หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 76-1 ประกาศรายชื่อบนป้ายทอง
ตอนที่ 76-1 ประกาศรายชื่อบนป้ายทอง
เฉียวเวยซื้อของดีจากเมืองหลวงกลับมาฝากมากมาย นางมอบสุราเหลืองให้ป้าหลัวหนึ่งไห เมื่อหลายปีก่อนบิดาของป้าหลัวเคยรับเหมาทำบ่อปลา ตอนนั้นนางยังเป็นสาวรุ่นอยู่ นางมักช่วยบิดาทำบ่อปลา ตกกลางคืนเหน็ดเหนื่อยนัก นางก็นอนในเพิงข้างบ่อปลา หลายปีผ่านไปจึงมีความชื้นสะสมอยู่ในร่างกาย นางไปหาหมอเพื่อรักษาความชื้นสะสมในร่าง แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลประการใด อาการมือเท้าเย็นจึงยังหลงเหลือมาจนถึงวันนี้ หมอแนะนำให้ดื่มสุราเหลืองเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นและกระตุ้นเลือดลม นางดื่มมาเรื่อย แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นโรคติดสุรา ก่อนกินข้าวทุกมื้อต้องดื่มหนึ่งจอก
ลุงหลัวไม่ดื่มสุรา เขาดื่มชาที่พี่จ้าวแถมให้ครั้งที่แล้ว นางใช้ชาดำทำไข่เยี่ยวม้า ส่วนชาเขียวทั้งหมดมอบให้ลุงหลัว ครั้งนี้นางซื้อชาหลงจิ่งสองกล่องจากเมืองหลวงมาให้เขาด้วย
นางมอบชาหลงจิ่งให้กับหลัวหย่งจื้อเช่นกัน เขาชอบดื่มชาเหมือนผู้เป็นพ่อ
ของชุ่ยอวิ๋นเป็นยาเกล็ดหิมะกล่องหนึ่ง จริงๆ แล้วชุ่ยอวิ๋นเป็นคนสวยมาก เครื่องหน้าพอเหมาะพอดี คิ้วเข้มรับกับดวงตาคู่โต ทว่าใบหน้านางต้องตากแดดตลอดทั้งปี ผิวของนางจึงหยาบกร้านและดำคล้ำไปบ้าง ครั้งล่าสุดที่เฉียวเวยเห็นนาง แขนของนางถูกแดดเผาจนผิวไหม้ นางเห็นแล้วปวดใจนัก
สุดท้ายสำหรับหลานชายตัวน้อย นางให้ชุดผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มสี่ชุด เป็นชุดที่ใส่ตอนนี้สองชุดและชุดสำหรับใส่ในวันที่อากาศร้อนอีกสองชุด
ป้าหลัวมองสิ่งของที่กองเต็มไปหมดแล้วพูดไม่ออก “เฮ้อ เจ้านี่นะ…มันมากเกินไปแล้ว เจ้าบอกว่าเงินของเจ้าไม่ได้หล่นมาจากฟ้า แล้วเจ้าจะซื้ออะไรมามากมาย”
เฉียวเวยรู้อยู่แก่ใจว่าป้าหลัวไม่ได้แสร้งกล่าวตามมารยาท แต่นางเสียดายแทนที่เฉียวเวยใช้เงินมากมาย เฉียวเวยจึงยิ้มตอบนาง “ข้าไม่ได้ซื้อทุกวันเสียหน่อย นานๆ จะได้ไปเมืองหลวงสักครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้ไปอีกเมื่อใด ย่อมต้องซื้อของดีๆ กลับมาด้วยสิ!”
“แล้วของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเล่า” ป้าหลัวไม่ลืมถามถึงของที่ซื้อให้เจ้าซาลาเปาน้อยสองคน
เฉียวเวยยิ้มแล้วตอบว่า “ซื้อให้พวกเขาแล้วเจ้าค่ะ”
เวลาซื้อของนางย่อมคิดถึงเจ้าก้อนซาลาเปาคู่นั้นก่อนอยู่แล้ว นางไม่ใช่คนทำดีเอาหน้า มอบของดีๆ ให้คนอื่น แต่กลับปล่อยให้ลูกของตัวเองอิจฉา
เดิมทีที่ป้าหลัวรับเสี่ยวเวยเป็นลูกบุญธรรม เพราะนางเห็นว่าเป็นเป็นหญิงม่ายน่าสงสาร ไร้ที่พึ่งพึง ไม่มีรายได้อะไรนักและมักจะโดนน้าหลิวรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะเก่งกาจขึ้นมาเช่นนี้ ตอนนี้ใช่ตนดูแลนางที่ไหน นางต่างหากเป็นฝ่ายจุนเจือตน
“จริงสิ เมื่อคืนพวกเจ้าพักที่ไหนหรือ”
“ที่บ้านท่านลุงหมิงของข้าเจ้าค่ะ!”
