หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 84-1 สั่งสอนเฉียวอวี้ซี
ตอนที่ 84-1 สั่งสอนเฉียวอวี้ซี
เดือนสี่ถึงเดือนเก้าเป็นฤดูกาลเหมาะแก่การกินกุ้ง กุ้งตัวอวบเนื้อแน่นรสโอชะที่สุดระหว่างเดือนห้าถึงเดือนเจ็ด หลัวหย่งจื้อจำต้องรีบเร่งจัดการเรื่องรับซื้อให้เรียบร้อยก่อนเดือนห้า เมื่อมีแหล่งสินค้าที่แน่นอนแล้ว ทุกสิ่งจึงจะราบรื่น
หลัวหย่งจื้อสนใจเรื่องนี้ยิ่งกว่าทำนาเสียอีก ไม่ต้องให้มารดาผู้ชราเร่ง ฟ้ายังไม่สางเขาก็แต่งตัวออกจากบ้านแล้ว
ฝั่งหลัวหย่งจื้อตระเวนรับซื้อกุ้งในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้าน ฝ่ายเฉียวเวยก็เข้าเมือง อธิบายแผนการของตนเองกับเถ้าแก่หรง
เถ้าแก่หรงฟังแล้วก็สูดหายใจเย็นยะเยือกเบาๆ “กุ้งหรือ หรงจี้ก็ปรุงกุ้งอยู่ทุกปีนะ แต่ขายได้ไม่ค่อยดีเท่าไร”
เฉียวเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ให้พ่อครัวทำมาหนึ่งจาน
กุ้งตอนนี้ตัวโตสักหน่อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ใหญ่ถึงแปดเก้าเฉียน กินแล้วไม่อร่อยนัก อาหารที่พ่อครัวทั้งหลายทำออกมาคือกุ้งต้มพะโล้ หากกล่าวถึงรสชาติเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้มีข้อตินัก ถึงอย่างไรผู้อื่นก็ไม่ได้เป็นพ่อครัวมาหลายปีเสียเปล่า
“เป็นอย่างไร” เถ้าแก่หรงถามเฉียวเวย
เฉียวเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ แล้วตอบอย่างจริงจัง “รสชาติข้าให้ผ่าน”
เถ้าแก่หรงเบ้ปากเอ่ยว่า “ใช่ไหมเล่า อร่อยสินะ แต่อร่อยแล้วมีประโยชน์อันใด ข้าไม่ปิดบังเจ้า กุ้งนี่ข้าขายได้ยังไม่ถึงวันละห้าสิบชั่ง! เจ้าให้พี่ชายเจ้าซื้อมาวันละห้าร้อยชั่ง…ราคาข้าจะไม่พูด ข้าคนนี้เวลาซื้อวัตถุดิบไม่เคยงก แล้วเขายังเป็นพี่ชายของเจ้าอีก ให้เขาได้กำไรมากหน่อย ข้าก็ไม่ถือสา แต่ข้าซื้อมาเก็บไว้เปล่าๆ ในห้องไม่ได้ แบบนั้นมิใช่ให้ข้าเอาเงินตัวเองไปเททิ้งหรอกหรือ”
เฉียวเวยยิ้มอย่างมั่นใจ “เถ้าแก่หรง ท่านวางใจเถิด ขอเพียงท่านทำตามที่ข้าว่า ไม่ต้องพูดถึงห้าสิบชั่ง ข้ารับประกันว่าห้าร้อยชั่งก็ขายหมดเกลี้ยง ถึงเวลาท่านจะรังเกียจว่าพี่ชายข้าหาของให้ได้ไม่พอ!”
เถ้าแก่หรงมองประเมินเฉียวเวยตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งอย่างไม่เชื่อถือ “ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะเสี่ยวเฉียว ความคิดไม่เข้าท่านี่เป็นของเจ้า หากขายไม่ออก เงินที่ขาดทุนจะหักจากส่วนแบ่งปลายปีของเจ้า!”
