หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 80-2 ปฏิเสธการแต่งงานกับเฉียวอวี้ซี
ตอนที่ 80-2 ปฏิเสธการแต่งงานกับเฉียวอวี้ซี
เฉียวเวยมองไปรอบๆ สินค้าทั้งหมดเป็นของคุณภาพดี มีวัสดุเจือปนน้อย แข็งแรงทนทานและยังมีหน้าตาเรียบร้อยสวยงาม เป็นไปตามความต้องการของนาง “ที่นี่มีหินเขียวด้วยหรือไม่”
ผู้ดูแลฉิวเรียกพนักงานคนหนึ่งเข้ามา หลังจากถามได้ความแล้วจึงตอบว่า “ไม่มีสินค้าเก็บไว้ที่นี่ แต่ถ้าแม่นางต้องการก็ขนย้ายมาให้แม่นางได้ แม่นางต้องการเท่าไรหรือขอรับ”
เฉียวเวยบอกขนาดโดยประมาณของสระว่ายน้ำ ผู้ดูแลฉิวพยักหน้า “ขอรับ ข้าพอจะทราบจำนวนคร่าวๆ แล้ว อย่างอื่นต้องการเท่าไรขอรับ”
เฉียวเวยนำกระดาษที่ร่างภาพไว้ออกมา แม้จะไม่ใช่แบบแปลนที่ได้มาตรฐานอันใดนัก แต่ทั้งความกว้าง ความยาวและความสูงล้วนระบุไว้อย่างชัดเจน ผู้ดูแลฉิวเข้าใจทันที เขายิ้มอย่างประหลาดใจ “นึกไม่ถึงว่าแม่นางจะมีความสามารถด้านนี้ด้วย คนที่วาดแบบแปลนได้ของพวกเราล้วนแต่เป็นบุรุษ”
“ขายหน้าผู้ดูแลฉิวแล้ว” เฉียวเวยตอบตามมารยาท
สตรีออกหน้าทำเองทุกอย่างเองนับว่าเป็นเรื่องยากลำบาก หากไม่จำเป็นคงไม่มีผู้ใดอยากทำเช่นนี้ เดิมทีผู้ดูแลฉิวสงสารนางอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขารู้สึกชื่นชมมากกว่า “บ้านของท่านต้องใช้อิฐประมาณห้าคันรถ กระเบื้องสองคันรถ ส่วนไม้ต้องการสั่งจากทางเราหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้อง บนเขาที่ข้าอยู่มีมากมาย ไปตัดเอาจากที่นั่นก็ได้”
บนเขาหรือ จากลักษณะของนางดูไม่เหมือนชาวบ้านชนบทเลย ผู้ดูแลฉิวยิ้มพลางกล่าวว่า “อิฐคันละห้าตำลึง กระเบื้องขนาดเล็กธรรมดาก็ราคาห้าตำลึงเช่นกัน แต่หลังคาต้องใช้กระเบื้องพิเศษ ราคาจะต่างกันเล็กน้อย”
เฉียวเวยตกใจจนพูดไม่ออก อย่างอิฐที่นางเพิ่งเห็นนั่น หากเป็นยุคปัจจุบันราคาเพียงก้อนละแปดเก้าเหมา หนึ่งตารางเมตรก็ไม่เกินแปดสิบหยวน แต่พอมาอยู่ที่นี่กลับกลายเป็นห้าตำลึงต่อคัน! นั่นคือสามพันหยวนเต็มๆ รถที่ว่าก็ไม่ใช่รถบรรทุกขนาดใหญ่! เป็นแค่รถม้าคันเล็กสุดๆ เท่านั้น!
