หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 80-1 ปฏิเสธการแต่งงานกับเฉียวอวี้ซี
ตอนที่ 80-1 ปฏิเสธการแต่งงานกับเฉียวอวี้ซี
ช่วงนี้เพราะเรื่องการซื้อที่ดิน ทำให้เฉียวเวยแทบจะเป็นแขกประจำบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ในตอนแรกหัวหน้าหมู่บ้านกับฮูหยินของหัวหน้าหมู่บ้านชื่นชมนางเพียงเพราะนางมีบุตรชายที่มีความสามารถ แต่หลังจากที่ได้ทำความรู้จักในช่วงหลายวันนี้ ทั้งสองคนต่างก็ชมชอบหญิงสาวที่หนักแน่นและมีความสามารถเช่นนี้เข้าจริงๆ
นางน่าจะอายุไม่ถึงยี่สิบปี เป็นเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าบุตรสาวคนโตของพวกเขาเสียอีก บุตรสาวคนโตของพวกเขาแต่งงานเข้าไปอยู่ในเมือง นางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการอยู่การกินแต่นางกลับไม่รู้จักรับผิดชอบครอบครัว ให้เงินไปเท่าไรก็ใช้หมด พวกเขาต่างกังวลเหลือเกิน!
หากบุตรสาวมีสติปัญญาได้ครึ่งหนึ่งของเสี่ยวเฉียว พวกเขาก็ดีใจมากแล้ว
เฉียวเวยวางเงินลงบนโต๊ะทีละก้อน “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านลองนับดูว่าถึงห้าร้อยตำลึงหรือไม่”
“ไม่ต้องนับหรอก ข้าเชื่อใจเจ้า อีกอย่างเงินจำนวนนี้ไม่ได้มอบให้ข้า ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปเดินเรื่องเอกสารกับที่ว่าการอำเภอ” หัวหน้าหมู่บ้านชะงัก แล้วถามขึ้นมาอย่างสงสัย “แต่ว่าเสี่ยวเฉียว เงินของเจ้า…ไปเอามาจากใด เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้สงสัยว่าเจ้าได้เงินมาไม่ถูกต้อง แต่ว่า…”
เฉียวเวยเข้าใจถึงความกังวลของหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อสองสามปีก่อนนางยังเป็นหญิงม่ายตัวเล็กๆ ที่ยากจน บ้านนางไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ สักตัว มีอาหารมื้อนี้แต่ไม่มีมื้อหน้า ลูกสองคนของนางก็ผอมโซจนเหลือแต่กระดูก วันนี้ทั้งเสื้อผ้าอาหารล้วนมีทุกอย่างพรักพร้อม ยิ่งไปกว่านั้นสามารถหาเงินมาได้ห้าร้อยตำลึงในคราวเดียว ช่างน่าสงสัยจริงๆ
อันที่จริง ถ้านางไม่ได้ขโมยถุงเงินมาจากนายท่านหก นางก็คงรวบรวมเงินห้าร้อยตำลึงไม่ได้จริงๆ
แต่เรื่องเช่นนี้ รู้แค่ตัวเองก็พอ อย่าบอกให้หัวหน้าหมู่บ้านตกใจจะดีกว่า
เฉียวเวยขยับยิ้ม “ข้าค้าขายอยู่ในหรงจี้ ทุกเช้าข้าจะทำขนมไปให้พวกเขาหนึ่งร้อยห้าสิบถึงสองร้อยชิ้น ขนมชิ้นละสิบอีแปะ หนึ่งวันจะได้เงินหนึ่งตำลึง แล้วข้าก็ขึ้นเขาไปดักสัตว์เป็นประจำ ได้พวกกระต่ายป่า ไก่ป่ากลับมาทุกวัน ข้าเอาไปขายได้เงินมาไม่น้อย ท่านจำได้หรือไม่ ครั้งที่แล้วข้ายังดักได้เสือมาด้วย”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า
