หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 81-2 จบลงด้วยดี
ตอนที่ 81-2 จบลงด้วยดี
แสงสว่างภายในห้องไม่พอจึงต้องทำนอกห้อง ชาติก่อนตอนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คณะแพทย์ของพวกเขาเคยทำการผ่าตัดนอกสถานที่อยู่เหมือนกัน นั่นเป็นวิธีที่ใช้ยามไม่มีหนทางแล้ว การผ่าตัดภายนอกโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสูงมาก แต่หากไม่ผ่า โอกาสตายสูงยิ่งกว่า
เฉียวเวยปิดประตู “หากข้าไม่สั่งห้ามเข้ามา!”
เวลาแต่ละนาทีแต่ละวินาทีเคลื่อนผ่านไป นายท่านหกร้อนใจดั่งไฟเผา
ผู้ดูแลฉิวเอ่ยอย่างเป็นกังวล “นายท่านหก ทำเช่นนี้จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ ท่านเพิ่งพบหน้านางครั้งเดียว ยังไม่รู้จักนางดีเสียด้วยซ้ำ เหตุไฉนยอมตกลงให้นาง…ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้เล่า”
จริงด้วย ตนไม่รู้จักนางเลยสักนิด แต่เหตุใดจึงเชื่อนางเล่า
บางทีอาจเป็นเพราะท่าทางยามนางเก็บสีหน้าระรื่น แล้วถกเถียงอาการป่วยกับเขาคลับคล้ายหมอหญิงผู้นั้นในอดีตอย่างประหลาดกระมัง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เฉียวเวยก็ออกมา เป็นดังที่นางคาด ในท้องของไท่ฮูหยินคือทารกหิน ทารกหินไม่ได้เจริญเติบโตในมดลูก แต่เคลื่อนเข้าไปในช่องท้อง หลายปีนี้อยู่อย่างปลอดภัยมาตลอด แต่เมื่อหลายวันก่อนมันเคลื่อนจากตำแหน่งเดิมจนไปกดทับม้ามเข้า
โชคดีที่พบทันเวลา
ม่านราตรีโรยตัวลงมา เฉียวอวี้ซีร่ำไห้กลับมายังจวนเอินปั๋ว
…
สวีซื่อนั่งเป็นเพื่อนบุตรชายที่กำลังคัดอักษรอยู่ในห้อง ปลายหางตาเหลือบเห็นม่านขยับไหว เงาร่างอรชรสีชมพูก้าวเข้ามา ในใจรับรู้ว่าบุตรสาวกลับมาแล้วจึงถามขึ้นว่า “วันนี้เหตุใดจึงกลับเร็วเช่นนี้ มิได้บอกว่าจะทานอาหารเย็นด้วยกันกับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีหรือ”
สิ่งที่ตอบนางกลับเป็นเสียงร่ำไห้แผ่วเบา
สวีซื่อรีบหันไปมองบุตรสาวจึงพบว่าบุตรสาวหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงระเรื่อ หยดน้ำตาพรั่งพรู นางวางผ้าปักในมือแล้วเดินไปข้างกายบุตรสาว จากนั้นเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เฉียวอวี้ฉีเหลือบมองนางครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยบ่น “ยังจะเป็นอันใดได้เล่า แปดส่วนคงถูกพี่เขยอัครมหาเสนาบดีของข้าโยนออกมาล่ะสิ!”
“เฉียวอวี้ฉี!” เฉียวอวี้ซีตวาดลั่น
สวีซื่อเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “อวี้ฉี สงบคำเสียบ้าง!”
เฉียวอวี้ฉีแลบลิ้นใส่
สวีซื่อประคองบุตรสาวมานั่ง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้นาง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบบอกแม่เร็ว”
เฉียวอวี้ซีร่ำไห้เอ่ยไม่เป็นประโยค “ใต้เท้า…ใต้เท้ามีลูกแล้ว!”
