หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 74-2 กักไว้ใต้อ้อมแขน
ตอนที่ 74-2 กักไว้ใต้อ้อมแขน
หลุมเล็กๆ หลายหลุมถูกขุดไว้บนพื้น วั่งซูใช้นิ้วโป้งดีดลูกแก้วให้เข้าหลุม ท่าทางสนุกมาก
นางสนุกสนานมากจนไม่ได้สังเกตว่ามารดาเดินเข้ามาในลานบ้านแล้ว
เฉียวเวยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย นางเป็นห่วงเจ้าเด็กคนนี้แทบแย่ กลัวว่านางถูกสือชีอุ้มไปอย่างกะทันหันจะรู้สึกไม่คุ้นเคยจนหวาดกลัว โศกเศร้าเสียใจคิดถึงมารดา นางถึงขั้นเตรียมตัวมากอดปลอบนางเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่า…ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นอย่างสิ้นเชิง?
“วั่ง…”
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยเรียก วั่งซูก็ดีดลูกแก้วลงหลุม นางกระโดดพลางตะโกนเสียงดังอย่างดีใจ! นางยิ้มร่าแล้วกระโดดโหยงเหยงไปข้างต้นท้อราวกับกระต่ายสีขาวตัวเล็กๆ ใต้ต้นท้อจีหมิงซิวกำลังนั่งอ่านม้วนตำราไม้ไผ่อยู่บนเก้าอี้หวาย “ท่านลุงหมิง ข้าดีดลงทุกลูกเลยเจ้าค่ะ! ข้าเก่งหรือไม่”
จีหมิงซิวยกริมฝีปากยิ้มบาง ความอ่อนโยนที่อธิบายไม่ถูกแผ่ออกมาจากดวงตา “เก่งมาก”
วั่งซูมีความสุขยิ่งนัก การได้รับคำชมจากลุงหมิงทำให้นางมีความสุขมากกว่าดีดลูกแก้วลงหลุม!
วั่งซูกระโดดกลับมาเล่นลูกแก้วต่อ
แต่เฉียวเวยมิอาจละสายตาจากจีหมิงซิว เขาสวมอาภรณ์สีขาวเรียบๆ ทับด้วยเสื้อคลุมตัวโปร่งสีฟ้าอ่อนด้านนอก ผืนผ้าโปร่งบางต้องสายลมปลิวไสวอย่างเชื่องช้า ภาพนั้นช่างบริสุทธิ์และสง่างาม กลีบดอกท้อสีขาวอมชมพูบนต้นท้อแกว่งไกวตามลม คนอยู่ท่ามกลางบุปผา ทว่างามกว่าบุปผา
ดั่งคำเคยกล่าวไว้ ผ่านทางพบคนงามดั่งหยก บุรุษเก่งกาจเป็นหนึ่งมิมีสอง
เฉียวเวยหายใจติดขัดชั่วครู่ คนผู้นี้ทำไมถึงเกิดมาดูดีเพียงนี้…
“เจ้ามาแล้ว” จีหมิงซิววางม้วนตำราไม้ไผ่ลง สายตามองเฉียวเวย เสียงของเขาไม่ร้อนรนแต่ก็ไม่เฉื่อยชา สีหน้าทั้งไม่ขุ่นเคืองทั้งไม่เฉยชา ราวกับว่าเป็นเฉกเช่นเดิม แต่หากพินิจอย่างละเอียดก็ยังสังเกตเห็นท่าทีรักษามารยาทของเขา การทำตัวเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ในสายตาของเฉียวเวยกลับทำให้รู้สึกถึงรสชาติของความเหินห่างอย่างชัดเจน
ท่าทีของเฉียวเวยจึงสุภาพและเหินห่างมากขึ้นบ้าง “วั่งซูซุกซน รบกวนคุณชายแล้ว ข้ามาพานางกลับเจ้าค่ะ”
เรียกคุณชาย โดยไม่เอ่ย ‘นาม’ ของเขาอีกแล้ว
ท่าทีของจีหมิงซิวเริ่มเย็นชาขึ้นหลายส่วน “อืม”
เขาหยิบม้วนตำราไม้ไผ่ขึ้นมาอ่านต่อโดยไม่มองเฉียวเวยอีก
เฉียวเวยไม่สนใจเขาอีก นางเดินไปอุ้มวั่งซู
หมิงอันที่มองอยู่ด้านข้างรู้สึกร้อนใจมาก พวกท่านสองคนเล่นแง่อะไรกัน เล่น แง่ อัน ใด กัน ขอรับ!