เฉียวเวยกล่าวเสริมอีกว่า “เสือตัวนั้นทำเงินให้ข้าสามสิบห้าตำลึง หลังจากนั้นถึงจะดักไม่ได้สัตว์ที่มีค่าขนาดนั้น แต่เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ก็เป็นเงินไม่น้อย แล้วป้าหลัวกับเถ้าแก่หรงต่างก็ให้ข้าหยิบยืมมาบางส่วน…ดังนั้นท่านสบายใจได้ เงินเหล่านี้ของข้ามีที่มาชัดเจน”
ส่วนเรื่องไข่เยี่ยวม้านั้นนางยังไม่ได้พูดออกไป ประการแรกไข่เยี่ยวม้ามีราคาสูงมาก หากพูดออกไปอาจทำให้คนอิจฉา ประการที่สองเถ้าแก่หรงไม่ยอมให้นางพูด จนถึงตอนนี้เถ้าแก่หรงยังโม้ว่าไข่เยี่ยวม้าเป็นไข่ที่เกิดมาจากธรรมชาติ เป็นไข่มรกตที่เกิดจากเป็ดในทะเลสาบเซียน
หัวหน้าหมู่บ้านไม่รู้ว่าเฉียวเวยใช้เงินไปเท่าใด แต่ดูจากรายได้เหล่านี้เพียงอย่างเดียวก็เป็นเงินมิใช่น้อยจริงๆ ทั้งยังมีเถ้าแก่ใหญ่ให้นางยืมเงินอีก ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้สงสัยแล้ว
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย เสี่ยวเฉียว ข้าเพียงถามดูเท่านั้น” หัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉียวเวยตอบอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้าเข้าใจ”
บ่ายวันนั้น หัวหน้าหมู่บ้านพาเสี่ยวเฉียวขึ้นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไปยังที่ว่าการอำเภอ
เนื่องจากลุงหลัวเป็นผู้ดูแลคลังของที่ว่าการอำเภอ เฉียวเวยจึงนำชาที่ซื้อจากเมืองหลวงมามอบให้เขาด้วย ลุงหลัวดีใจมากเมื่อได้รับใบชา กุลีกุจอชงให้เฉียวเวยกับหัวหน้าหมู่บ้านดื่มทันที แต่หัวหน้าหมู่บ้านปฏิเสธว่า “ไว้คราวหน้านะตาหลัว พวกเรากำลังรีบไปให้นายอำเภอประทับตรา!”
ลุงหลัวมองแผ่นหลังที่จากไปอย่างรวดเร็วของทั้งสองคน ลุงหลัวโคลงศีรษะ นังหนูคนนี้เพียงพริบตาเดียวก็มีเงินซื้อที่ดิน!
ตอนมาถึงศาลาว่าการ นายอำเภอกำลังเก็บสัมภาระอยู่
มือปราบกล่าวว่า “พวกท่านมาได้จังหวะพอดี ขืนมาช้ากว่านี้อีกสองวัน นายอำเภอก็จะไปแล้ว”
“ไป? ไปที่ใดหรือ” เฉียวเวยถาม
มือปราบยิ้มแล้วตอบว่า “ท่านนายอำเภอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองของสวีโจวขอรับ”
เฉียวเวยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ยินดีกับท่านนายอำเภอเป็นอย่างยิ่ง”
นางมีความประทับใจที่ดีต่อนายอำเภอผู้นี้ นางหวนนึกถึงตอนที่ถูกอันธพาลสามคนไล่ล่า เขาคือคนที่จับสามอันธพาลกับอู๋ต้าจินขังคุกอย่างยุติธรรม เขาเป็นขุนนางดีที่ทำเพื่อประชาชนเช่นเดียวกับอัครมหาเสนาบดี
นายอำเภอดูเอกสารที่หัวหน้าหมู่บ้านส่งมาให้ “เฉียวซื่อ บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ใด”
เฉียวเวยคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าที่ว่าการอำเภอต้องถามเช่นนี้ ระหว่างเดินทางมาที่นี่นางจึงคิดคำตอบเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว “ข้าเป็นคนจากเมืองเตียนตูเจ้าค่ะ เมื่อห้าปีก่อนเกิดแผ่นดินไหวในเมืองเตียนตู หมู่บ้านถูกทำลายจนราบ ข้าจึงจำใจต้องพรากจากถิ่นฐานบ้านเกิดเจ้าค่ะ”
นางแอบถามเรื่องแผ่นดินไหวในเมืองเตียนตูมาจากซิ่วไฉเฒ่าเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง แผ่นดินไหวในปีนั้นมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทางการไม่สามารถตรวจสอบครบทุกคน นอกจากนี้นางยังเป็นเพียงหญิงม่ายตัวเล็กๆ คนหนึ่งมิใช่สายลับจากแคว้นศัตรู ใช่ว่าจะมีความผิดถึงขนาดที่ต้องเปลืองแรงไปตรวจสอบ
เป็นดังที่คิดไว้ นายอำเภอไม่ซักไซ้เรื่องนี้อีก เขาถามอีกว่าในครอบครัวของนางมีใครบ้าง ครั้นได้รู้ว่าลูกชายของนางเป็นทั่นฮวาน้อยในการสอบเสินถงครั้งนี้ แววตาของเขาก็พลันแสดงความชื่นชม
ขั้นตอนหลังจากนั้นง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก นายอำเภอประทับตราให้อย่างไม่ลังเล เขาให้เฉียวเวยลงนามในเอกสาร เดิมทีคิดว่านางไม่รู้อักษร คิดจะหาคนมาลงนามแทน นึกไม่ถึงว่านางจะยกพู่กันขึ้นเขียนชื่อของตัวเองอย่างบรรจง
เพียงแต่ตัวอักษรที่เขียนนั้น…
ไม่รู้จะอธิบายเช่นไรดี
ตอนที่เฉียวเวยและหัวหน้าหมู่บ้านกลับมาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว เฉียวเวยไม่ได้พบหน้าลูกๆ มาทั้งวัน นางจึงคิดถึงมาก นางวิ่งขึ้นเขาเร็วเหมือนติดปีก พวกเด็กๆ ทำการบ้าน ทานอาหารและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างกำลังลูบขนของเสี่ยวไป๋เล่นอยู่บนเตียง
ป้าหลัวเล่าเรื่องที่จีหมิงซิวมาหาให้เฉียวเวยฟัง
“เขามาอีกแล้วหรือ” เฉียวเวยประหลาดใจ คราวก่อนนางเอาไข่เยี่ยวม้าให้เขาไปห้าสิบฟองเต็มๆ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น ครอบครัวของพวกเขากินหมดแล้วอย่างนั้นหรือ นางไหนเลยจะรู้ว่าจวนอัครมหาเสนาบดีมีคนอยู่มากมาย แล้วเหล่าไท่ไท่ก็ใจกว้างชอบมีแขกมาเยี่ยมเยียน แขกมาเยี่ยมคนหนึ่งก็แนะนำครั้งหนึ่ง บอกว่าไข่เยี่ยวม้าที่หลานชายนางซื้อมารสเลิศเช่นนั้นเช่นนี้ ไข่ห้าสิบฟอง นางได้ทานไปจริงๆ เพียงสามสี่ฟองเท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกนางเอาไปอวดทั้งสิ้น
“ข้าให้เขาไปหนึ่งโถ แล้วเก็บเงินเขามาสิบตำลึง” ป้าหลัวรู้ว่าในหรงจี้ขายฟองละสองร้อยอีแปะ หนึ่งโถมีห้าสิบฟอง ทั้งหมดจึงรวมเป็นเงินสิบตำลึง
เฉียวเวยยิ้มแห้งๆ “เหตุใดท่านไปเก็บเงินกับเขาเล่า”
ป้าหลัวแสร้งลากเสียง “อะไร ข้าไม่ควรเก็บเงินเขาหรือ”
เฉียวเวยยิ้มอย่างจนปัญญา “เขาช่วยข้าไว้หลายเรื่อง ข้าจึงไม่กล้ารับเงินจากเขา”
ป้าหลัวหน้าบึ้งตึง “แม้แต่พี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดเงินให้ชัดเจน!”