สีหน้าของสวีซื่อเปลี่ยนไปทันที แล้วเหลือบมองเฉียวอวี้ฉีที่อยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสือ เฉียวอวี้ฉีแสร้งทำเป็นตั้งอกตั้งใจคัดตัวอักษร แต่ความจริงเงี่ยหูน้อยๆ ตั้งใจแอบฟังอยู่ อืม…ความจริงแล้วก็ไม่นับว่าแอบฟัง ผู้ใดให้พวกนางคุยกันไม่หลบเลี่ยงเขาเล่า
สวีซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แล้วกดเสียงเบาถาม “เจ้าฟังผู้ใดพูดเหลวไหลมา”
“ใต้เท้าพูดด้วยตนเอง! ทำเช่นไรดีท่านแม่ ใต้เท้ามีบุตรแล้ว ข้าตายแน่ ข้าแต่งไปจวนอัครมหาเสนาบดีมิได้แล้ว!” เฉียวอวี้ซีร้อนใจจนน้ำตาไหลพราก
บุตรสาวร้องไห้ ใจคนเป็นแม่ยากจะรับไหว แต่สวีซื่อเป็นคนผ่านน้ำร้อนมาก่อน ไม่ไร้เล่ห์เหลี่ยมดั่งเช่นบุตรสาว นางตบหลังมือของบุตรสาวเบาๆ “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ เรื่องนี้จริงหรือหลอกยังต้องสืบให้ชัด”
เฉียวอวี้ซีสะอื้นเอ่ยว่า “ยังจะสืบอันใดอีก ใต้เท้ายอมรับเองกับปาก! หรือท่านแม่คิดว่าใต้เท้าเป็นคนชอบเอ่ยวาจาเหลวไหลหรือ”
หากให้พูดกันจริงๆ แล้วสวีซื่อเป็นสตรีในห้องหอคนหนึ่ง นางย่อมมิเคยพบหน้าอัครมหาเสนาบดี ทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับอัครมหาเสนาบดีล้วนมาจากคำพูดของคนอื่น ทว่าจากที่นางรู้มา นางคิดว่าอัครมหาเสนาบดีไม่เหมือนคนพูดจาส่งเดช น่ากลัวว่าอัครมหาเสนาบดีจะไม่ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้จึงหาข้ออ้างมาสักอย่างด้วยความจำเป็น
เมื่อความคิดผุดขึ้นมา สวีซื่อก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าถามเจ้า เหล่าฮูหยินทราบเรื่องนี้หรือไม่”
เฉียวอวี้ซีสูดจมูก “น่าจะมิทราบ”
จีเหล่าฮูหยินอยากอุ้มหลานจนแทบเป็นบ้าอยู่แล้ว ขาดก็แต่บอกให้นางรีบแต่งงานเข้าหอต่อหน้าเท่านั้น หากทราบว่าใต้เท้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ข้างนอกจริง ไม่มีทางไม่รับอีกฝ่ายเข้ามาในจวนแน่
สวีซื่อหัวเราะหยัน “หากเหล่าฮูหยินยังมิทราบเรื่อง ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยังมีทางแก้ไข”
“ทำอย่างไร” เฉียวอวี้ซีหยุดร้องไห้แล้ว
สวีซื่อเอ่ยเสียงละมุน “เจ้าคิดดูสิ มีบุตรชาย เรื่องสำคัญเช่นนี้ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเหตุใดต้องปิดบังท่านแม่เฒ่า หากไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็คงเป็นเพราะบุตรกับมารดาพามาออกหน้าออกตามิได้ เจ้าคิดว่ามารดาเช่นไรเล่าที่พามาออกหน้าออกตามิได้”
เฉียวอวี้ซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “…คนที่ฐานะต่ำต้อยหรือ”
สวีซื่อยิ้มรับ “ไม่ผิด แล้วอาจมิใช่ต่ำต้อยธรรมดา แต่ถึงขนาดที่ว่าหากพากลับไป เกรงว่าแม้แต่ท่านแม่เฒ่ายังไม่อยากยอมรับ บุตรเช่นนี้มีสิ่งใดให้กลัวเล่า อย่างมากเจ้าก็รับเด็กกลับมา ทำตัวใจกว้างเป็นแม่เลี้ยงที่ดี ประการแรกแสดงออกถึงความใจกว้างของเจ้า ประการที่สองให้เหล่าฮูหยินคนนั้นหาข้อติเจ้ามิได้ รอวันหน้าเมื่อเจ้าแต่งเข้าจวนแล้วให้กำเนิดบุตรจากภรรยาเอก เด็กคนนั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้คนรักใคร่อีกแล้ว”