เฉียวเวยหยิบเมล็ดแตงมากำหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นหากขายออก ท่านต้องเพิ่มโบนัสสิ้นปีให้ข้าเป็นพิเศษล่ะ”
“โบนัสสิ้นปีคืออะไร” เถ้าแก่หรงถามอย่างมึนงง
เฉียวเวยขบเมล็ดแตงแล้วเอ่ยว่า “หมายถึงเงินขวัญถุงก้อนใหญ่”
เถ้าแก่หรงแค่นเสียงเหอะ “คิดก่อนเถิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุน ข้ากลัวว่าถึงเวลาเงินส่วนแบ่งของเจ้าจะยังไม่พอถมที่ว่างที่เจ้าขาดทุนไปเสียด้วยซ้ำ!”
เฉียวเวยไม่อยากเถียงประเด็นนี้กับเขา ไว้เห็นเองกับตาก็รู้ รอจนถึงวันนั้นจริงๆ จะเป็นล่อหรือเป็นม้าเขาก็จะเข้าใจเอง “เรื่องนี้ ท่านเชื่อข้า ไม่พลาดแน่”
“เจ้าวางแผนว่าจะทำอย่างไร” เถ้าแก่หรงคว้าเมล็ดแตงมาบ้าง น่าชังนัก เขาไม่ชอบกินเมล็ดแตงแท้ๆ แต่เจ้าคนนี้ชอบมาขบกินต่อหน้าเขาอยู่เรื่อยจนเขาอยากกินขึ้นมาด้วย!
เฉียวเวยตอบว่า “เช่าถนนฝั่งตรงข้ามมาไว้ก่อน”
“ทั้ง ทั้งถนนหรือ” เถ้าแก่หรงเกือบจะกลืนเปลือกเมล็ดแตงลงไปด้วย!
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าไม่ได้หมายถึงร้านค้า แต่หมายถึงตำแหน่งที่ตั้งแผงฝั่งตรงข้ามพวกนั้น”
ถนนที่หรงจี้ตั้งอยู่แบ่งออกเป็นเหนือใต้สองฝั่ง หรงจี้อยู่ทางใต้ ทางใต้มีร้านค้าเรียงรายแน่นขนัด ฝั่งเหนือก็มีร้านรวงอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล แต่ตรงกลางมีระยะทางยาวช่วงหนึ่งที่ไม่มีร้าน แต่เป็นที่ตั้งแผงทั้งหมด เฉียวเวยเริ่มแรกก็ตั้งแผงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหรงจี้
เถ้าแก่หรงเบิกตามองนางอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าจะเช่าที่มากมายเช่นนั้นไปทำอะไร”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ถึงเวลาท่านก็รู้เอง”
เถ้าแก่หรงเดาะลิ้น “จะเช่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ง่าย เจ้าเคยตั้งแผงขายของน่าจะทราบดีว่ามันเช่าเป็นรายวัน”
เฉียวเวยไม่ปฏิเสธ “ข้าย่อมทราบ แต่ที่ให้เช่ารายวันเป็นการเช่าแผงค้าขายตอนกลางวัน ถึงตอนบ่ายก็ไม่มีคนแล้ว ส่วนพวกเราจะเช่ากันตอนกลางคืน ไม่ส่งผลต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้พวกเราไม่เช่า ที่ตรงนั้นก็ไม่มีผู้อื่นเช่า ได้แต่ปล่อยว่างไว้ เหตุใดจะไม่ให้พวกเราเช่าเล่า”
เถ้าแก่หรงพยักหน้าเข้าใจในทันที “ได้ เรื่องนี้ยกให้ข้า”
เฉียวเวยมอบกระดาษแผนผังที่วาดเรียบร้อยแล้วให้เขาต่อ ตัวนางเองวาดสิ่งเหล่านี้มิได้ เมื่อเช้าจึงไปที่ลานก่อสร้างขอให้นายช่างเจิ้งช่วย “นี่เป็นของที่ถึงเวลาต้องใช้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อีกอย่างหนึ่งกิจการนี้ของพวกเราจะเปิดตั้งแต่ดึกถึงยามสาม จะปล่อยให้พวกพ่อครัวทำงานตั้งแต่เช้าถึงดึกไม่พักไม่ได้ ต้องหาเพิ่มสักหลายคน ผลัดเวรกัน”
เถ้าแก่หรงโคลงศีรษะแล้วรับปากอย่างฉับไวยิ่งนัก “ได้ ถึงอย่างไรขาดทุนก็หักจากส่วนของเจ้า!”