ผู้ใดว่ายุคโบราณใช้ชีวิตง่าย เกิดเงินเฟ้อขึ้นมา คนก็กินอยู่ไม่ได้เหมือนเดิม
แน่นอนว่าราคาของอิฐและกระเบื้องไม่แน่ว่าจะเกิดจากเงินเฟ้อ แต่เพราะอิฐของราชวงศ์ต้าเหลียงมิได้ไว้ขายให้คนทั่วไป
เฉียวเวยเจ็บปวดจนต้องสูดหายใจเฮือกใหญ่ “ลดราคามิได้หรือ”
ผู้ดูแลฉิวยิ้ม “แม่นาง นี่เป็นราคาต่ำสุดแล้ว ข้าเห็นท่านเป็นสตรีออกมาจัดการทุกอย่างเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงขายให้ท่านในราคาต่ำที่สุดแล้ว”
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานางไปที่โรงอิฐหลายแห่ง จึงทราบว่าผู้ดูแลฉิวไม่ได้โก่งราคาจนสูงเทียมฟ้า แต่เขาก็มิได้ให้ราคาต่ำสุดอย่างที่เขาพูดแน่นอน
นางยืดตัวและเคาะนิ้วบนโต๊ะหลายครั้ง “ผู้ดูแลฉิว ท่านอย่ารังแกเพราะเห็นว่าข้าเป็นสตรีไม่รู้เรื่องราคาในท้องตลาด ข้ายอมรับว่าอิฐและกระเบื้องของพวกท่านคุณภาพดี แต่ที่อื่นขายเพียงคันละสองตำลึง แต่พวกท่านขายคันละห้าตำลึง จะไม่มากเกินไปหรือ อิฐและกระเบื้องของพวกท่านใช้ค้อนทุบไม่แตก ไฟเผาไม่ไหม้หรืออย่างไร”
ผู้ดูแลฉิวนึกไม่ถึงว่านางจะพูดเหมือนกับรู้ว่าเขาขายในราคาแพง จึงตอบอย่างกระดากอายว่า “คุณภาพสมราคาอย่างไรเล่า!”
มุมปากของเฉียวเวยโค้งขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าผู้ดูแลฉิวจะไม่มีความจริงใจในการค้าขาย เช่นนั้นก็ช่างเถิด โรงอิฐไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว ข้าค่อยๆ หาไปทีละร้านก็ได้ ต้องมีสักร้านที่ขายของสมราคา”
ผู้ดูแลฉิวรีบพูดขึ้นทันที “เฮ้อ แม่นาง! ท่านหาอิฐที่ดีกว่าร้านข้าไม่ได้แล้ว!”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ข้าก็ไม่สามารถหาบ้านที่ดีกว่าบ้านในเมืองหลวงได้ แต่ข้าซื้อไหวหรือ สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสียหน่อย”
นี่หมายความว่าจะยอมซื้ออิฐและกระเบื้องคุณภาพต่ำในราคาที่ถูกกว่า ผู้ดูแลฉิวเริ่มโกรธ สิ่งที่เขารำคาญมากที่สุดคือคนไม่เอาของดีแต่ไปเลือกของคุณภาพต่ำกว่าเพียงเพื่อประหยัดเงินจำนวนน้อยนิด แต่เขาก็คิดราคาสูงเกินไปจริงๆ
เขากำหมัดแล้วกระแอม “เช่นนั้นคันละสี่ตำลึง”
“สามตำลึง”
“แม่นาง ท่านคิดจะขูดเลือดขูดเนื้อข้าหรือ!”