ใช่แล้ว ทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับบุตรภรรยาเอกดูแคลนบุตรอนุ บิดาของนางเป็นบุตรอนุภรรยา ท่านลุงใหญ่เป็นบุตรภรรยาเอก ท่านปู่จึงให้ท่านลุงใหญ่สืบทอดบรรดาศักดิ์ ความจริงแล้วท่านพ่อมีตรงไหนสู้ท่านลุงใหญ่มิได้เล่า แต่เพราะเกิดมาจากอนุภรรยา ท่านปู่จึงดูแคลนก็เท่านั้น
เมื่อนางให้กำเนิดบุตรภรรยาเอกแก่ใต้เท้าหมิงซิว ลูกอนุคนนั้นก็คงสูญเสียความรักไปด้วย
“แต่…มารดาของเด็กคนนั้นเล่าจะทำเช่นไร” นางไม่อยากให้มีสตรีคนหนึ่งมาเป็นตัวการสำคัญแบ่งความรักของใต้เท้าไปจากนางหรอกนะ
สวีซื่อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่อนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าเอาเด็กมาเลี้ยงไว้ข้างตัว แม้แต่สิทธิเลี้ยงดูฟูมฟักนางก็ยังไม่มี จะเอาอันใดมาแข่งกับเจ้า เจ้าเพียงต้องจำไว้ว่า ยิ่งเจ้าใจกว้างเท่าใด สถานการณ์ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเจ้าเท่านั้น”
เฉียวอวี้ซีพยักหน้าคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
สวีซื่อเอ่ยอีกว่า “แน่นอน สิ่งเหล่านี้หมายถึงสถานการณ์ที่ใต้เท้ามีลูกจริง เมื่อครู่แม่ก็บอกแล้วว่าใต้เท้าอาจไม่มีลูก แต่เพราะอยากปฏิเสธเจ้าจึงเอ่ยออกมาส่งๆ เท่านั้น แม่จะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ก่อนหน้านั้นเจ้าอย่าเผลอโมโหร้าย แล้วยิ่งห้ามไปฟ้องเรื่องใต้เท้ากับเหล่าฮูหยิน! เหล่าฮูหยินเอ็นดูเจ้าจริง แต่นางรักหลานนชายแท้ๆ มากกว่า อยู่ต่อหน้าเหล่าฮูหยิน อย่าได้ต่อว่าใต้เท้าแม้แต่คำเดียว”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉียวอวี้ซีขยำผ้าเช็ดหน้า “แล้วก็ พี่หว่านมิชอบข้า”
สวีซื่อแค่นเสียงเหอะ “นางเป็นสตรีที่แต่งออกไปแล้ว ยังคิดจะยื่นมือกลับมาที่บ้านแม่หรือ ไม่ต้องสนใจนาง”
“อืม”
สวีซื่อถามอีกว่า “ใต้เท้ายังพูดอันใดอีกหรือไม่”
เฉียวอวี้ซีกัดริมฝีปาก แล้วเอ่ยอย่างยากเก็บกลั้นความขุ่นเคือง “เขายังกล่าวว่า ผู้ที่เขาหมั้นหมายด้วยคือพี่สาวบ้านใหญ่ มิใช่ข้า หากพี่สาวบ้านใหญ่ปรากฏตัวตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาจะยอมรับการแต่งงาน แต่ข้าไม่ได้”
แววตาของสวีซื่อหม่นหมองลงเล็กน้อย “ดูท่า ภัยร้ายใหญ่หลวงที่สุดก็ยังเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า น่าเสียดายหวังมามาที่ส่งไป ‘กำจัด’ พี่ใหญ่ของเจ้าไปแล้วไม่กลับ แปดส่วน…คงจะตายอยู่ข้างนอกแล้ว”
เฉียวอวี้ซีแววตาวูบไหว คว้ามือสวีซื่อมากุมแน่น “ถ้าเช่นนั้นจะทำเช่นไรเล่า ท่านแม่” นางไม่สนใจความเป็นความตายของหวังมามาแม้แต่น้อย
สวีซื่อหัวเราะเย็นชา “เรื่องเหล่านี้เจ้ามิต้องกังวลใจไป สงบใจประจบเหล่าฮูหยินไว้ ให้เหล่าฮูหยินขาดเจ้ามิได้ ส่วนที่เหลือยกให้แม่ แม่จะจัดการให้เจ้าเอง!”