เสียงแจ๋วๆ ของวั่งซูดังมาจากห้องโถง
มุมปากของเฉียวเวยกระตุก เจ้าเด็กแสบแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน!
“ท่านลุงหมิง?” ป้าหลัวมองเฉียวเวยอย่างมีความนัย “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้ากำลังปกปิดบางอย่างจากข้า! ตอนเจ้าเพิ่งกลับเข้าบ้าน เจ้าดูมีความสุขปานนั้น คิดว่าตัวเองปิดบังได้จริงหรือ!”
เฉียวเวยทำสีหน้าจริงจัง “ข้าเปล่า แม่บุญธรรม นั่นก็แค่สหาย ครั้งนี้ข้าบังเอิญพบเขาจึงไปพักบ้านเขา”
“สหายแบบใด” ป้าหลัวยังไม่เชื่อ ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่กลับพักอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้มัน ชิชะ หากบอกว่ามิได้ถูกตาต้องใจกัน นางมิเชื่อหรอก
เฉียวเวยรีบอธิบาย “แม่บุญธรรม ท่านอย่าเข้าใจผิด พวกเรามิได้พักด้วยกัน เขาไม่ได้ค้างที่นั่น มีแต่พวกเราพักค้างคืนด้วยกัน หย่งเหนียนก็อยู่ที่นั่นด้วย ประเดี๋ยวท่านค่อยไปถามหย่งเหนียนว่าผู้อื่นอยู่ค้างคืนด้วยหรือไม่”
ป้าหลัวโมโหนาง “ตอนเจ้าประหม่า เจ้าจะพูดมาก”
เฉียวเวยปิดปากแน่น
ป้าหลัวถามต่อ “ยังไม่ได้เล่าเลยว่าพวกเจ้าพบกันได้อย่างไร”
เฉียวเวยจิบน้ำเย็น “ท่านยังจำครั้งแรกที่พวกเราไปตั้งแผงขายของในเมืองได้หรือไม่ ที่เผชิญหน้ากับพวกอันธพาลสามคน”
ป้าหลัวพยักหน้า “จำได้ ทำไมหรือ เป็นคนที่เขาส่งมาหรือ”
“แม่บุญธรรม ท่านคิดอะไรอยู่เจ้าคะ” เฉียวเวยรู้สึกขบขันในความคิดของป้าหลัว “ตอนนั้นสารถีผู้นั้นลักพาตัววั่งซูไปมิใช่หรือ จากนั้นก็ได้จอมยุทธ์หนุ่มอายุสิบกว่าปีมาช่วยไว้ จอมยุทธ์คนนั้นก็คือลูกน้องของคุณชายหมิง”
“เจ้า…หมายถึงเจ้าหนุ่มที่ขับเกวียนคนนั้นน่ะหรือ” ยามนั้นป้าหลัวกอดจิ่งอวิ๋นนั่งอยู่ในรถม้า แม้ว่านางจะไม่เห็นตอนวั่งซูถูกช่วยกลับมาด้วยตาของนางเอง แต่นางก็เห็นบุรุษสวมหมวกคนหนึ่งบังคับเกวียนเทียมวัวผ่านไปโดยมีเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำคนหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น แน่นอนนางมารู้ภายหลังว่าทั้งสองคนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตวั่งซูเอาไว้ แต่นางคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะรู้จักเสี่ยวเวย
เฉียวเวยเหมือนรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดจึงกล่าวเสริม “นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราพบกัน ต่อมาพวกเราบังเอิญพบกันสองสามครั้ง”
เฉียวเวยไม่ได้เล่าเจาะจงรายละเอียด ป้าหลัวก็ไม่ได้ถามจนหมดไส้หมดพุง สิ่งที่ป้าหลัวสนใจมากที่สุดก็คือพวกเขาทั้งคู่ต่างก็โสดเหมือนกันหรือไม่ “นี่เป็นโชคชะตาชักนำ เขามีครอบครัวแล้วหรือยัง”
เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก “นับว่ามีกระมัง เขาหมั้นหมายแล้ว”
“อนิจจา” ป้าหลัวถอนหายใจ “เช่นนี้ก็ไม่มีหวังแล้ว”