ป้าหลัวจะไม่ยอมรับหรอกว่านางแค่โกรธที่เจ้าหมอนั่นทำคุณชายโจวเตลิดหนีไป ไม่รู้เขาใช้กลอุบายอันใดถึงทำให้คุณชายโจวตกใจจนวิ่งหนีไปเหมือนมีไฟเผาก้นอยู่ เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหยุด
เฉียวเวยไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอันใดกับคุณชายโจวมากนัก อย่างมากนางก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนหนุ่มรูปงามที่ดูเพลินตาเท่านั้น หากพูดถึงความรู้สึกระหว่างชายหญิง มันไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่เลย ดังนั้นนางจึงไม่ถามถึงคุณชายโจวสักนิด
ป้าหลัวเห็นนางแสดงท่าทีเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจ เจ้าเด็กคนนี้ไม่มีใจให้คุณชายโจวสินะ…
เหตุใดบุรุษหล่อเหลาเช่นคุณชายโจวถึงไม่อยู่ในสายตาของนางกันหนอ พูดถึงครอบครัวเขาก็มีสกุลรุนชาติ พูดถึงการศึกษาเขาก็มีทั้งความรู้ความสามารถ เป็นบัณฑิตซิ่วไฉตัวจริง ทั้งยังไม่รังเกียจที่นางมีลูกแม้แต่น้อย เหตุใดนางจึงไม่ชอบเขาเล่า
แน่นอนว่าป้าหลัวไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่สำคัญหรอกว่าเสี่ยวเฉียวจะชอบคุณชายโจวหรือไม่ เพราะในเมืองยังมีเหล่าคุณชายอีกมากมาย ทั้งคุณชายอู๋ คุณชายหลิว คุณชายจ้าว…ต้องมีสักคนที่เข้าตาเสี่ยวเฉียวสิ
…
น้ำผักโขมแดงหมักได้ที่แล้ว ในน้ำสีแดงจางๆ มีฟองสีขาวปรากฏอยู่ เฉียวเวยตักก้านผักโขมแดงออกมา ก้านผักโขมแดงใช้ทำอาหารได้ แต่เฉียวเวยไม่ชอบรสชาตินั้น นางจึงโยนมันทิ้งไป ฟองในน้ำที่เหลือเป็นน้ำหมักที่จำเป็นสำหรับการทำเต้าหู้เหม็น
เฉียวเวยขยี้เต้าหู้เก่าแล้วเทลงในน้ำหมัก ปิดฝา ปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลาสามวัน เมื่อเปิดอีกครั้ง น้ำในไหก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวอ่อน น้ำใส ทว่ามีกลิ่นเหม็นมาก
ขั้นตอนสุดท้ายคือการใส่เต้าหู้หั่นเต๋าลงในน้ำหมัก โดยที่ห้ามใช้เต้าหู้อ่อน
เฉียวเวยหมักไว้ตั้งแต่ยามสี่ ตกค่ำหลังจากนางกลับมาจากการทำงานในทุ่งนาก็ตักออกมาใช้ได้แล้ว
เฉียวเวยทำน้ำราดโดยการผัดพริกเขียว พริกแดงและน้ำแกงเข้าด้วยกัน จากนั้นนำเต้าหู้หั่นเต๋าลงไปทอดในน้ำมัน ชิ้นเต้าหู้พองตัวในกระทะน้ำมัน เสียงฉู่ฉ่าอันเป็นเอกลักษณ์ของเสียงทอดในน้ำมัน ทำให้คนที่ได้ยินเสียงอยากรีบสวาปามคำโตๆ
ซาลาเปาน้อยทั้งสองทำการบ้านเสร็จแล้ว (จิ่งอวิ๋นใช้มือขวาเขียนเสร็จแล้วเปลี่ยนไปใช้มือซ้าย ส่วนวั่งซูรับผิดชอบเพียงการฝนหมึก) พวกเขาต่างก็เกาะประตูห้องครัวด้วยความสงสัย อยากเห็นว่ามารดากำลังทำอันใด เหตุไฉนจึงได้เหม็นเช่นนี้
ป้าหลัวมาส่งหัวไชเท้าให้เฉียวเวยพอดี ทันทีที่นางก้าวเข้าประตู กลิ่นเหม็นก็เกือบจะทำให้นางเหม็นตาย!