…
มารดาของนายท่านหกกลับมามีสุขภาพดีแล้ว นายท่านหกดีใจยิ่งนักจึงขนข้าวของกองพะเนินขึ้นเขามาขอบคุณเฉียวเวย
เขาเข้าห้องมาปุ๊บก็ไม่พูดพร่ำ คุกเข่าลงเป็นอย่างแรก!
เฉียวเวยสะดุ้งโหยง “นายท่านหก ท่านทำอันใดกันนี่”
นายท่านหกประสานมือเอ่ยว่า “ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าหากเจ้าช่วยแม่ข้าได้ ข้าจะโขกศีรษะยอมรับผิดกับเจ้า ก่อนหน้านี้ล่วงเกินมากนัก ขอท่านหมอเฉียวมิคิดแค้นความผิดของผู้น้อย ให้อภัยผู้แซ่ลู่ด้วย!”
เฉียวเวยส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้ม “นายท่านหกลุกขึ้นเถิด ก่อนหน้านี้ข้าก็ผิดเหมือนกัน มิสมควรตีท่านแล้วยังปล้นเงินท่าน”
นายท่านหกลุกขึ้นยืน แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี “พวกเรานี่คงเรียกว่าไม่ทะเลาะไม่รู้จักกัน!”
…
เฉียวเวยเลือกวันมงคลวันหนึ่ง เริ่มสร้างบ้าน
นายท่านหกเป็นคนนำอิฐ หิน ไม้และกระเบื้องมาส่งด้วยตนเอง เดิมทีเฉียวเวยไม่ได้สั่งไม้ไว้ เพราะคิดว่าตนเองขึ้นเขาไปตัดไม้เองได้ แต่นายท่านหกมากไมตรียากปฏิเสธ นางจึงรับไว้อย่างยินดี นอกจากสิ่งเหล่านี้นายท่านหกยังหาประทัดมาอีกพวงเบ้อเริ่ม จุดตั้งแต่หน้าหมู่บ้านจนถึงบนภูเขา เสียดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทั่วทั้งหมู่บ้านมีแต่เสียงประทัดดังโป้งป้าง
ผู้อื่นประจบเช่นนี้ เฉียวเวยย่อมไม่เอาเปรียบอีกฝ่าย
เฉียวเวยจัดงานเลี้ยงบนภูเขา เรียกนายช่างทั้งหลายกับนายท่านหก และคนของโรงอิฐมาร่วมทานอาหารเปิดงานก่อสร้างด้วยกัน
คนมากมายวุ่นวายนัก เฉียวเวยเชิญมารดาของเอ้อร์โก่วจื่อมาช่วยงาน ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเองก็มาด้วย นางมาของนาเอง แล้วก็ยังมีป้าจ้าวอีกคน แต่ป้าจ้าว ป้าหลัวเป็นคนเชิญมา
เมื่อทุกคนเข้ามาในลานบ้านแล้ว คนที่แบกน้ำก็แบกน้ำ คนที่เชือดไก่ก็เชือดไก่ คนที่หั่นผักก็หั่นผัก เรื่องที่ต้องเอ่ยถึงสักหน่อยก็คือคืนวันก่อนเฉียวเวยขนไข่เยี่ยวม้าทั้งหมดไปไว้ที่บ้านของป้าหลัวแล้ว ครั้งนี้ในห้องครัวนอกจากเนื้อรมควันกับเนื้อพะโล้ที่ตนเองทำไว้จำนวนหนึ่งจึงไม่มีสิ่งอื่นอีก
ห้องครัวสะอาดสะอ้านสุดจะกล่าว พวกป้าๆ น้าๆ ที่หาเวลาว่างมาเมียงมองตัวบ้านต่างตกอกตกใจ ปีก่อนอย่างกับรังหนู พริบตาเดียวก็เก็บกวาดจนเรียบร้อยปานนี้เชียว