สนุกนักหรือ อายุเท่าไรกันแล้ว แต่ทำตัวเหมือนเด็กน้อยสองคน!
“เป็นความผิดของเจ้า! อยู่ๆ ก็ปากมาก เล่าเรื่องการหมั้นระหว่างใต้เท้ากับคุณหนูจวนเอินปั๋ว คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า สองคนงัดข้อกันแล้ว!”
ลี่ว์จูถลึงตามองเขาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าจะตำหนิข้าได้เช่นไร ทั้งเมืองหลวงรู้เรื่องการแต่งงานระหว่างใต้เท้ากับจวนเอินปั๋ว ข้าคิดว่านางรู้เรื่องนี้”
“เจ้ามันปากมาก!” หมิงอันขุ่นเคืองลี่ว์จูมาก!
“หาก…เข้าใจผิด อธิบายให้ชัดเจนก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ ผู้หญิงง้อง่าย…”
“ง้อหรือ” หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ย่ำแย่ หมิงอันคงหัวเราะไปแล้ว นิสัยเย่อหยิ่งอย่างใต้เท้าจะให้เขาไปง้อสตรีที่กำลังเง้างอนหรือ ส่งเขาไปตายยังจะดีกว่า!
แม้แต่เหล่าฮูหยินเขายังไม่เคยง้อ!
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของเฉียวฮูหยินก็ทำร้ายจิตใจคนไม่น้อย อะไรคือ ‘ข้ามิได้เป็นอันใดกับนายท่านของเจ้า ข้าเป็นเพียงสหายของสือชีเท่านั้น’ ‘ผู้ชายของข้าออกไปค้าขายอยู่ข้างนอก หากวันหน้ากลับมาได้ยินข่าวลืออันใดเข้า ต่อให้ข้ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่ออก’
ผู้ใดมิทราบบ้างว่าผู้ชายของนางตายแล้ว
“ฮัดชิ่ว!” จีหมิงซิวที่อยู่ใต้ต้นท้อจามโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
บุรุษที่เย่อหยิ่งเช่นใต้เท้าจะรับได้หรือที่สตรีปฏิบัติกับเขาเช่นนี้
เว้นแต่สมองของเขาจะเลอะเลือน
“ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!”
จีหมิงซิวจามสามครั้งติดกัน!
“คิกๆ” เฉียวเวยอดหัวเราะไม่ได้
เมื่อเห็นบุรุษผู้วางท่าเย็นชาสูงส่งจามออกมาเสียงดัง กลับกลายเป็นว่าภาพนั้นค่อนข้างดูน่ารัก
จีหมิงซิวนั่งตัวตรงแสร้งทำนิ่งเฉยราวกับไม่รู้ว่าเฉียวเวยขำตนเอง ยังคงอ่านม้วนตำราไม้ไผ่ในมือต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
ขณะที่เฉียวเวยเดินผ่านเขาก็เหลือบมอง โชคดีนักที่ตั้งแต่มาถึงยุคโบราณนางเรียนรู้คำศัพท์ได้หลายคำแล้ว ในที่สุดก็เอาคืนเขาได้ครั้งหนึ่ง
นางก้มตัวลงเล็กน้อย “คุณชาย ตำราของท่านกลับหัวเจ้าค่ะ”
สีหน้าของจีหมิงซิวน่าดูชมมากทีเดียว
…
วั่งซูหยุดเล่นลูกแก้ว นางวิ่งตึงตังเข้ามาแล้วยื่นมือเล็กๆ ไปแตะหน้าผากของจีหมิงซิว เหมือนเช่นที่ท่านแม่มักจะทำให้ตนเอง จากนั้นถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านลุงหมิง ท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ”
ไม่รู้เหตุใด เฉียวเวยจึงอยากหัวเราะมากกว่าเดิม
แต่ไม่นานนางก็หัวเราะไม่ออก
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านลุงหมิงป่วย พวกเราอยู่ดูแลเขาได้หรือไม่เจ้าคะ”
ไม่ได้!