ขาดทุนหรือ
เรื่องที่สมควรขาดทุน ชาติก่อนนางลิ้มลองมาหมดแล้ว หากชีวิตนี้ยังเดินซ้ำรอยเดิมอีก ถ้าเช่นนั้นก็ตายเสียเปล่ามารอบหนึ่งจริงๆ แล้ว
ตกกลางคืนครอบครัวล้อมวงทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ ป้าหลัวตักหมูสามชั้นน้ำแดงให้จิ่งอวิ๋น แล้วตักกุ้งให้วั่งซู กุ้งเหล่านี้เป็นส่วนที่หลัวหย่งจื้อจับมาจากแม่น้ำระหว่างทางไปรับซื้อกุ้ง ขนาดตัวเล็กอยู่บ้าง หากตุ๋นน้ำมันจะกินไม่ติดลมนักจึงเอามาแกะเนื้อกุ้งผัดกินเสีย
“พี่ใหญ่ ท่านรับซื้อกุ้งเป็นอย่างไรบ้าง” เฉียวเวยถาม
หลัวหย่งจื้อพุ้ยข้าวคำหนึ่ง “ก็ดี คนในหมู่บ้านกับหมู่บ้านข้างเคียงรู้จักกันหมด พอข้าบอกว่าจะรับซื้อกุ้ง พวกเขาก็ตกลง บอกว่ากุ้งหลายวันนี้ยังตัวใหญ่ไม่พอ รออีกสองวันตัวใหญ่แล้วจะส่งมาให้ข้าทันที”
เฉียวเวยยิ้มอย่างยินดี “ถ้าเช่นนั้นก็ดี!”
“เหตุใดท่านลุงใหญ่รับซื้อกุ้งมากมายปานนั้นเล่า” วั่งซูกะพริบตาปริบๆ ถาม
เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยของนางแล้วตอบอย่างรักใคร่ “เพราะกุ้งทำเงินได้ ท่านลุงใหญ่จึงจะทำการค้าบ้าง”
“อ้อ” วั่งซูคล้ายเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ
ชุ่ยอวิ๋นปวดใจที่เห็นสามีต้องวิ่งไปวิ่งมาจึงคีบเนื้อสามชั้นน้ำแดงชิ้นหนึ่งให้สามี หลัวหย่งจื้อเห็นใจที่นางต้องให้นมลูกแล้วยังต้องทำนา จึงคีบเนื้อใส่ในชามนางชิ้นหนึ่งบ้าง ชุ่ยอวิ๋นก้มหน้าขยับยิ้ม แม้เขินอายแต่ก็กินเข้าไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
เฉียวเวยเห็นภาพนี้พลันถอนหายใจด้วยความอิจฉา ความจริงแล้วความสุขเป็นเรื่องที่แสนจะเรียบง่ายเรื่องหนึ่งก็ได้สินะ เหมือนอย่างพี่ใหญ่หลัวกับชุ่ยอวิ๋น ความรักอันมั่นคงทำให้วันเวลาอันยากลำบากผ่านไปอย่างหวานล้ำ
ทานอาหารเสร็จ ชุ่ยอวิ๋นกับหลัวหย่งจื้อก็อุ้มบุตรชายกลับเข้าห้อง ป้าหลัวเข้ามาคุยกับเฉียวเวยในห้อง เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เส้นผมอย่างเปียกชุ่ม ป้าหลัวกับเฉียวเวยจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดให้ทั้งสองอย่างพิถีพิถัน
“เจ้าเจรจากับหรงจี้ได้ความว่าอย่างไร” ป้าหลัวถามเสียงเบา
เฉียวเวยทราบว่านางถามถึงเรื่องกุ้งจึงตอบว่า “เจรจาเรียบร้อย เตรียมตัวสักสามวันห้าวันก็น่าจะเปิดกิจการได้แล้ว”
“เร็วปานนั้นเชียวหรือ” ป้าหลัวตกตะลึง