“ป้าหลัวยอดเยี่ยมจริงเชียว เสี่ยวเฉียวเอาอย่างท่านแล้วเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน” มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อเอ่ยประจบป้าหลัว
ป้าหลัวคลี่ยิ้มตอบว่า “หากข้าเก่งกาจเช่นนั้น บุตรชายสองคนนั้นของข้าเหตุใดไม่เอาไหนเช่นนี้เล่า เสี่ยวเฉียวนางคิดตกเองแล้วตัดสินใจจะใช้ชีวิตให้ดี จึงพาครอบครัวก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้”
ทุกคนคิดว่านางเพียงไว้หน้าลบุตรสาวเท่านั้นจึงพากันคลี่ยิ้ม แต่ในใจไม่เชื่อ
ป้าหลัวเห็นทุกคนไม่เชื่อก็โบกมือ วันใดวันหนึ่งพวกเจ้าก็จะรู้เอง!
ชาวบ้านมายืนชมดูความครึกครื้นกันเต็มตีนเขา ในหมู่บ้านไม่มีคนสร้างบ้านมานานนักแล้ว ช่างครึกครื้นจริงๆ เทียบกับครั้งก่อนครั้งใดล้วนครึกครื้นยิ่งกว่า ชาวบ้านที่อายุมากบางคนเคยเห็นตอนหัวหน้าหมู่บ้านสร้างบ้านมาก่อน พวกเขาพบว่าเสี่ยวเฉียวสร้างบ้านได้อลังการยิ่งกว่าหัวหน้าหมู่บ้านเสียอีก เพียงแค่ประทัดนั่น คราวหัวหน้าหมู่บ้านครั้งนั้นก็ไม่มีแล้ว
น้าหลิวอิจฉาจนกระทืบเท้า ป้าหวังคนนั้นจัดการอย่างไรกัน มิใช่บอกว่าจะขึ้นเขาไปจับตัวลูกสะใภ้กลับบ้านหรือ เหตุใดเสี่ยวเฉียวยังอยู่ดีอยู่บนเขาอยู่อีก แล้วยังซื้อที่ดินเริ่มสร้างบ้านอีกด้วย
“เสี่ยวเฉียวเก่งจริงเชียว ลูกชายก็สอบผ่าน ลูกสาวก็ได้รางวัล ตอนนี้ยังจะสร้างบ้านอีก!” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยอย่างอิจฉา
อีกคนหนึ่งก็เอ่ยรับ “ก็คิดไว้แล้วเชียว ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกว่าเสี่ยวเฉียวไม่ธรรมดา ดูสิ ข้าพูดถูกไหมเล่า!”
“เจ้าเคยพูดตั้งแต่เมื่อใด”
“ข้าเคยพูด ตอนอยู่หน้าบ้านเจ้าไง!”
ทั้งสองคนโต้เถียงกัน
น้าหลิวเกลียดเวลาคนพูดชมเฉียวเวยเป็นที่สุด มันเหมือนคนถือมีดมาเฉือนเนื้อนาง สุดจะทานทน!
นางกลอกตา แล้วกลับบ้านของตนอย่างกระฟัดกระเฟียด
กลิ่นอาหารหอมฉุยชวนให้คนน้ำลายสอลอยลงมาจาบนเขา ชาวบ้านทั้งหลายกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย เวลานี้พวกเขาพลันนึกเสียดาย เหตุใดจึงไม่ผูกมิตรกับเสี่ยวเฉียวเอาไว้นะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คนที่ขึ้นเขาไปช่วยงานก็คงเป็นพวกเขาแล้ว! ได้ยินว่าไม่เพียงมีของอร่อย แต่ยังได้เงินค่าแรงด้วย วันละตั้งหลายสิบอีแปะ!