“ไม่มีหวังก็ไม่มีหวังสิ” เฉียวเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ
เสียงร้องของทารกดังมาจากในห้องโถง ป้าหลัวออกไปดู ชุ่ยอวิ๋นเดินลนลานออกมาจากห้องที่นางกับหลัวหยงจื้ออยู่ ระหว่างที่เดินก็กลัดกระดุมตรงหน้าอก แล้วอุ้มลูกด้วยใบหน้าแดงก่ำ “มาแล้ว มาแล้ว”
จากนั้นก็อุ้มลูกเข้าไปให้นม
“อย่ากวนสิ ลูกกำลังกินนะ!” นางเอ็ดเสียงเบา น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเล็กน้อย
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไม่มีน้องชายตัวน้อยให้เล่นด้วยแล้ว พวกเขาจึงหยิบลูกแก้วที่ลุงหมิงมอบให้ออกมามาเล่นบนพื้น
“อย่าวิ่งซนเล่า” ป้าหลัวกำชับทั้งสองคน พวกเขารับคำเป็นอย่างดี ป้าหลัวจึงกลับไปในห้องแล้วคุยกับเฉียวเวยต่อ “เสี่ยวเวย เจ้าดูสิ เจ้ายังสาวยังแส้ จะอยู่เช่นนี้ไปทั้งชีวิตมิได้นะ ถึงอย่างไรก็ต้องหาบุรุษสักคน”
หาผู้ชายสักคนหรือ นางก็อยากได้เหมือนกัน แต่นางไม่พบผู้ชายที่เหมาะสมจะให้ทำเช่นไร นางไม่อยากแต่งงานเพราะต้องแต่งงาน หากนางมีความคิดเช่นนั้น ชีวิตก่อนนางคงแต่งงานไปแล้ว
“ข้าไม่เคยบอกเจ้า ความจริงมีคนมาถามเรื่องเจ้ากับข้า” ป้าหลัวกล่าว
“ผู้ใดเจ้าคะ” เฉียวเวยถาม
ป้าหลัวยิ้ม “คนที่เจ้ารู้จัก สวีต้าจ้วง”
เฉียวเวยประหลาดใจ “พี่ต้าจ้วงหรือ ข้าไม่ได้พบเขานานแล้ว เขาถามถึงข้าเมื่อใด”
ป้าหลัวไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก กล่าวต่ออีกว่า “ก็เจ้าชวนเขาทานข้าวเองมิใช่หรือ เขาจึงคิดว่าพวกเจ้าสองคนใจตรงกัน”
เฉียวเวยพูดไม่ออก นี่มันจะ…จะน้ำเน่าเกินไปแล้วกระมัง
นางชวนเขาอยู่กินข้าวเพราะบังเอิญถึงเวลาอาหารพอดี นางเตรียมอาหารไว้แล้ว เขาช่วยนำเงินที่ขายเสือได้มามอบให้นาง นางเพียงทำไปตามมารยาทเท่านั้น แค่นี้ก็ถือว่านางชอบเขา แล้วเขาก็ดันชอบนางตอบเสียอย่างนั้นหรือ
เฉียวเวยขมวดคิ้ว คิดอะไรบางอย่าง “ที่น้าหลิวไปเล่าว่าข้านอนกับเขาแล้ว เพราะรู้ว่าเขาถามเรื่องข้าอยู่ใช่หรือไม่”
“นั่นไม่จริง ปากอย่างน้าหลิวพูดกลับดำเป็นขาวอยู่แล้ว นางชอบสร้างปัญหา ต้าจ้วงพูดกับข้าคนเดียว แต่ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นจึงปฏิเสธเขาไปแล้ว” ป้าหลัวเหลือบมองเฉียวเวย “คงไม่ว่านะที่ข้าไม่ได้บอกเจ้า”
เฉียวเวยรีบตอบ “ไม่ ไม่มีทาง ท่านวางใจเถิด”
ป้าหลัวนึกทบทวนอย่างละเอียด “สุ่ยเซิงจากหมู่บ้านของเราก็เคยมาถามเรื่องเจ้า ข้ารังเกียจที่เขาเป็นคนไม่เอาการเอางานจึงปฏิเสธไปแล้ว ยังมีหยางเฉวียจื่อที่ถามเรื่องเจ้า แล้วก็ยังมีจางอาหนิว…”
นางร่ายรายชื่อยาวสิบกว่าคนรวดเดียว ทำเอาเฉียวเวยตกตะลึง
นางเป็นเพียงหญิงม่ายคนหนึ่ง มีคนสนใจนางมากขนาดนี้เชียวหรือ
ป้าหลัวคำราม “พวกเขาไม่ดูตัวเองบ้างหรือไร คู่ควรกับเจ้าที่ไหน”
คงคิดว่านางเป็นม่าย หาคู่ครองยาก จึงคิดว่าเพียงมีคนยอมแต่งงานกับนางก็ถือเป็นวาสนาของนางแล้วสินะ พวกปิตาธิปไตยเฮงซวย!