“จิ่งอวิ๋น วั่งซู เข้ามาในห้องเร็ว อย่าหายใจสูดควันพิษนั่น!” นาง ‘ไล่’ เด็กสองคนกลับเข้าห้อง จากนั้นยกมือปิดจมูกแล้ววางหัวไชเท้าหั่นเต๋าไว้ข้างเตา “นี่ หัวไชเท้าที่เจ้าต้องการ”
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณแม่บุญธรรม”
ป้าหลัวมองเต้าหู้สีดำในกระทะด้วยความรังเกียจ “สิ่งนี้กินได้ด้วยหรือ กลิ่นเหม็นเหลือเกิน”
“ท่านสบายใจได้ ประเดี๋ยวท่านได้ลองกินแล้วจะอยากกินอีก!” เฉียวเวยยิ้มแย้ม ตักเต้าหู้ที่ทอดได้ที่ใส่จานทีละชิ้น แล้วใช้ตะเกียบจิ้มตรงกลางเต้าหู้เหม็นที่ทอดเสร็จจนเป็นรูกลวง ก่อนจะใส่หัวไชเท้าดองเข้าไปจนเต็ม จากนั้นราดด้วยน้ำราดที่ตัวเองผัดเอาไว้ โรยด้วยผักชีสับ จานเต้าหู้เหม็นที่ทั้งเหม็นและน่ากินก็เสร็จแล้ว!
หัวไชเท้าดองมีรสหวาน น้ำราดมีรสหวานและเค็ม ประกอบกับรสชาติของตัวเต้าหู้เอง เมื่อได้กินก็รู้สึกชุ่มคอและอร่อยมาก
เด็กๆ กินจนเหงื่อไหลไคลย้อย ทั้งเผ็ดทั้งรสชาติจัดจ้านถึงอกถึงใจ
ป้าหลัวก็พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “จานนี้ดี มีกลิ่นเหม็นแต่กินแล้วอร่อย”
ดูสิ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ใครยังจะกล้าพูดว่าเต้าหู้เหม็นคงไม่มีคนซื้ออีก
วันรุ่งขึ้นเฉียวเวยนำเต้าหู้เหม็นดำไปหรงจี้ ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้ว เพราะครั้งนี้ทุกคนต่างแย่งกันกิน
ครั้งก่อนใช้เพียงน้ำราดง่ายๆ แต่วันนี้นอกจากน้ำราด ยังใส่หัวไชเท้าดองอันหวานอร่อยด้วย หัวไชเท้ากรอบๆ เย็นๆ ในขณะที่เต้าหู้ร้อน ตัดรสด้วยน้ำราดรสเค็มและเผ็ดกำลังดี ได้กินแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก!
เถ้าแก่หรงวางตะเกียบลง เขาเรียกเฉียวเวยไปที่ห้องบัญชี จากนั้นเลื่อนของที่อยู่ตรงหน้าไปที่มือของเฉียวเวย “นี่คือหนังสือรับรองกับสัญญา เจ้าตรวจดู”
เฉียวเวยเปิดหนังสือรับรองมาดู “ตัดสินใจได้แล้วหรือ”
อันที่จริงเขาตัดสินใจได้นานแล้ว แต่เขาหวังว่าเฉียวเวยจะรอไม่ไหวและมาหาเขาเพื่อขอลดราคา แต่ดูนางไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย เขาจึงรู้ว่าแผนการที่คิดไว้คงไม่สำเร็จ
เฉียวเวยแอบหัวเราะ หวังจะใช้ลูกเล่นทางจิตวิทยากับนาง ไม่ได้ผลหรอก สำหรับนางแล้วให้ตัดใจเสียดีกว่าต้องลงมือทำอย่างใจร้อน
เฉียวเวยเปิดอ่านหนังสือรับรองและสัญญา หลังจากไม่มีปัญหาใดๆ นางก็ลงนามของตัวเอง
เถ้าแก่หรงแสร้งทำเป็นประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ “เถ้าแก่จะได้ส่วนแบ่งกำไรตอนสิ้นปี แต่ปกติถ้าวันไหนเงินไม่พอใช้ก็สามารถเบิกล่วงหน้าได้”
เงินที่นางฉกมายังพอมีเหลืออยู่บ้าง มีรายได้จากไข่เยี่ยวม้ากับขนมเข้ามาทุกเดือน เงินสร้างบ้านประหยัดหน่อยน่าจะเพียงพอ ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเบิกเงินล่วงหน้า แต่อนาคตเป็นเรื่องที่พูดยาก หากวันหนึ่งนางต้องการเงินสักก้อนเล่า