เฉียวเวยมอบเงินค่าแรงให้จริง นายช่างใหญ่หนึ่งวันสองร้อยอีแปะ ลูกมือช่างหนึ่งวันหนึ่งร้อยอีแปะ คนช่วยงานในครัวได้เท่าลูกมือช่าง หนึ่งวันหนึ่งร้อยอีแปะเช่นกัน แต่ห้องครัวยังมีรายได้พิเศษ นั่นก็คืออาหารที่ทำไม่หมดนำกลับไปด้วยได้ ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงทำงานอย่างแข็งขันยิ่งนัก
“มารดาข้าเรียกให้เจ้าไปกินข้าวกลางวันบ้านข้า” ในห้องเรียน จิ่งอวิ๋นเอ่ยกับเอ้อร์โก่วจื่อ
เอ้อร์โก่วจื่ออยากไปเล่นที่บ้านจิ่งอวิ๋นตั้งแต่แรกแล้ว “มีอะไรอร่อยบ้าง”
จิ่งอวิ๋นตอบว่า “เนื้อน้ำแดง แกงวุ้นเส้นเนื้อแพะ แป้งทอดไส้เนื้อวัว กีบเท้าหมูตุ๋นซีอิ๋ว”
สหายตัวน้อยทั้งหลายต่างกลืนน้ำลายในปาก มีเนื้อด้วย…เนื้อเยอะแยะมากมาย…
เอ้อร์โก่วจื่อออกจากห้องเรียนอย่างเบิกบานใจ เขารู้ว่าเหตุใดตนได้ไปกินข้าวก็เพราะมารดาของเขาช่วยงานอยู่บนเขาอย่างไรเล่า หลายวันนี้เขาล้วนได้กินข้าวที่บ้านจิ่งอวิ๋น สุดยอดเหลือเกินเชียว!
ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ไปด้วย เขาเดินนำเด็กดื้อหลายคนขึ้นเขาอย่างอารมณ์ดี
สตรีนางหนึ่งเดินทางมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาดาษดื่น ไม่ดูยากไร้แต่ก็ไม่มีกลิ่นอายความร่ำรวย บนร่างนางเดิมมีกลิ่นเครื่องหอมชวนดม แต่น่าเสียดายถูกกลิ่นกำมะถันตลบอบอวลกลบเสียมิด
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก แล้วเอ่ยถามแม่เฒ่าคนหนึ่งด้านข้าง “แม่เฒ่า ข้าถามข่าวคนผู้หนึ่งได้หรือไม่”
“อะไรนะ” แม่เฒ่าหูตึง
สวีซื่ออยากตะโกนดังขึ้นอีกหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าทำแบบนั้นเหมือนไม่ได้รับการสั่งสอน แล้วจะขยับเข้าไปพูดใกล้ๆ แม่เฒ่าก็รังเกียจว่าตัวแม่เฒ่าเหม็นกลิ่นคนจน จึงขมวดคิ้วแล้วหันไปถามชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่ง “พ่อหนุ่ม ถามข่าวคนผู้หนึ่งได้หรือไม่”
สวีต้าจ้วงมองนางแล้วถามว่า “ถามเรื่องผู้ใดเล่า”
สวีซื่อคลี่ยิ้ม “หมู่บ้านพวกเจ้ามีคนต่างถิ่นแซ่เฉียวหรือไม่”
สวีต้าจ้วงขมวดคิ้วอย่างระแวง “เจ้าเป็นใคร”
สวีซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้ามิใช่คนไม่ดี ลูกชายข้าเข้าร่วมการสอบเสินถงด้วย แต่สอบไม่ผ่าน ข้าได้ยินมาว่าหมู่บ้านพวกเจ้ามีคนต่างถิ่นแซ่เฉียวคนหนึ่งสอบผ่าน จึงอยากมาขอคำแนะนำเรื่องการสอนสั่ง”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ขึ้นไปเถอะ นางอยู่บนเขา” สวีต้าจ้วงสะบัดมือชี้ “แต่เจ้ามาไม่ค่อยเหมาะนัก บ้านนางกำลังสร้างบ้านอยู่ น่าจะไม่มีเวลาสนใจเจ้า”