ดวงตาเล็กๆ ของวั่งซูเต็มไปด้วยความคาดหวังและความไร้เดียงสา เฉกเช่นเมื่อครั้งนางทะลุมิติมายังต่างโลกแล้วลืมตาขึ้นมาเห็นเด็กน้อยผู้น่าสงสาร หัวใจถูกสะกิดเบาๆ จนอ่อนยวบ เฉียวเวยพูดปฏิเสธไม่ออก
“เรารบกวนลุงหมิงไม่ได้”
“ลี่ว์จู ไปทำความสะอาดห้อง”
สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน วั่งซูเมินคำพูดของมารดาตนทันที ร่างเล็กจ้อยวิ่งว่องไวออกจากลานบ้าน “ท่านพี่! ท่านพี่! คืนนี้พวกเราจะได้ค้างกับท่านลุงหมิง!”
“ท่านแม่เห็นด้วยแล้วหรือ”
“เห็นด้วยแล้ว เห็นด้วยแล้ว!”
ถึงมารดาจะพูดอะไรนางก็ไม่ได้ยินแล้ว!
เฉียวเวยที่โดนลูกสาวมัดมือชกก็มีสีหน้าน่าดูชมเช่นกัน
คืนนั้นทุกคนพักในเรือนสี่ประสาน
เป็นครั้งแรกที่เฉินต้าเตาได้เข้ามาในเรือนที่สะอาดและสวยงามเช่นนี้ ท่าทางเขาเหมือนตาสีตาสาเข้าเมืองกรุง เห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด โดยเฉพาะสาวใช้ที่ทำงานในเรือน แต่ละนางงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ เขาจับจ้องตาค้าง
หลัวหย่งเหนียนดึงหูเขาลากเข้าไปในห้อง
บรรดาสาวใช้หัวเราะครืน
ลี่ว์จูจัดห้องให้พวกเขาสามห้อง เฉียวเวยกับลูกแฝดสองคนคงอาศัยอยู่ที่เรือนตะวันออกเหมือนเดิม หลัวหย่งเหนียนอาศัยอยู่ที่เรือนทิศเหนือเช่นเดิมแต่มีอาเซิงมาพักอยู่ด้วย ส่วนเฉินต้าเตาพักอยู่คนเดียวที่ห้องด้านข้างของพวกเขาสองคน
ห้องหนังสือของของจีหมิงซิวอยู่ถัดจากเรือนตะวันออก ตรงข้ามกับเรือนทิศเหนือ เฉินต้าเตาคิดว่าใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้นั้นเจตนาจัดเตรียมไว้เช่นนี้ เขามีความสุขมาก รู้สึกว่าในที่สุดฮูหยินก็จะได้ดีแล้วหลังจากที่ลำบากมานาน นางใกล้จะได้ครองคู่กับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีแล้ว
“ฮูหยินวาสนาดียิ่งนัก! ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเป็นคนดี!” เฉินต้าเต้ากล่าวด้วยความปลาบปลื้มใจ
หลัวหย่งเหนียนคิดว่าเฉินต้าเตาได้ยินเรื่องที่อัครมหาเสนาบดีลงโทษรองหัวหน้ากองมาจากใครบางคนแล้ว เขาจึงกล่าวว่า “เขาเป็นคนดีจริงๆ ดีกว่ายิ่นอ๋องที่ปกป้องขุนนางชาติสุนัขนั่นมากนัก อย่างน้อยเขาก็ช่วยผดุงความยุติธรรมให้ประชาชน”
“ใช่แล้ว!”