เฉียวเวยยิ้มแย้มพลางพยักหน้า นิสัยของเถ้าแก่หรงออกจะใจอ่อนไปบ้าง แต่ทำงานมีประสิทธิภาพทีเดียว ลิ้นสาลิกาของเขาไม่มีการค้าใดเจรจาไม่สำเร็จ ลองนึกดูตนเองเป็นคนใจแข็งดั่งหินผาเช่นนี้ ตอนแรกก็ยังถูกเขากล่อมจนหวั่นไหวเลยมิใช่หรือ
ป้าหลัวเอ่ยต่อ “หลายวันนี้เจ้าไม่ไปที่ลานก่อสร้างเลยสินะ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไปไม่ไหวแล้ว สองวันนี้ข้าอาจไปเมืองหลวงสักเที่ยว ซื้อเครื่องปรุงชั้นดีสักหน่อยแล้วถือโอกาสตระเวนดูเครื่องเรือน ดูว่ามีที่พอใจหรือไม่”
“จะซื้อเตียงหรือ” ดวงตาคู่น้อยของวั่งซูเป็นประกายในพริบตา “ข้ากับพี่ชายไปด้วยได้หรือไม่”
เฉียวเวยเคาะหน้าผากของนาง “อยากไปหรือ”
“อืม!” ซาลาเปาน้อยทั้งสองพยักหน้าดั่งตำกระเทียม
ดังนั้นวันต่อมา สำนักศึกษาของซิ่วไฉเฒ่าจึงหยุดเรียนอีกครั้ง…
เฉียวเวยยังจำเรื่องที่จีหมิงซิวมาหาตนเพื่อซื้อไข่เยี่ยวม้าตอนกลางคืนได้ ก่อนออกเดินทางจึงพกไข่เยี่ยวม้าไปด้วยหนึ่งโถ
รถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อวิ่งระยะทางไกลไม่ไหว หลังจากไปส่งสามแม่ลูกที่ตัวเมือง เฉียวเวยจึงเช่ารถม้าคันหนึ่งจากร้านเช่ารถม้า ไม่ใช่ว่านางไม่อยากเรียกใช้เฉินต้าเตา แต่ทักษะการแยกแยะทิศของต้าเตาไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจริงๆ นางจ้างคนขับรถที่เคยเดินทางไปเมืองหลวงคนหนึ่ง ทั้งคนทั้งรถหนึ่งวันห้าร้อยอีแปะ
ทุกครั้งที่ไปเมืองหลวง เจ้าตัวน้อยทั้งสองจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ พวกเขามักจะเปิดม่านเอาไว้ ศีรษะชนกันเกาะอยู่ตรงหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปไม่หยุดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ท่านพี่นั่นคืออะไร” วั่งซูตัวจ้อยยื่นมือน้อยที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเริ่มอวบอูมออกไปนอกหน้าต่าง
เนื่องจากนางกินเก่งกว่าพี่ชายจึงอ้วนกว่าพี่ชายเสียแล้ว หากถกแขนเสื้อของนางขึ้น สิ่งที่เห็นย่อมไม่ใช่ก้านปอน้อยผอมแห้งสองข้างอีกต่อไป แต่เป็นรากบัวขนาดใหญ่ขาวอวบอ้วนเป็นท่อนๆ
เฉียวเวยคว้ามือน้อยอวบอ้วนของนางกลับมา “อย่ายื่นแขนออกไป”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ” ความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อสิ่งทั้งหลายของนางเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ