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ได้ หากข้าขาดเงิน ข้าจะมาเบิกล่วงหน้ากับท่าน แล้วเงินที่เบิกล่วงหน้าจำกัดอยู่ที่เท่าไร”
“เท่าที่เจ้าต้องการ!” เถ้าแก่หรงกล่าวอย่างใจป้ำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่จำกัดวงเงินจริงๆ แต่ในสายตาของเขา อย่างมากที่เสี่ยวเฉียวต้องการก็คือการสร้างบ้านสักหลังในเมือง นั่นก็ไม่ใช่จำนวนเงินที่มากเท่าไร
เวลานี้เฉียวเวยไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น ถึงอย่างไรในชีวิตก่อนนางก็ไม่ใช่นักธุรกิจหัวการค้าถึงเพียงนั้น แม้ว่าเพื่อความอยู่รอด นางจะเริ่มค้าขายเล็กน้อยตั้งแต่ชั้นประถม แต่อาชีพจริงๆ ของนางคือศัลยแพทย์ นั่นเป็นงานที่นางชื่นชอบมากที่สุด เพียงแต่สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยจึงไม่มีทางให้นางเลือกมากนัก
…
วันรุ่งขึ้นเฉียวเวยเริ่มตั้งต้นกับการสร้างบ้าน ที่ดินมีขนาดกว้างมาก สร้างบ้านเพียงหลังเดียวไม่กินเนื้อที่มากนัก นางจะต้องขุดสระว่ายน้ำให้ได้ แล้วนางก็จะทำรั้วล้อมสวนผักด้วย
“เจ้าจะสร้างกี่ห้อง” ป้าหลัวถาม
เฉียวเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าอยากสร้างเป็นตึกสองชั้น”
ป้าหลัวตกใจ “ตึกซิ่วโหลวน่ะหรือ”
นางเคยได้ยินคำว่าตึกซิ่วโหลวแต่ในละครงิ้วเท่านั้น รู้ว่ามีแต่คุณหนูในตระกูลคหบดีเท่านั้นที่จะอาศัยอยู่ในตึกซิ่วโหลวที่ทั้งสะอาดและสวยงาม แต่การสร้างนั้นต้องใช้เงินมาก ชาวบ้านธรรมดาไม่มีเงินพอที่จะสร้างได้
เฉียวเวยเป็นเถ้าแก่ของหรงจี้แล้ว นางย่อมสามารถสร้างตึกซิ่วโหลวขึ้นมาสักหลัง แต่หลังจากที่พิจารณาแล้วว่าในสมัยโบราณไม่มีหน้าต่างป้องกันความปลอดภัย หากสร้างเป็นสองชั้นจริงก็กลัวว่าลูกๆ จะพลัดตก นางจึงล้มเลิกความตั้งใจนั้นเสีย “เช่นนั้นก็สร้างห้องใหญ่ห้าห้อง ห้องเล็กอีกสามห้องก็แล้วกัน”
ห้องใหญ่ของนางหนึ่งห้อง วั่งซูหนึ่งห้อง จิ่งอวิ๋นหนึ่งห้อง ห้องบัญชีควบกับห้องหนังสือหนึ่งห้อง ห้องรับแขกหนึ่งห้อง ส่วนห้องเล็กสร้างเป็นเรือนแถวด้านหลังขนานกับเรือนใหญ่ แบ่งเป็นห้องครัว ห้องเก็บฟืนและห้องเก็บของ บ้านนางไม่มีทั้งสาวใช้หรือหญิงรับใช้ มีห้องเท่านี้เพียงพอแล้ว
“เช่นนั้นคงเป็นเงินไม่น้อย” ป้าหลัวชี้ไปที่บ้านของนาง “บ้านหลังนี้สร้างเมื่อแปดปีที่แล้ว มีสามห้องใหญ่ หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องเก็บฟืน ลานหลังบ้านขนาดใหญ่กับคอกหมู ต้องใช้เงินประมาณสิบห้าตำลึง”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ราคาถูกปานนั้นเชียวหรือ”
ป้าหลัวเอ็ด “ก็นั่นมันเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ราคานั้นแล้ว! ตัดสินใจได้หรือยังว่าจะสร้างบ้านจากวัสดุอะไร”
เฉียวเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ไม้กับอิฐกระมัง แล้วก็หินเขียวด้วย”
“เจ้าจะเอาหินมาทำอะไร” ป้าหลัวถาม
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ก็สร้างสระว่ายน้ำอย่างไรล่ะ!