ยิ่นอ๋องคือผู้ใด เฉินต้าเต้ามิรู้จัก
วั่งซูแบ่งลูกแก้วสารพัดสีซึ่งเป็นของเล่นใหม่ให้พี่ชายกับอาเซิง สือชีเป็นคนมอบของเล่นให้ หลุมที่พื้นสือชีก็เป็นคนขุดให้
“พี่สือชีคือพี่ชายที่บินได้ผู้นั้นน่ะหรือ” อาเซิงถามด้วยความอิจฉา
วั่งซูพยักหน้า!
จีหมิงซิวชอบความเงียบสงบ ปกติเวลาทุกคนทำงานจะระมัดระวังกันอย่างมาก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ในจวนมักมีแต่ความเงียบเหงา พอเจ้าก้อนซาลาเปาทั้งคู่มาเยือน เรือนหลังนี้จึงได้ครึกครื้นมีชีวิตชีวา
เด็กสามคนเล่นจนเหงื่อออก ลี่ว์จูเตรียมน้ำไว้ให้ในห้องของพวกเขาทุกคนเพื่อให้พวกเขาอาบน้ำ อาเซิงอาบน้ำด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าก้อนซาลาเปาน้อยทั้งสองมีมารดาเป็นผู้อาบน้ำให้
เฉียวเวยอาบน้ำให้ลูกทั้งสองเสร็จก็ใช้ผ้าแห้งโพกเส้นผมที่เปียกชื้นเอาไว้ ตัวนางเปียกเล็กน้อย จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน
จิ่งอวิ๋นไปปลดทุกข์ ส่วนวั่งซูนั่งเล่นลูกแก้วอยู่บนเตียง นางวางลูกแก้วทีละลูกบนฝากล่อง จัดวางจนเป็นระเบียบเรียบร้อยจากนั้นก็เททั้งหมดลงในกล่อง ต่อมานางก็หยิบขึ้นมาเรียงแล้วเทลงไป ทำซ้ำวนไปมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งร่างหนึ่งมายืนอยู่หน้าเตียง นางจึงหันศีรษะไปมอง “ท่านลุงหมิง!”
ไม่รู้ว่าผ้าบนศีรษะของนางร่วงลงมาเมื่อไร เส้นผมที่เปียกชุ่มตกลงมาคลอเคลียอยู่บนไหล่ทำให้หัวไหล่เปียกชื้น
จีหมิงซิวนั่งลงข้างนาง มือเรียวยาวหยิบผ้าที่ตกบนหัวเตียงขึ้นมาเช็ดผมให้นางอย่างพิถีพิถัน เส้นผมของนางทั้งเบาและนุ่มเหมือนเจ้าของเส้นผม เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักและเอ็นดู
วั่งซูหลับตาลงด้วยความเพลิดเพลิน มือของลุงหมิงช่างอบอุ่น นุ่มและรู้สึกสบายนัก ตอนท่านแม่เช็ดผมของนาง นางเช็ดแรงจนเส้นผมเกือบจะหลุดมาเป็นกระจุก แต่ลุงหมิงไม่ทำขาดแม้แต่เส้นเดียว!