“สามตำลึงท่านก็ได้กำไรไม่น้อยแล้ว”
ในสมัยโบราณ สิ่งที่มีราคาถูกที่สุดคือแรงงาน แต่ถึงอย่างไรก็ได้เงินดีกว่าการทำไร่ทำนาเล็กน้อย จึงมีแต่คนแย่งกันทำ ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันมีงานมากมายหลากหลายให้ทำ มาตรฐานชีวิตก็ดีขึ้น บางคนถึงตัวเองไม่ทำงานก็มีพ่อมีแม่เลี้ยงดู จึงคร้านจะเข้าไปทำงานในโรงงาน
ท้ายที่สุดก็ตกลงในราคาสามตำลึง ผู้ดูแลฉิวแจ้งจำนวนอิฐและกระเบื้องทั้งหมดที่คาดการณ์ไว้ แต่เฉียวเวยรู้สึกว่านางสมควรถามผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะถ้าซื้อมากเกิน เขาก็ไม่รับคืนสินค้าเสียหน่อย หากเป็นเช่นนั้นตนเองย่อมขาดทุน
น้อยมากที่จะเห็นสตรีรอบคอบเช่นนี้ ผู้ดูแลฉิวยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ได้ๆ ตามใจท่าน หากท่านแน่ใจแล้วค่อยมาหาข้าก็ได้” จากนั้นเขาก็ชะงักไปวูบหนึ่ง ไม่รู้นึกอันใดออกจึงกล่าวว่า “แต่ท่านอย่ามาวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้า จะได้ไม่พบเถ้าแก่ของพวกเรา”
คำพูดนี้ฟังดูพิกล ถ้านางเจอเถ้าแก่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเถ้าแก่จะไม่อนุญาตให้ค้าขายกับสตรี
ในนานเฉียวเวยก็ได้คำตอบ
ร่างอ้วนท้วนเดินเข้ามาในห้องรับรอง ผู้ดูแลฉิวดูตกตะลึง ยืนขึ้นทักทายเขาทันที “เถ้าแก่ วันนี้ยังไม่ถึงวันที่สิบห้า ไฉนท่านถึงว่างเข้ามาได้ขอรับ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เฉียวเวยจากด้านหลัง บอกให้นางหลบออกไป แต่น่าเสียดายสายเกินไปแล้ว
เถ้าแก่มองเข้ามาจากด้านนอกเห็นคนงามตัวน้อยนั่งอยู่ด้านในจึงยอมลำบากเดินเข้ามาดู มิเช่นนั้นจะเป็นเพราะอะไรได้เล่า เขาเพียงผ่านทางจึงแวะมาเข้าส้วมในโรงอิฐเท่านั้น มีหรือจะแวะเข้ามาห้องรับรองเพื่อคุยธุระกับผู้ดูแล
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เขาก็จำได้ในทันทีว่านางคือนังตัวแสบในหรงจี้ที่เขาควานหาตัวอย่างยากลำบาก เขายิ้มอย่างเหลือเชื่อทันที “ช่างเป็นดั่งคำกล่าวว่าย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกหาไม่พบ ยามได้มากลับมิต้องเปลืองแรง แม่นางน้อย เจ้าทำให้ข้าตามหาแทบแย่!”
เฉียวเวยตะโกนร้องในใจว่าซวยแล้ว มาซื้ออิฐแต่กลายเป็นว่าเดินเข้ามาในถิ่นของหมูอ้วนคนนี้ เหตุใดตนถึงโชคร้ายปานนี้เล่า
ผู้ดูแลฉิวรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่ว่าทั้งสองจะดูเหมือนรู้จักกันหรือไม่ก็ตาม เขาพูดกับนายท่านหกว่า “เถ้าแก่ขอรับ นางเป็นลูกสาวของโรงเตี๊ยมฝูไหล โรงเตี๊ยมฝูไหลมีการปรับปรุงซ่อมแซม นางจึงมาสั่งซื้อกระเบื้องขอรับ!”
นายท่านหกจ้องเขาอย่างเย็นชา “อย่ามาหลอกข้า นางเป็นแค่แม่ครัว! ไปให้พ้น!”
ผู้ดูแลฉิวถอยออกไปอย่างจนปัญญา
นายท่านหกเดินไปหาเฉียวเวยอย่างช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “แม่นางน้อย ขโมยเงินข้ามาซื้อกระเบื้องของข้า เจ้าช่างกล้าจริงๆ!”
ถ้ารู้ว่าโรงอิฐนี้เป็นของเจ้าตั้งแต่แรก ข้าก็คงไม่มาหรอก!