ในสมัยโบราณไม่มีบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ช่างก่ออิฐ ช่างไม้ และช่างฝีมือล้วนต้องจ้างมาจากสถานที่ต่างกัน ป้าหลัวรับผิดชอบหาคน ส่วนเฉียวเวยต้องออกไปซื้อของเอง
เรื่องไม้นั้นเฉียวเวยไม่กังวล เพราะป่าบนภูเขามีต้นไม้มากมาย เพียงขึ้นไปตัดก็ได้มาแล้ว สิ่งที่น่ากังวลก็คือหินเขียว
ในเมืองมีโรงอิฐอยู่ เฉียวเวยไปดูครั้งหนึ่งแล้ว ราคาถูกก็จริงแต่น่าเสียดายคุณภาพไม่ดี ขนาดนางยังทุบด้วยมือเปล่าได้ จะเรียกว่าอิฐดีได้เช่นไร
เถ้าแก่โรงอิฐคิดในใจ เจ้าไม่คิดว่าตัวเองเรี่ยวแรงมากเกินไปบ้างหรือ…
“มีโรงอิฐที่อื่นอีกหรือไม่” เฉียวเวยถามป้าหลัวระหว่างทานอาหารเย็น
“ท่านแม่ เราจะไปซื้ออิฐกันหรือเจ้าคะ” วั่งซูถามพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ
เฉียวเวยลูบศีรษะอันอบอุ่นของนางและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว แม่จะซื้ออิฐกับกระเบื้อง แล้วจะสร้างเรือนหลังใหญ่!”
เรือนหลังใหญ่หรือ
ดียิ่ง
วั่งซูหรี่ตาลงอย่างมีความสุข
เด็กๆ ก็อยากได้เรือนหลังใหญ่เช่นกัน สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้ความต้องการจะสร้างบ้านของเฉียวเวยกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้น
วันที่สิบสี่เดือนสี่ เฉียวเวยพบโรงอิฐในเขตชานเมืองตะวันตกของเมืองหลวง เถ้าแก่ไม่อยู่ คนที่มาต้อนรับเฉียวเวยคือคนแซ่ฉิว เขาเป็นผู้ดูแลร้านอายุราวห้าสิบปี
ผู้ดูแลฉิวพาเฉียวเวยเข้าไปในห้องรับรองที่ใช้สำหรับรับแขก จากนั้นถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร “มิทราบว่าแม่นางแซ่ใดหรือขอรับ”
“เฉียว”
“แม่นางเฉียวต้องการซื้อสิ่งใดหรือขอรับ” ผู้ดูแลฉิวถามอย่างสุภาพ
เฉียวเวยจึงถามว่า “ที่นี่ท่านขายอะไรบ้าง”
“อิฐ กระเบื้อง ไม้ หิน มีทุกสิ่ง ขึ้นอยู่กับว่าแม่นางเฉียวซื้อไหวหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้ม “ผู้ดูแลฉิวช่างตรงไปตรงมาเสียจริง”
ผู้ดูแลฉิวยิ้มเช่นกัน “มองก็รู้ว่าแม่นางเฉียวเป็นคนเข้าใจง่าย ข้าจึงไม่อ้อมค้อมกับแม่นาง”
เฉียวเวยมองไปรอบๆ “ข้าต้องตรวจสอบสินค้าของท่านก่อน ดูว่ามันคุ้มกับเงินของข้าหรือไม่”
ผู้ดูแลฉิวผายมือ “เชิญขอรับแม่นางเฉียว”
ผู้ดูแลฉิวพาเฉียวเวยไปที่โกดังแสดงสินค้าตัวอย่าง เขาไล่ชี้สินค้าประเภทต่างๆ แล้วพูดว่า “คลังสินค้านี้มีทั้งกระเบื้องและอิฐที่เพิ่งทำมาใหม่ๆ แม่นางเฉียวลองดูก่อนขอรับ”