นี่คือการเช็ดผมที่วั่งซูรู้สึกสบายที่สุดเท่าที่เคยมีคนเช็ดให้ หนังศีรษะก็ยังถูกนวดจนรู้สึกอบอุ่น
นางหาวเหมือนลูกแมวที่พออกพอใจ
จีหมิงซิววางผ้าไว้ด้านข้าง “ทานข้าวเย็นอิ่มหรือไม่ ยังอยากทานขนมอีกหรือไม่”
วั่งซูเอียงศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ข้าอยากกินถังหูลู่เจ้าค่ะ แบบที่พี่สือชีซื้อมา”
“ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปซื้อให้”
“ไม่ต้องรบกวนพวกเขาหรอกเจ้าค่ะ” เฉียวเวยแต่งตัวเรียบร้อยเดินออกจากห้องน้ำ “คุณชายบอกสถานที่มา ข้าจะไปซื้อเอง”
นางเพิ่งถูกรมด้วยไอน้ำร้อน ผิวของนางจึงเปล่งปลั่งเป็นสีชมพูอ่อน ดวงตามีม่านน้ำบางๆ เป็นประกายระยิบระยับ แลดูงดงามจับใจ
จีหมิงซิวเหลือบมองนาง แล้วกล่าวว่า “ก็ดี ข้ากำลังจะกลับจวน ถือโอกาสพาเจ้าไปด้วย”
เฉียวเวยขึ้นรถม้าของเขา มีหมิงอันเป็นสารถี
ท้องฟ้ามืดสนิทแต่ภายในรถม้าสว่างไสวด้วยแสงของมุกราตรี เขาอ่านตำรา ขณะที่เฉียวเวยมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีใครพูดอะไร
ร้านที่สือชีซื้อถังหูลู่เป็นร้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ห่างไกล แต่ด้วยรสชาติดี จึงทำให้มีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำจำนวนมาก
รถม้าไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นจีหมิงซิวจึงลงจากรถแล้วพาเฉียวเวยเข้าไปข้างใน ลัดเลาะผ่านตรอกเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกันเจ็ดถึงแปดเส้น ในที่สุดก็พบร้าน
“กี่ไม้ขอรับฮูหยิน” เถ้าแก่ถามอย่างใจดี
เฉียวเวยครุ่นคิดแล้วหันไปถามจีหมิงซิว “ที่บ้านท่านมีเด็กหรือไม่”
“ข้ายังไม่ได้แต่งงาน” เขาตอบ
เฉียวเวยสำลัก “ท่านคิดไปถึงไหน ข้าถามว่าที่บ้านท่านมีหลานๆ อายุน้อยอยู่หรือไม่” ในเมื่อท่านย่าของเขายังแข็งแรงอยู่ ญาติทั้งหลายก็น่าจะยังไม่แยกเรือน เขาก็อายุไม่น้อยแล้ว พี่ๆ น้องๆ น่าจะมีลูกกันบ้างกระมัง
“ไม่มี”
ก็เพราะไม่มีเลยสักคน เหล่าฮูหยินจึงต้องบังคับให้เขาแต่งงานเพื่อที่นางจะได้มีหลานตัวน้อย
เฉียวเวยซื้อถังหูลูสี่ไม้ จากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับทางเดิม เขาเดินอยู่ด้านหน้า เฉียวเวยถือถังหูลู่เดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล หากไม่ทราบคงคิดว่าพวกเขาไม่รู้จักกัน
หลังจากเดินไปได้สักพัก ขณะที่กำลังจะเดินถึงถนนอันคึกคัก จู่ๆ จีหมิงซิวก็แว่วเสียงบางอย่าง เขาหรี่ตาลงแล้วหยุดฝีเท้า เฉียวเวยไม่ทันเข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็เห็นเขาหันกลับมาใช้มือปิดปากนางไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งโอบเอวกับแผ่นหลังของนาง เหวี่ยงนางมาติดกำแพงอย่างแรง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เขาแข็งแรงมาก โชคดีที่มีแขนของเขารองอยู่ มิเช่นนั้นเฉียวเวยก็สงสัยจริงๆ ว่าตนเองจะถูกเขาเหวี่ยงชนกำแพงจนร่างแหลกเหลวหรือไม่