สิ่งที่ควรกล่าวสักหน่อยก็คือป้าหลัวมีความคิดแตกต่างจากสตรียุคศักดินาส่วนใหญ่ นางไม่คิดว่าเฉียวเวยมีลูกแล้วก็สมควรหาผู้ชายส่งๆ มาสักคนอย่างขอไปที ในสายตาของนาง เฉียวเวยทั้งหน้าตาสะสวย รู้ความ มีความสามารถ กตัญญู ดีกว่าแม่นางทั้งหลายทุกคนในหมู่บ้าน บุรุษที่ได้แต่งงานกับสตรีเช่นนี้จึงเป็นผู้มีวาสนาอย่างแท้จริง
นางมองเฉียวเวยแล้วบอกด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเวย วันหลังข้าจะลองไปถามแม่สื่อในเมือง บุรุษในเมืองน่าจะมีคนที่คุณสมบัติดีไม่น้อย”
การคลุมถุงชนความจริงก็คล้ายกับการปลอมรูปถ่ายในสมัยใหม่ ไม่ว่าจะมีหน้าตาเช่นไร นิสัยเช่นไร ล้วนอาศัยคารมของแม่สื่อทั้งสิ้น
เฉียวเวยส่ายศีรษะ “อย่าดีกว่าเจ้าค่ะ แม่บุญธรรม การแต่งงานบังคับกันไม่ได้ เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘ยามชะตาลิขิตให้มีย่อมต้องมี ยามชะตาลิขิตให้ไม่มีจงอย่าฝืนไขว่คว้า’ หรือไม่”
ป้าหลัวถลึงตาใส่นาง “คำพูดบ้าบออันใด เจ้าจะไม่มีได้อย่างไร”
เฉียวเวยยิ้มแห้ง “ข้าเพียงเปรียบเปรยเท่านั้น”
ป้าหลัวยังอยากจะโน้มน้าวให้เฉียวเวยใจอ่อน แต่ป้าจ้าวมาพอดี
เฉียวเวยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ขืน ‘ถูกไล่ต้อนให้แต่งงาน’ ต่อ นางคาดว่านางคงต้องหลบหน้าป้าหลัวเหมือนกับที่คุณชายหมิงหลบหน้าพี่สาวของเขา
ป้าจ้าวมาถามเรื่องการสอบของอาเซิง “…ถามอะไรไปเด็กนั่นก็ไม่ตอบ ข้ากังวลว่าเขาจะสอบได้คะแนนไม่ดีหรือไม่”
เฉียวเวยรู้สึกว่าอาเซิงมิได้สนใจการสอบเสินถงมากนัก ตอนขาไปวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นตื่นเต้นมาก แต่เขาดูหนักใจ หลังสอบเสร็จเขาก็ไม่พูดถึงการสอบเลย แน่นอนว่าท่าทางที่แสดงออกมามิได้เป็นตัวชี้วัดความสามารถ ดูอย่างวั่งซูสิ ตื่นเต้นเหมือนได้ฉีดเลือดไก่ขนาดนั้นแต่กลับไม่ผ่านด่านที่หนึ่งเสียด้วยซ้ำ ส่วนอาเซิงผ่านด่านที่สามแล้วย่อมนำคะแนนไปรวมได้ แล้วสองวิชาแรกก็เป็นวิชาที่เขาถนัด
“เขาตั้งใจสอบแล้ว ป้าจ้าวรอประกาศผลให้สบายใจเถิด” เฉียวเวยกล่าว
ป้าจ้าวถามต่อ “เขาไม่ได้บอกหรือว่าตัวเองทำข้อสอบเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยตอบว่า “ไม่ได้บอก”
ไม่ได้พูดถึงเลยจริงๆ แน่นอนว่านางเองก็ไม่ได้ถาม ไม่ใช่ว่านางไม่สนใจอาเซิง แต่กระทั่งจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู นางก็ไม่ถาม การสอบเรื่องเช่นนี้ถามตอนก่อนสอบก็พอแล้ว สอบเสร็จแล้วถามไปเขาจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นหรือไร
ทำให้เต็มที่แล้วปล่อยให้เป็นลิขิตฟ้า เพียงเท่านี้ก็พอ
ป้าจ้าวขยำชายเสื้อของนางด้วยความทุกข์ใจ “เด็กคนนี้ ทำให้หนักใจอยู่เรื่อย!”