เฉียวเวยสงสัยจริงๆ ว่าตัวเองเกิดในปีอัปมงคงหรือไร เหตุใดถึงโชคร้ายไม่มีใครเกินขนาดนี้
“คิดจะหนีอีกหรือ ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะหนีไปได้หรือไม่” นายท่านหกยิ้ม ยื่นมือออกมาดีดนิ้วดังเปาะ เงาดำทยอยเข้ามาในห้องรับรอง ทุกคนต่างสวมหน้ากากเงินปิดใบหน้าจนหมด เผยให้เห็นเพียงดวงตาสองข้าง แต่ไอสังหารกลับแผ่ออกมาจากหน้ากาก รู้สึกเหมือนกับว่าบรรยากาศภายในห้องรับรองเย็นยะเยือก
ด้านนอกโรงอิฐ บนรถม้าหรูหราคันหนึ่ง
ยิ่นอ๋องพลิกตั๋วเงินในมืออย่างเบื่อหน่าย “ไปดูซิ เหตุใดนายท่านหกยังไม่ออกมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีหลิวรีบเข้าไปในโรงอิฐแห่งนั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็วิ่งออกมาอย่างมีความสุขและกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบานว่า “ท่านอ๋อง ทายสิว่าบ่าวเห็นผู้ใด”
“ผู้ใด” ยิ่นอ๋องถามเบาๆ
ขันทีหลิวปิดปากแล้วหัวเราะ “หญิงชาวบ้านคนนั้น! มิน่าเล่านายท่านหกถึงเข้าไปในห้องนานขนาดนั้น ที่แท้ก็ซ่อนแม่นางเสี่ยวเฉียวเอาไว้นั่นเอง! คราวนี้นางตายแน่ นายท่านหกเป็นยอดฝีมือแห่งการทำลายบุปผางาม!”
ทำไมสตรีคนนี้ถึงตกไปอยู่ในมือของนายท่านหกอีก!
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้ว โยนตั๋วเงินทิ้งแล้วลงจากรถ!
ในห้องรับรอง เฉียวเวยนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้พลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย “ในที่สุดข้าก็เจอนายท่านหกแล้ว ข้าจะหนีทำไม”
นายท่านหกหรี่ตา นางคนนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่รู้ว่ามีอุบายอะไรซ่อนอยู่
เขาถามขึ้นว่า “ครั้งที่แล้วเจ้าทำร้ายข้าหนักหนานัก แค้นครั้งนั้นจะชำระเช่นไรดี”
“อยากชำระเช่นไรก็เช่นนั้น! นายท่านหกว่ามาเถิด!” เฉียวเวยตอบอย่างสบายๆ
นายท่านหกนั่งลงข้างๆ นางและมองสำรวจเรือนร่างของนาง “สาวน้อย สิ่งที่เจ้าทำกับข้าต่อให้ตายร้อยครั้งก็ชดใช้ไม่พอ แต่เห็นแก่ที่เจ้ามีท่าทีสำนึก เจ้านอนกับข้าสักคืน ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป!”
เฉียวเวยแทะเมล็ดแตง “ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการนอนกับข้า ข้ามิใช่สตรีบริสุทธิ์นะ”
นายท่านหกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้ม “หากเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เอา แต่ในเมื่อเป็นเจ้า ข้าก็สนใจอยู่บ้าง”
เฉียวเวยโยนเปลือกแตงโมทิ้งแล้วหยิบอีกเม็ดขึ้นมา “ท่านไม่ถามหน่อยหรือ ว่าผู้ใดเป็นสามีของข้า”
นายท่านหกยิ้มอย่างไม่แยแส “ผู้ใด”
เฉียวเวยยิ้มหวาน “พูดออกมาแล้วกลัวท่านจะตกใจ”
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ…” นายท่านหกหัวเราะลั่น “สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าทำงานอะไร”
“ท่านทำอะไรอย่างนั้นหรือ” เฉียวเวยถามอย่างน่ารักน่าชังพลางแทะเมล็ดแตงในมือต่อ แล้วยังหันไปสั่งผู้ดูแลฉิวอีกว่า “เอาเมล็ดแตงมาเพิ่มหน่อย”
มุมปากของผู้ดูแลฉิวกระตุก จากนั้นก็นำเมล็ดแตงมาให้นางอีกจาน
เฉียวเวยหยิบเมล็ดแตงขึ้นมาหนึ่งกำมือ “นายท่านหก ท่านทำงานอะไรเล่า ข้ากำลังรอฟังอยู่”
นายท่านหกเห็นท่าทางสงบและผ่อนคลายของนางก็ไม่แน่ใจว่านางไม่กลัวจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นนิ่งสงบ เขามองนางอย่างลึกซึ้งพลางกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าทำนั้นมีมากมาย มีแต่สิ่งที่เจ้าขบคิดไม่ออก แต่ไม่มีสิ่งที่นายท่านหกไม่ทำ”
เฉียวเวยหัวเราะ “ดูเหมือนว่างานที่นายท่านหกทำจะเป็นสิ่งที่เปิดเผยมิได้”
นายท่านหกประหลาดใจเล็กน้อย นางเข้าใจความนัยเสียด้วย!