เฉียวเวยเบิ่งตาโตอย่างตื่นตระหนก
เจ้าหมอนี่จะทำอะไร คงไม่ได้หื่นกามขึ้นมากะทันหันหรอกนะ…คิดจะทำมิดีมิร้ายนางที่นี่หรือไร
“อย่าขยับ”
เขากระซิบ
กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาโอบล้อมรอบตัวเฉียวเวย เฉียวเวยอยู่นิ่งไม่ไหวติง
จากนั้นก็เห็นเขาปล่อยมือ ก้มศีรษะลงมาจนชิดริมฝีปากของนาง
เฉียวเวยแทบลืมหายใจ หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุดราวกับว่ามีละมั่งตัวหนึ่งเข้าไปวิ่งอยู่ในนั้น โลกเงียบไปในบัดดล ในหูได้ยินเพียงเสียงเต้นของหัวใจตนเอง
นางหลับตาพริ้มอย่างควบคุมไม่ได้
ทว่าผ่านไปนานหลายอึดใจ สิ่งที่คิดไว้ก็ไม่เกิดขึ้น นางลืมตาข้างหนึ่ง จากนั้นก็ลืมตาอีกข้างหนึ่ง เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย เขาขยับเข้ามาชิดใบหน้าของนางมากก็จริงแต่มันเป็นเพียงการใช้ท่าทางแสร้งทำให้เข้าใจผิดเท่านั้น เขาไม่ได้จะทำอันใดกับนางจริงๆ
“เจ้าเด็กร้ายกาจนั่น! ไปตายที่ไหนแล้ว!”
เสียงหวานฟังดูสูงศักดิ์ของสตรีนางหนึ่งดังมาจากถนนไม่ไกลนัก “ข้าเห็นเจ้าแล้วแท้ๆ เจ้ายังจะหลบอีกหรือ ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เฉียวเวยกะพริบตา เกิดอะไรขึ้น
“หมิงอัน! เจ้าก็จะหลบหน้ากูหน่ายนายด้วยหรือ!”
นางรู้จักหมิงอันด้วย!
เสียงหัวเราะแห้งๆ ของหมิงอันดังขึ้น “เอ๋ กูหน่ายนายมิใช่หรือขอรับ ไม่ได้เจอไม่กี่วันท่านงามขึ้นอีกแล้ว! ข้าน้อยเกือบจำท่านไม่ได้!”
“เจ้าคนลิ้นไม่มีกระดูก! ปากดีกับกูหน่ายนายให้มันน้อยๆ หน่อย! เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ใด ไปหลบที่ไหนแล้ว” สตรีนางนั้นดึงใบหูของหมิงอัน
หมิงอันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “กูหน่ายนาย! กูหน่ายนายที่เคารพของข้า! ท่านโปรดใจเย็นๆ ก่อนขอรับ! หูของข้าน้อยจะถูกท่านดึงขาดแล้ว!”
สตรีนางนั้นเพิ่มแรงบิดมากขึ้นอีก “เจ้าจะพูดความจริงหรือไม่ หากไม่พูด วันนี้ข้าจะดึงหูทั้งสองข้างของเจ้าให้ขาด!”
หมิงอันเจ็บจนน้ำตาแทบไหล “กูหน่ายนายโปรดไว้ชีวิตด้วย! ข้าน้อยบอกแล้ว! บอกแล้ว! ข้าน้อยจะบอกทุกอย่างเลยขอรับ!”
สตรีนางนั้นส่งเสียงฮึดฮัด “เจ้าเด็กนั่นอยู่ไหน”
หมิงอันตอบหน้าเศร้า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”
“เจ้ายังจะปากแข็งอีก!” สตรีนางนั้นดึงหูเขาอีกครั้ง
ร่างกายของหมิงอันเกร็งไปทั้งตัว “โอ้ย โอ้ย จะขาดจริงๆ แล้วขอรับกูหน่ายนาย! หูข้าน้อยขาดมิเป็นไร แต่ทำให้มือของท่านสกปรกมันจะไม่ดีนะขอรับ!”
