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจและพูดว่า “หอหลิงจือก็เป็นของมารดานางด้วย”
เฉียวอวี้ซีพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง…
ด้านนอกสนามสอบ เฉียวเวยก็เหมือนกับผู้ปกครองหลายคนที่มารอผู้เข้าสอบอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ใช่ว่านางสงบจิตสงบใจไม่ได้ แต่เพราะว่านี่คือครั้งแรกที่นางมาส่งลูกเข้าห้องสอบถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้
หลัวหย่งเหนียนรู้สึกประหม่ายิ่งกว่านาง เหงื่อไหลชุ่มจนเปียกโชก เมื่อหันไปมองดูพ่อแม่คนอื่นๆ ที่แทบจะอยากเข้าไปสอบแทนลูก นับว่านางเป็นคนใจเย็นที่สุดแล้ว
พ่อแม่บางคนไม่ได้มาแต่ส่งคนใช้มาแทน ข้างๆ นางก็มีสาวใช้น่าตาน่ารักสวมเสื้อกั๊กสีเขียวคนหนึ่งคอยมองส่องเข้าไปด้านในด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ตลอด
“ทำไมนายน้อยยังไม่ออกมาอีก” สาวใช้พึมพำ
เฉียวเวยบอกอย่างใจดี “มีการสอบสองวิชา เที่ยงถึงจะออกมาได้”
สาวใช้ยิ้มขอบคุณ รู้สึกดีกับนางขึ้นมาเล็กน้อย “จริงสิ ฮูหยิน สุนัขของท่านไปไหนแล้ว” นางจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่นางเดินมาจากเหลาสุรา นางเห็นสุนัขสีขาวตัวเล็กน่ารักอยู่ในอ้อมแขนของนางเพราะสุนัขตัวนั้นทำให้นางเจตนามายืนข้างนาง เหตุไฉนพริบตาเดียวก็หายไปแล้วเล่า
“เสี่ยวไป๋ แปดบวกเก้าได้เท่าไร” วั่งซูกระซิบเสียงแผ่วเบาในห้องสอบ
เสี่ยวไป๋นั่งขัดสมาธิ มันนับเส้นขนของตัวเอง หนึ่ง สอง สามและสี่…แปด บวก หนึ่ง สอง สามและสี่…เก้า ทั้งหมด หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบเจ็ดเส้น
“เสี่ยวไป๋ สิบลบสามเท่ากับเท่าไร”
หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบ ดึงออก หนึ่ง สอง และสาม เหลือ หนึ่ง สอง สาม สี่…เจ็ด
เจ็บนักเชียว!
“เสี่ยวไป๋ เก้าลบสิบเป็นเท่าไร”
หนึ่ง สอง สาม สี่…เก้า ดึงออก หนึ่ง สองและสาม… เอ๊ะ? ดึงไม่พอนี่นา!
“เสี่ยวไป๋ ยี่สิบลบหนึ่งร้อยเป็นเท่าไร”
หนึ่งร้อย…
เสี่ยวไป๋ผู้กำลังถอนขนอย่างเจ็บปวด น้ำลายฟูมปาก ล้มสลบกับพื้น!
ตอนเที่ยง เด็กๆ ทยอยออกจากห้องสอบทีละคน มีเจ้าหน้าที่และทหารคอยรักษาความสงบเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระเบียบ
สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียวไปรับนายน้อยของนาง ช่วยถือห่อหนังสือกับถุงน้ำให้นายน้อย “นายน้อยลำบากแล้ว”
เฉียวอวี้ฉีเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจนาง เขาเดินแกว่งแขนไปด้านหน้า พอผ่านเฉียวเวยก็จำได้ว่านางคือสตรีที่ช่วยชีวิตเขาจากม้าในครั้งนั้น ดวงตาของเขาพลันเป็นประกายทันที “พี่สาว?”
เฉียวเวยก็จำเขาได้เช่นกัน “เจ้านี่เอง พ่อหนุ่มน้อย”
หลัวหย่งเหนียนเดาะลิ้น คนรู้จักอีกแล้วหรือ
สาวใช้มองเฉียวเวยกับเฉียวอวี้ฉีอย่างแปลกใจ “นายน้อย ท่านรู้จักนางด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉียวอวี้ฉีพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มาเรียกนงนางอะไร ให้เกียรติด้วย นี่คือผู้มีพระคุณของข้า!”
เฉียวเวยอดหัวเราะไม่ได้ บีบแก้มเขาเบาๆ “นายน้อยหรือ อายุเท่าใดกันก็ได้เป็นนายแล้ว เก่งไม่เบานี่นา”
“ฮ่าๆ” เฉียวอวี้ฉีไม่โกรธที่โดนนางบีบแก้ม เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่อาศัยอยู่ที่ใด ข้าขอไปเล่นที่บ้านท่านได้หรือไม่!”
เฉียวเวยพูดยิ้มๆ “ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”
“ท่านมาจากนอกเมืองหรอกหรือ คืนนี้ท่านมีที่พักหรือไม่ เหตุใดมิไปพักบ้านข้าเล่า! ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย ถ้าท่านแม่ได้พบท่านคงดีใจมากแน่!”
เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ไม่รบกวนเจ้าหรอก พวกเราพักที่โรงเตี๊ยม”
เฉียวอวี้ฉีรู้สึกผิดหวังมาก กว่าเขาจะได้พบคนที่ถูกใจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไม่นานอาเซิงก็ออกมาพร้อมกับซาลาเปาน้อยสองก้อน
“ท่านแม่!”
วั่งซูปล่อยมือของอาเซิง โถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเวย นางไม่เห็นท่านแม่ตลอดยามเช้า คิดถึงแทบแย่!
น้องสาวสุดน่ารัก!
ดูเหมือนว่าเฉียวอวี้ฉีจะค้นพบโลกใบใหม่ เขาเอื้อมมือไปบีบแก้มเล็กๆ ของวั่งซู นุ่มนิ่มเหลือเกิน!
บีบ บีบ บีบ บีบอีก
วั่งซูมองพี่ชายแปลกหน้าอย่างแปลกใจ แต่พี่ชายประหลาดคนนี้กลับมองท่านแม่แล้วเลิกคิ้วยิ้มแย้มบอกว่า “พวกเขาเป็นลูกของท่านหรือ สอบพรุ่งนี้ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”