อันที่จริงไม่ต้องฟัง แค่เดาเอาก็พอจะรู้ หากมันเป็นเรื่องถูกต้อง เหตุใดยิ่นอ๋องต้องหลบเลี่ยงสายตานับร้อยในเมืองหลวงมาถึงเมืองอันห่างไกลเพื่อคุย ‘ธุระ’ กับเขา โรงอิฐแห่งนี้ก็เป็นเพียงเครื่องมือใช้หลบซ่อนหูตาผู้คนเท่านั้น
นอกจากนั้นนางไม่เชื่อหรอกว่ายิ่นอ๋องจะมีธุระกับคนดีๆ
นายท่านหกยิ้มอย่างดูแคลนพร้อมทั้งกล่าวว่า “งานที่นายท่านหกทำไม่เป็นที่ยอมรับของราชสำนัก แต่แล้วอย่างไรเล่า มีคนมากมายในราชสำนักที่ขอร้องให้ข้าทำงานบางอย่างให้”
เฉียวเวยปรายตามองเขา “ท่านหมายถึงยิ่นอ๋อง”
ดวงตาของนายท่านหกหรี่ลง “เจ้ารู้จักเขาจริงๆ ด้วย ข้าสงสัยตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วว่าเขาเป็นคนปล่อยเจ้าไป”
เฉียวเวย “เหอะๆ”
ในเวลานี้นางไม่คิดจะพูดอะไรดีๆ ให้ยิ่นอ๋องหรอก
นายท่านหกราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างออก เขามองนางอย่างสงสัย “หรือว่าผู้ชายของเจ้า…จะเป็นยิ่นอ๋อง”
“ใช่”
“ไม่ใช่!”
ยิ่นอ๋องกับเฉียวเวยพูดพร้อมกัน
เฉียวเวยเหลือบมองยิ่นอ๋องที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวหน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด นางยิ้มละไม “โอ๊ะ ข้ากลายเป็นคนของท่านอ๋องตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าจึงไม่รู้เล่า”
ยิ่นอ๋องสาวเท้าเข้ามาในห้องรับรองแล้วมองนางด้วยสายตาถมึงทึง “ก่อเรื่องมากพอแล้วหรือไม่ หากก่อเรื่องพอแล้วก็ตามข้ากลับจวน อย่ามาทำตัวขายหน้าข้างนอก!”
ถ้าข้าไป!
ท่านจะขายหน้ากว่านี้อีก!
เฉียวเวยไม่สนใจเขาสักนิด นางยังคงแทะเมล็ดแตงในมือต่อไป “นายท่านหก ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้”
นายท่านหกมองนางแล้วมองยิ่นอ๋องอีกครั้ง สีหน้าท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังขบคิด
ยิ่นอ๋องจับข้อมือของนางแล้วพูดเสียงเย็นว่า “ปีนขึ้นเตียงข้า ให้กำเนิดลูกของข้า กลับกล้าบอกว่าไม่รู้จักข้า หรือจะให้ข้าทบทวนความทรงจำให้เจ้าว่าคืนนั้นเราเป็นสามีภรรยากันอย่างไร”
“แค่กๆ!” เฉียวเวยสำลัก
นายท่านหกสังเกตทั้งสองคนด้วยความสนใจ “นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านอ๋อง?”
เฉียวเวยเบิกตากว้าง “ใช่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจที่ท่านกำลังพูดสักนิด!”