ป้าหลัวปลอบนางว่า “ไม่ต้องห่วง อาเซิงเก่งปานนี้ เขาต้องติดอันดับแน่! ขนาดการสอบของผู้ใหญ่เขายังสอบผ่านแล้ว นี่เป็นการสอบของเด็ก มิใช่เป็นเพียงอาหารว่างหรือไร”
“จริงด้วย!” ป้าจ้าวรู้สึกสบายใจขึ้นมาก นางลุกขึ้นจากไป เฉียวเวยก็ใช้โอกาสนี้หนีเช่นกัน ไม่เช่นนั้นนางจะต้อง ‘ถูกไล่ต้อนให้แต่งงาน’ อีกแน่
เฉียวเวยถือห่อของใบใหญ่และใบน้อย เด็กๆ ก็ถือถุงในมือคนละถุง แม้แต่เสี่ยวไป๋ก็แบกกล่องขนมไส้สับปะรดเดินขึ้นภูเขาอย่าง ‘แข็งขัน’ ตอนเดินผ่านหน้าบ้านน้าหลิวบังเอิญถูกน้าหลัวเห็นเข้า น้าหลิวอิจฉาริษยาอยู่ในใจ อยากจะแย่งข้าวของในมือพวกเขามาเป็นของตน!
พูดถึงการแย่ง น้าหลิวก็นึกถึงที่ดินฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านที่เฉียวเวยแย่งไปจากนาง นางอึดอัดคับแค้นใจยิ่งกว่าเดิม จึงตัดสินใจจะไปร้องคร่ำครวญที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน บีบน้ำตาเอาที่ดินผืนนั้นกลับคืนมา!
ถึงอย่างไรที่ดินก็ถูกไถพลิกหน้าดินและใส่ปุ๋ยแล้ว เอากลับมาแล้วก็เริ่มลงมือปลูกได้เลย!
ประหยัดแรงไปได้มาก!
คิดจะทำก็ต้องทำทันที น้าหลิวรีบปิดประตูบ้าน เดินไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อนางเดินผ่านทางเข้าหมู่บ้านก็มีสตรีท่าทางมั่งคั่งวัยสี่สิบเรียกนางไว้
“ขอถามสักหน่อย เจ้าเป็นคนหมู่บ้านนี้หรือไม่” อีกฝ่ายถาม
น้าหลิวมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อีกฝ่ายแต่งกายด้วยเครื่องประดับทองและเงิน ท่าทางภูมิฐาน น่าจะมาจากในเมือง นางจึงตอบอย่างสุภาพว่า “ใช่แล้ว ท่านไม่ใช่คนในหมู่บ้านของเราใช่หรือไม่ มีธุระอันใดหรือ”
ทันทีที่หวังมามามองนางก็รู้ทันทีว่านางหลอกง่าย หวังมามายิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจแล้วพูดว่า “พี่สาวท่านนี้ท่าทางใจดี ข้าอยากถามเรื่องใครคนหนึ่งกับท่าน” หลังจากพูดจบ นางก็หยิบเงินออกมายื่นให้น้าหลิว
น้าหลิวไม่ได้จับเงินมานานแล้ว! แววตาเป็นประกายทันที นางรับเงินด้วยมือทั้งสองข้างแล้วพูดอย่างประจบสอพลอ “ท่านต้องการทราบเรื่องของผู้ใดหรือเจ้าคะ ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้ใดที่ข้าไม่รู้จัก!”