สวีซื่อตะลึงเล็กน้อย “สร้างบ้านหรือ นางมิใช่คนต่างถิ่นหรือไร เหตุไฉนจึงสร้างบ้านที่หมู่บ้านพวกเจ้าได้”
“นางซื้อที่ดินผืนนั้นแล้ว” สวีต้าจ้วงตอบ
ซื้อที่ดิน นั่นต้องใช้เงินเท่าใดกัน
“หลีกไปๆ!” ชายฉกรรจ์เปลือยแขนหลายคนดันรถเข็นคันหนึ่งพุ่งมาอย่างดุดัน ชาวบ้านทั้งหลายพากันหลบหลีกเปิดทางเส้นหนึ่งให้
สวีซื่อโซเซถอยหลังมาหลายก้าว รถเข็นเฉียดผ่านแขนเสื้อของนางไป นางตกใจนึกว่าตนจะถูกชนเสียแล้ว เหงื่อเย็นไหลรินลงมา
ทว่าขณะที่รถเข็นเฉียดผ่านร่างตนชั่วพริบตานั่นเอง นางก็มองเห็นของบนรถ มันเป็นรถขนหินเขียวเต็มคัน แล้วบนหินเขียวยังมีหมอนมังกรหยกใบหนึ่งวางพาดอยู่
หมอนมังกรหยกย่อมมิใช่หมอนจริงๆ แต่เป็นหยกธรรมชาติคุณลักษณะใสแวววาวชิ้นหนึ่งที่ถูกสลักเป็นรูปร่างคล้ายกับหมอน เมื่อวางไว้ในบ้านจะมีความหมายเชิงขับไล่สิ่งอัปมงคล เปิดรับเงินรับทอง หมอนมังกรหยกมิใช่ว่านายช่างคนไหนก็จะทำได้ การจะสร้างมีกฎอยู่ว่าต้องเป็นนายช่างอาวุโสอายุมากกว่าสี่สิบปีจึงมีคุณสมบัติแกะหมอนมังกรหยก ก่อนแกะยังต้องมีการจุดธูปถวายเหล้า เจตนาเพื่อชักนำไอมังกรเข้าสู่ตัวหมอน หวังให้เทพยาดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์คุ้มครอง
คำอธิบายเช่นนี้ ในความเห็นของสวีซื่อ มากน้อยก็มีเล่ห์เหลี่ยมของการค้าแทรกอยู่ ผู้อื่นมิได้เห็นพิธีก่อนการแกะสลักหมอนมังกรหยกจริงๆ เสียหน่อย มิใช่ว่าร้านค้าพูดอันใดก็ได้ตามใจหรือ แต่สิ่งที่ปฏิเสธมิได้ก็คือเมื่อหมอนมังกรหยกอยู่ในตลาด มันคือของที่ราคาแพงแล้วยังไม่ค่อยมีขาย เมื่อก่อนนางก็เคยคิดซื้อให้สามีชิ้นหนึ่ง แต่เสาะหาอยู่นานกลับซื้อหาไม่ได้ ผู้ใดจะคิดว่าจะมาเจอในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง!
เห็นรถเข็นมุ่งหน้าขึ้นไปยังภูเขา คิดว่าคงจะไปมอบให้คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวคนนั้น
หวังมามามิได้บอกว่านางยากจนมากหรือ หมอนมังกรหยกมิใช่ของที่คนจนซื้อไหวหรือหาซื้อได้นะ!
สาวน้อยคนนั้น…ซ่อนเงินส่วนตัวไว้ลับหลังนางหรือ
เสิ่นซื่อนังคนต่ำช้านั่นต้องเหลือทางรอดไว้ให้ลูกสาวของมันแน่!
…
เมื่อหินเขียวมาถึงบนภูเขา เฉียวเวยก็เห็นหยกก้อนโตที่อยู่ด้านบนสุดทันที!