“พูดความจริง!” หญิงสาวตวาด
หมิงอันพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าน้อยพูดความจริงขอรับ ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าคุณชายหายไปไหน”
สตรีนางนั้นชี้ไปที่ม่านรถม้า “รถม้าของเขาอยู่นี่ คนจะไปไหนไกล”
หมิงอันพูดทั้งน้ำตา “ใต้เท้าไม่ได้อยู่บนรถม้าขอรับ ข้าน้อยกลับจวนคนเดียว”
หญิงสาวยิ้มเย็น “เหล่าฮูหยินกับคู่หมั้นกำลังรออยู่ที่จวน เขาจะไม่กลับไปหรือ เขาผิดนัดข้าเพราะจะแล่นไปหานางจิ้งจอกน้อยนั่นหรือ”
จิ้งจอก? กำลังพูดถึงเฉียวอวี้ซีหรือ เจ้าหมอนี่รีบกลับจวนไปหาเฉียวอวี้ซีเช่นนั้นหรือ
หมิงอันโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่ ไม่ ไม่ กูหน่ายนาย ข้าน้อยเอาหัวเป็นประกันกับท่าน คุณชายไม่มีทางผิดนัดท่านเพราะนางจิ้งจอกนั่นแน่ขอรับ เขาไม่มีทางไปพบนางหรอกขอรับ!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกมาว่าเขาไปทำอันใด” หญิงสาวถามอย่างหยิ่งยโส
หมิงอันแตะใบหูที่โดนดึงจนบวม กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจอคนที่อยู่ในตรอกเข้าจึงขยับร่างมาบังอย่างแนบเนียนแล้วยิ้มแหย “คุณชาย…เขามีธุระสำคัญที่ต้องทำ ส่วนจะเรื่องใดนั้น ข้าน้อยไม่สะดวกบอกท่านขอรับ แต่คุณชายไม่ได้กลับจวนไปหาแม่จิ้งจอกน้อยนั่นจริงๆ คุณชายสั่งให้ข้ากลับไปบอกเหล่าฮูหยินว่าคืนนี้ไม่กลับจวนขอรับ”
สตรีนางนั้นมองเขาอย่างสงสัย “เจ้าไม่ได้โกหกข้าหรือ”
หมิงอันตบหน้าอกแล้วพูดว่า “กูหน่ายนาย ต่อให้ต้องโกหกพระโพธิสัตว์ ข้าน้อยก็ไม่กล้าปดท่าน!”
สตรีนางนั้นจิ้มศีรษะของหมิงอัน “หากข้าหาหมิงซิวพบแถวนี้ เจ้าเตรียมตัวหิ้วศีรษะของตัวเองมาให้ข้าได้เลย!”
ทันทีที่นางพูดจบก็มีเสียงฝีเท้ารวดเร็วดังขึ้นที่ปากทางเข้าตรอก ฟังออกว่านางกำลังเดินมาทางเฉียวเวยกับจีหมิงซิว
ร่างของจีหมิงซิวแข็งทื่อทันที เขาหันหลังให้ปากทางเข้าตรอกอยู่ สตรีนางนั้นจึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่หากคุ้นเคยพอ อาศัยเพียงรูปร่างก็คงจะจดจำได้
“หมิง…”
นางไม่ทันจะอ้าปากพูดจบประโยค เฉียวเวยก็ยกมือที่แข็งทื่อไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดีตลอดเวลาเมื่อครู่ขึ้นมากอดจีหมิงซิว แล้วพลิกร่างกลับมาเป็นฝ่ายกักเขาไว้ระหว่างอ้อมแขนกับกำแพง!