ยิ่นอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านหก นางคือคุณหนูใหญ่เฉียวแห่งจวนเอินปั๋ว หลายปีก่อนนางมีสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับข้า ต่อมาจึงถูกไล่ออกจากจวนเอินปั๋ว ยามนั้นข้ามิทราบว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของข้าอยู่จึงมิได้ตามหานางตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั้งไม่นานมานี้ข้าเพิ่งทราบว่านางให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิงลับหลังข้า นายท่านหก ถึงข้าจะขอร้องท่านในเรื่องงาน แต่มิได้หมายความว่าตัวข้ายิ่นอ๋องเกรงกลัวท่าน ท่านอย่ามายุ่งกับผู้หญิงของข้าจะดีกว่า”
นายท่านหกรู้จักหนักเบา แม้ว่าเขากดดันยิ่นอ๋องในเรื่องงานได้ แต่เขาย่อมไม่ล่วงเกินยิ่นอ๋องจริงๆ ถึงอย่างไรยิ่นอ๋องก็เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่ต่อต้านราชวงศ์ล้วนไม่มีจุดจบที่ดี
นายท่านหกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินของสหายย่อมมิอาจข่มเหงรังแก! ก่อนนี้มิทราบฐานะของฮูหยินจึงล่วงเกินไปไม่น้อย ท่านอ๋องโปรดอย่าถือโทษ!”
“ท่านทำอะไร” มือของเฉียวเวยถูกเขาจับไว้แน่น
ยิ่นอ๋องกระซิบ “หากเจ้ายังอยากออกไปเป็นๆ ก็จงหุบปากเสีย!”
จนกระทั่งถึงเวลานี้ยิ่นอ๋องก็ยังไม่คิดว่านางคือเฉียวเวย สิ่งที่ทำทั้งหมดล้วนเพื่อช่วยนาง จึงจำใจต้องโกหกนายท่านหก
เฉียวเวยก็รู้ว่าเขากำลังโกหก แต่เฉียวเวยไม่ต้องการรับไมตรีจากเขา “เด็กไม่ใช่ลูกของท่าน! ข้าจะไม่ไปกับท่าน! ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านขาดสะบั้นไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว!”
สตรีรนหาที่ตาย ตนยอมเสียสละแม้แต่ชื่อเสียงของตนเองเพื่อช่วยนาง แต่นางกลับทำเป็นว่า ‘สวมหมวกเขียว’ ให้เขาใช่หรือไม่
ยิ่นอ๋องกัดฟันพูด “ถ้าไม่ใช่ลูกข้าแล้วเป็นลูกผู้ใด เจ้ายังมีความสัมพันธ์กับชายอื่นอีกหรือ”
“…ใช่!” เฉียวเวยสีหน้าจริงจัง
ยิ่นอ๋องรู้อยู่เต็มอกว่าทั้งเรื่องลูกก็ดี เรื่องปีนเตียงก็ช่าง ล้วนเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา ทั้งสองคนก็แค่แสดงต่อหน้านายท่านหกเท่านั้น แต่นางกลับทำให้เขาโกรธไม่น้อย
เรื่องราวเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ นายท่านหกมองทั้งสองคนด้วยความสนใจอย่างมาก
ยิ่นอ๋องบีบข้อมือของนางแน่นจนกระดูกเกือบหัก “เด็กเป็นลูกของผู้ใด เจ้ากล้าก็บอกข้ามา!”
จะบอกว่าผู้ใดดี อ้างคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าท่านอ๋องไม่ได้ อ้างเช่นนั้นนายท่านหกจะเชื่อได้เช่นไร
เฉียวเวยกลอกตาแล้วตอบว่า “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี!”