หวังมามากล่าวว่า “ลูกสะใภ้ข้าหายไปเมื่อหลายปีก่อน ข้าอยากถามว่าเจ้าเคยเห็นนางหรือไม่”
“ลูกสะใภ้ของท่านมีลักษณะเช่นไร” น้าหลิวถาม
หวังมามายกมือขึ้นกะส่วนสูงคร่าวๆ “สูงประมาณนี้ ผอม สวยมาก ตอนยิ้มจะมีลักยิ้ม”
มีลักยิ้มเล็กๆ? นั่นคือเสี่ยวเฉียวมิใช่หรือ
น้าหลิวบอกว่า “หมู่บ้านเรามีสตรีนางหนึ่งคล้ายกับที่ท่านเอ่ยถึง นางมีลูกสองคน เป็นฝาแฝดชายหญิงเจ้าค่ะ”
ดวงตาของหวังมามาเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้น…บางทีนางอาจตั้งท้องตอนที่หายตัวไปกระมัง นางมาที่หมู่บ้านของเจ้าเมื่อใด”
น้าหลิวเรียกความทรงจำ “ประมาณ…สองปีที่แล้ว”
คุณหนูใหญ่ถูกไล่ออกจากบ้านเมื่อห้าปีที่แล้วชัดๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คุณหนูใหญ่ หรือคุณหนูใหญ่อาศัยอยู่ที่อื่นมาก่อนสามปี แล้วเพิ่งย้ายมาที่นี่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
“ลูกสะใภ้ของท่านสกุลเฉียวใช่หรือไม่” น้าหลิวถามหวังมามา
หวังมามาพยักหน้า “ใช่”
น้าหลิวสะบัดผ้าเช็ดหน้า “เช่นนั้นก็ใช่นางแล้ว! นางอาศัยอยู่บนภูเขากับลูกๆ ของนาง! ข้าจะพาท่านไปหาพวกนางเองเจ้าค่ะ!”
หวังมามาจับมือน้าหลิวและพูดเป็นนัยว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ต้องรีบ ข้าไม่ได้เจอนางมาหลายปีแล้ว มีบางเรื่องที่ข้าต้องสืบข่าวเรื่องของนางให้กระจ่างก่อนมิใช่หรือ”
น้าหลิวเข้าใจความนัยในน้ำเสียงของนางอย่างรวดเร็ว น้าหลิวยิ้มและมองด้วยสายตาเข้าใจ จากนั้นหรี่ตามองถุงเงินของหวังมามา หวังมามามอบเงินให้นางอย่างใจกว้าง นางรับมันด้วยรอยยิ้ม “ถามมาเถิด ท่านถามอะไรมาข้าก็จะตอบ! ไม่อมพะนำเด็ดขาด!”
หวังมามาถามถึงสถานการณ์ของคุณหนูใหญ่ก็พบว่าไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด อีกฝ่ายไม่รู้แม้แต่ชื่อที่แน่ชัดของคุณหนูใหญ่ รู้เพียงว่าสกุลเฉียว ส่วนเรื่องบ้านเกิดของนางอยู่ที่ใด ในครอบครัวมีผู้ใดบ้าง เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ บิดาของลูกนางเป็นผู้ใด นางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่นางแน่ใจคือ ผู้ชายของคุณหนูใหญ่เสียชีวิตไปแล้ว และเสียชีวิตไปก่อนที่จะมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
หวังมามาคิดว่าคุณหนูใหญ่จะต้องแต่งงานแล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีลูกได้อย่างไร นางไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จะกล้าตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ต่อมาหวังมามาถามคำถามเกี่ยวกับลักษณะนิสัยและบุคลิก แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ นางฆ่าเสือ ทำงานในทุ่งนาและค้าขายในตลาดเป็น ทั้งยังวิวาทกับผู้อื่น มีเรื่องกับพรรคอันธพาล ล่อลวงผู้ชายทุกที่…
ปกติปากของน้าหลิวก็ไม่เคยพูดคำดีๆ ออกมาอยู่แล้ว แล้วนางยังเกลียดเฉียวเวยมาก ดังนั้นนางจึงต้องเติมเชื้อเพลิงใส่กองไฟเป็นธรรมดา
ต้องขอบคุณที่นางใส่ไฟ จนทำให้หวังมามาไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นคุณหนูใหญ่ของนาง แต่เริ่มสงสัยว่านางเพียงบังเอิญหน้าตาเหมือนคุณหนูใหญ่เท่านั้น
“สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ” นางถามอย่างเคร่งขรึม
น้าหลิวตบหน้าอกและกล่าวว่า “ท่านเข้าไปถามทุกคนในหมู่บ้านได้ ข้าหลิวชุ่ยฮวาเป็นคนจริงใจที่สุดในหมู่บ้านละแวกนี้! ข้าไม่เคยโกหก!”
ถ้าคำพูดของนางเป็นความจริง อีกฝ่ายคงไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของนาง แต่ถ้านางพูดใส่สีตีไข่เล่า
หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว หวังมามาก็ตัดสินใจทำตามคำพูดของฮูหยินคืออยู่ตรวจสอบอย่างละเอียดให้ชัดเจน