“เพราะมันอันตรายมาก”
“เหตุใดจึงอันตรายมากล่ะ”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “เพราะหากมีคนสัญจรผ่านข้างรถไปจะชนเข้าแล้วเจ็บตัวเอา”
พอพูดว่าเจ็บ วั่งซูก็เข้าใจแล้ว นางจึงเลิกยื่นมือน้อยออกไปข้างนอกจริงๆ
คนขับรถไม่เสียทีเป็นคนขับรถมือเก๋า ไม่ต้องให้เฉียวเวยเตือนก็พารถม้าเดินทางไปถึงหอหลิงจือเป้าหมายแรกได้อย่างราบรื่น
ราชวงศ์ต้าเหลียงไม่มีร้านเครื่องปรุงโดยเฉพาะ เครื่องปรุงพิเศษบางอย่างเช่นน้ำผึ้ง ยี่หร่าล้วนโผล่อยู่ที่ร้านยาในฐานะวัตถุดิบทำยา เมื่อเฉียวเวยกล่าวว่าตนเองต้องการซื้อของเหล่านี้ คนขับรถจึงนึกถึงหอหลิงจือเป็นที่แรก
เฉียวเวยยังจดจำได้ว่าครานั้นตนเองถูกหอหลิงจือปฏิเสธไม่รักษาอย่างไร จะกลับมาอุดหนุนกิจการของพวกเขาอีกย่อมประหลาด “สารถีกวน รบกวนท่านเปลี่ยนไปร้านยาแห่งอื่นด้วย”
คนขับรถเฒ่าเอ่ยว่า “หอหลิงจือเป็นร้านยาที่ใหญ่ที่สุด ดีที่สุดในเมืองหลวงแล้ว ของในร้านของพวกเขาสดใหม่ที่สุด!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเย็นชา “คนใจดำทมิฬ ของสดใหม่อีกเท่าใดก็เกรงว่าคงมีพิษ”
“ผู้ใดบังอาจเช่นนี้ ถึงขนาดกล้าเอ่ยวาจาเหลวไหลหน้าประตูหอหลิงจือของข้า”
เสียงสตรีน่าเกรงขามดังออกมาจากประตูหอหลิงจือ เฉียวเวยเลิกม่านด้านข้างขึ้นเล็กน้อย มองไปยังสตรีสูงศักดิ์ผู้สวมเสื้อชายยาวแบบพันทบรอบกายสีม่วงอ่อนคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ป้ายชื่อหอ สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นอายุราวสี่สิบปี เนื่องจากดูแลตัวเองอย่างดี ใบหน้าจึงแดงเรื่อเอิบอิ่ม สองมือกุมประสานกันอยู่หน้าลำตัว ท่วงท่าสง่างาม แต่สีหน้ากลับฉาบด้วยความถือตัวและหยิ่งยโสเพราะคำพูดของเฉียวเวย
เฉียวเวยให้ลูกๆ กลับไปนั่งประจำที่ของตนเอง แล้วเลิกม่านด้านข้างเปิดจนหมด “ข้าเอง ทำไม พูดผิดหรือ หอหลิงจือของพวกเจ้าแม้แต่เด็กป่วยหนักยังไม่ยอมรักษา ไม่เรียกว่าใจดำ จะให้เรียกว่าใจดีหรือ”
สตรีสูงศักดิ์ได้ยินเสียงจึงมองไปทางเฉียวเวย เดิมคิดจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้เด็ดขาดสักยก แต่พริบตาที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย ร่างกายก็ชะงักแข็งทื่อ
สวรรค์ เหตุไฉนเป็นนาง!
สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้มิใช่ใครอื่น นางก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดเฉียวอวี้ซี ฮูหยินผู้กุมอำนาจจวนเอินปั๋ว นายหญิงแห่งหอหลินจือ สวีซื่อนั่นเอง
สวีซื่อคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะพบบุตรสาวของบ้านใหญ่ที่นี่ นางมาเมืองหลวงทำอันใด ไม่ถูกสิ นางมาหอหลิงจือทำอันใด คงมิใช่ว่านางได้ข่าวอันใดมาแล้วจะมาทวงหอหลิงจือของเสิ่นซื่อกลับไปกระมัง
เฉียวเวยมองสีหน้าของสวีซื่อ แล้วรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ตื่นตระหนกเกินไปอยู่บ้าง ทำเหมือนรู้จักนาง ทั้งยังชิงชังและหวาดกลัวนางอีกด้วย
ระหว่างที่ทั้งสองคนต่างกำลังขบคิดอยู่นั่นเอง เฉียวอวี้ฉีก็วิ่งออกมาอย่างดีอกดีใจ “พี่สาวผู้มีพระคุณ! ท่านมาแล้ว!”
แววตาของเฉียวเวยวูบไหวเล็กน้อย “เหตุใดเป็นเจ้าเล่า พ่อหนุ่มน้อย”
เฉียวอวี้ฉีวิ่งมาข้างรถม้า พอมุดศีรษะเข้ามาทางหน้าต่างก็เห็นเจ้าตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายเฉียวเวย ในการสอบเสินถงเฉียวอวี้ฉีพ่ายแพ้ให้กับจิ่งอวิ๋น เขาไม่ชอบใจอย่างยิ่งจึงไม่แลจิ่งอวิ๋นสักนิด! เขาเขย่งปลายเท้าเอื้อมแขนยาวๆ เข้ามาหยิกใบหน้าน้อยของวั่งซู “น้องสาว! ยังจำพี่ชายได้หรือไม่”
วั่งซูยิ้มจนตาหยีตอบว่า “จำได้ๆ!”
คนนี้ผู้ใดกันน้า…
สวีซื่อใช้จังหวะที่บุตรชาย ‘ทักทาย’ กับอีกฝ่าย ปรับอารมณ์จนเรียบร้อย ในเวลาเดียวกันก็หาเหตุผลที่เหมาะสมให้กับการเสียกิริยาเมื่อครู่ของตนเองได้ นางยิ้มอ่อนโยนเดินเข้าไป “ที่แท้แม่นางก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอวี้ฉีนี่เอง อวี้ฉีเคยวาดภาพเหมือนของท่านเอาไว้ ข้าก็ว่าแล้วเหตุใดจึงเหมือนเช่นนี้ ยังคิดว่าตนเองมองผิดเสียอีก”
เฉียวอวี้ฉีเคยวาดภาพเฉียวเวยไว้จริง เขารีบพยักหน้าให้เฉียวเวย “ข้าวาดไว้ตั้งหลายภาพ! กลับไปจะมอบให้ท่านภาพหนึ่ง!”
ที่แท้พ่อหนุ่มน้อยก็เป็นคุณชายน้อยของหอหลิงจือนี่เอง ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นน้องชายของเฉียวอวี้ซี ตนกับจวนเอินปั๋วมีเวรกรรมอันใดกันแน่นะ ช่วยคนไม่รู้จักคนหนึ่งก็ยังช่วยคุณชายน้อยจวนเอินปั๋วมาเสียอย่างนั้น
เฉียวเวยเกลียดชังเฉียวอวี้ซี แล้วก็ไม่ชอบสตรีสูงศักดิ์ที่เปลี่ยนหน้าได้ดั่งพลิกหนังสือผู้นี้อย่างมาก แต่กับพ่อหนุ่มน้อยคนนี้ นางมีความรู้สึกดีๆ ให้อยู่บ้าง นางยกริมฝีปากยิ้ม “เอาสิ”
สวีซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “เจ้าช่วยบุตรชายของข้าไว้ ข้ากลับมิได้ขอบคุณเจ้าต่อหน้าสักที ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาตลอด วันนี้บังเอิญได้พบแล้ว มิสู้ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารที่หอเย่ว์หม่านสักมื้อดีหรือไม่!”