…
“ใต้เท้า คุณหนูเฉียวขอพบเจ้าค่ะ” ณ เรือนสี่ประสาน ลี่ว์จูเดินมาถึงประตูห้องหนังสือ รายงานอย่างนุ่มนวลกับคนที่นั่งอยู่ข้างใน
จีหมิงซิวขมวดคิ้วอย่างรำคาญ “บอกนางว่าข้ากำลังพักผ่อนหลังมื้อกลางวันอยู่ มิสะดวกให้ผู้ใดรบกวน”
ลี่ว์จูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “แต่…”
“แต่อะไร” จีหมิงซิวถามเสียงเรียบ
ลี่ว์จูหลุบตาลงและตอบว่า “นางได้รับคำสั่งจากเหล่าฮูหยินให้มาเชิญใต้เท้ากลับไปรับประทานอาหารค่ำที่จวน เหล่าฮูหยินกล่าวว่าหากใต้เท้ามิได้ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ไหวก็ให้กลับจวนพร้อมกับคุณหนูเฉียวเจ้าค่ะ”
จีหมิงซิวเหยียดยิ้ม โยนม้วนฎีกาในมือลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
เฉียวอวี้ซียืนคอยที่ประตูเงียบๆ นางสวมกระโปรงรัดเอวสีชมพูและสวมชุดสีขาวเรียบๆ สีชมพูตัดกับสีขาวดุจดอกท้อที่กำลังเบ่งบาน ช่างงดงามมีเสน่ห์ยิ่งนัก
“ใต้เท้าเจ้าคะ” นางโค้งคำนับอย่างสง่างาม น้ำเสียงของนางอ่อนหวานแผ่วเบา
สีหน้าท่าทางของจีหมิงซิวไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างตรงประเด็น “คุณหนูเฉียว ข้าหลบเลี่ยงเจ้ามาตลอด เจ้าน่าจะมองออกกระมัง”
สีหน้าของเฉียวอวี้ซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ใต้เท้า…”
จี้หมิงซิวพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อก่อนเห็นแก่ที่เจ้าเป็นสตรี คงรับความอับอายมิได้จึงไม่ต้องการทำร้ายเจ้า ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงเจ้ามาโดยตลอด หวังเพียงว่าเจ้าจะมองออกด้วยตัวเอง”
“ใต้เท้า…”
“ปีนั้นคนที่อดีตฮองเฮาหมั้นหมายไว้ให้เป็นภรรยาของข้าคือพี่สาวของเจ้า มิใช่เจ้า”
ใบหน้าของเฉียวอวี้ซีซีดเผือด “แต่พี่สาวของข้า นาง…”
จีหมิงซิวตอบอย่างเฉยเมย “หากนางปรากฏตัวต่อหน้าข้าแล้วขอให้ข้าแต่งงานกับนาง ข้าก็จะยอมรับการแต่งงานนั้น”
เฉียวอวี้ซีหน้าแดง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรืออับอาย “แต่นางทำเรื่องเช่นนั้นลงไป นางไม่มีคุณสมบัติแต่งเข้าสกุลจีอีกแล้ว!”
“นางไม่มี เจ้ายิ่งไม่มี” จีหมิงซิวตอบอย่างไม่เกรงใจสักนิด กล่าวจบก็หันหลังจากไป
“ใต้เท้า!” เฉียวอวี้ซีเรียกให้เขาหยุด มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น “ข้าไม่เชื่อว่าท่านปฏิเสธข้าเพราะเห็นแก่พี่สาวของข้า เป็นเพราะพี่หว่านไม่เห็นด้วยกระมัง ใต้เท้าได้โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย ข้าจะทำให้พี่หว่านชอบข้าให้ได้!”
จีหมิงซิวหมดความอดทน “ไม่เกี่ยวกับจีหว่าน”
“เช่นนั้นเหตุใดเล่า” เฉียวอวี้ซีมองแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของเขา แล้วเอ่ยอย่างตั้งใจยิ่งกว่าครั้งใด “หากใต้เท้ามิอาจให้เหตุผลที่ซีเอ๋อร์ยอมรับได้ ซีเอ๋อร์ก็มิอาจตัดใจจากสัญญาแต่งงานระหว่างข้ากับท่าน”
จีหมิงซิวหยุดนิ่ง แล้วหันกลับมามองหน้านาง “ข้ามีลูกแล้ว เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่”