นายท่านหกเห็นสองตาของนางเปล่งประกายก็ยิ้มร่า “หมอนมังกรหยก เรียกทรัพย์สินเงินทอง นำพามงคลขับไล่สิ่งชั่วร้าย นอกจากนายท่านหกคนนี้ ไม่มีผู้ใดหามาให้เจ้าได้แล้ว! เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่”
ชอบสิชอบ!
หยกก้อนเบ้อเริ่มเทิ่มเช่นนั้น จะราคาสักเท่าใดกัน
วันไหนขาดเงินเอาไปจำนำ น่าจะแลกร้านค้ากลับมาได้สักร้านเลยกระมัง
เฉียวเวยกอดหมอนมังกรหยกแนบอกเดินเข้าบ้าน แล้วยักคิ้วให้นายท่านหก “นายท่านหก! คบท่านเป็นสหายไม่เสียเปล่าจริงๆ!”
นายท่านหกหัวเราะฮ่าๆ
สวีซื่อเดิมทีคิดจะขึ้นเขาไปสำรวจให้รู้ชัด แต่เห็นคนมากมายจึงเลิกล้มความคิดนี้ไปก่อน ระหว่างทางกลับเมืองหลวง นางคิดอยู่ตลอดว่าเสิ่นซื่อซ่อนเงินไว้ให้เฉียวเวยเท่าใดกันแน่ เสิ่นซื่อผู้นั้นมาจากหุบเขาสมุนไพร เกิดมารูปโฉมงดงามดั่งนางสวรรค์มิใช่คนเดินดิน แล้วยังมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ไม่แปลกที่พี่ใหญ่เห็นนางครั้งแรกก็มิสนใจคำคัดค้านของคนในบ้าน ตบแต่งนางเข้าตระกูลมาทันที
เสิ่นซื่อเองก็มิปล่อยให้คนดูแคลน สินเดิมตอนตบแต่งเข้ามามีสิบหมื่นตำลึงเงิน หลังแต่งงานก็เปิดหอหลิงจือในนามของพี่ใหญ่ นางเคยเห็นเสิ่นซื่อรักษาคนกับตาตนเอง วิชาแพทย์เหนือกว่าพี่ใหญ่ไกลนัก คนที่หมดลมหายใจไปแล้วยังถูกนางเรียกกลับมาจากปากประตูผีได้
แต่อย่าได้คิดว่านางนิสัยโอนอ่อนเพราะฝีมืออันยอดเยี่ยมกับความมีเมตตาของนางเชียว นับแต่นางแต่งงานก็ให้กำเนิดบุตรสาวเพียงคนเดียว หลังจากนั้นไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์อีก เคยมีญาติที่หมายตาพี่ใหญ่ส่งคนเข้ามาในห้องนอนเขา นางไม่เพียงไล่คนเหล่านั้นออกไปหมดทุกราย แต่ยังเลือกสาวงามล้ำเลิศสิบกว่าคนส่งไปบ้านญาติเหล่านั้น ทำเอาครอบครัวของผู้อื่นวุ่นวายไม่เป็นสุข
ยามเสิ่นซื่อยังมีชีวิต บ้านรองไม่มีโอกาสแม้แต่จะหายใจ นางเป็นดั่งภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านไม่ขยับ กดทับอยู่เหนือศีรษะพวกเขานิ่งสนิท
น่าดีใจนักที่นางอายุสั้น มิเช่นนั้นบ้านรองจะมีวันได้เชิดหน้าชูตาเสียที่ไหน
สาเหตุที่เฉียวเวยแสร้งทำเป็นไม่รู้จักหวังมามา ไม่ยินดีมีความสัมพันธ์กับบ้านเฉียว แปดส่วนคงเป็นเพราะกังวลว่าจวนเอินปั๋วจะกลับมาทวงสมบัติส่วนตัวที่มารดานางทิ้งไว้ให้ล่ะสิ สมบัติส่วนตัวเหล่านั้นน่าจะมากมายกว่าสินเดิมของเสิ่นซื่อมากนัก…
พอคิดถึงตรงนี้ สวีซื่อพลันทนไม่ได้…