นางไม่มีทางพาเฉียวเวยเข้าหอหลิงจือแน่ หอหลิงจือมีคนเก่าคนแก่ที่เสิ่นซื่อทิ้งเอาไว้อยู่ หากเห็นเฉียวเวยหน้าตาเหมือนเสิ่นซื่อเช่นนี้ แล้วถามตัวตนของเฉียวเวยขึ้นมา นางย่อมกลบเกลื่อนลำบาก
เฉียวเวยไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดให้แก่สวีซื่อจึงตอบปฏิเสธ ‘ความหวังดี’ ของนางอย่างเฉยชา “ไม่จำเป็น ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน”
เฉียวอวี้ฉีไม่ยอม “พี่สาว! ท่านอย่าเพิ่งไปสิ! ให้ข้าเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อก่อนนะ!”
เมื่อเห็นบุตรชายติดบุตรสาวของบ้านใหญ่เช่นนี้ สวีซื่อก็มิทราบว่าสมควรโกรธหรือสมควรถอนหายใจ พี่สาวร่วมท้องมารดาไม่สนิทสนมด้วย แต่กลับไปสนิทกับพี่สาวร่วมตระกูล เวรกรรมแท้!
เฉียวเวยเคาะหน้าผากของเขา “ครั้งหน้ามีโอกาสค่อยเลี้ยงอาหารข้าก็แล้วกัน วันนี้ข้ามีธุระมากมายจริงๆ ตกกลางคืนยังต้องรีบกลับหมู่บ้านอีก”
เฉียวอวี้ฉีคอตกอย่างผิดหวัง “ถ้าเช่นนั้นก็ได้”
เฉียวเวยลูบศีรษะเขาแล้วปลดม่านลง จากนั้นให้สารถีขับรถม้าจากไป
แผ่นหลังของสวีซื่อชุ่มเหงื่อเย็น สาวน้อยผู้นี้โผล่มาโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าสักนิด เกือบจะทำให้นางตกใจตายแล้ว
“ฮูหยิน นั่นคุณหนูใหญ่หรือ” แม่นมวัยกลางคนผู้หนึ่งซอยเท้าเดินออกมาถามสวีซื่อเสียงเบา
หลังจากหวังมามาหายตัวไป สวีซื่อก็เลื่อนขั้นหลินมามาขึ้นมา
สวีซื่อมองบุตรชายที่ยังคงยืนนิ่งชะเง้อมองรถม้า แล้วลากหลินมามาเดินมาด้านข้าง “นางนั่นแหละ พวกตาเฒ่าฮั่วไม่เห็นใช่หรือไม่”
หลินมามาตอบว่า “บ่าวจับตาอยู่ พอเห็นว่ามีเสียงดังก็รีบไล่พวกเขาไปห้องเก็บเพื่อของหาสมุนไพร”
สวีซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลินมามาขมวดคิ้ว “ฮูหยิน บ่าวดูท่าทางนางเหมือนจะไม่รู้จักท่านจริงๆ”
สวีซื่อเอ่ยเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “ไม่ผิด ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยว่านางเสแสร้ง แต่ตอนนี้ดูแล้วนางคงจะเป็นโรคหลงลืมจริงๆ คงจดจำเรื่องราวก่อนหน้านี้มิได้แล้ว” ส่งหวังมามาไปกำจัดนางเสียเปล่าแท้ ต้องเสียบ่าวจากบ้านเดิมไปหนึ่งคน!
หลินมามาเอ่ยอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านว่า ที่หวังมามาหายไปเกี่ยวข้องกับนางหรือไม่”
สวีซื่อยิ้มเย็นชา “หากเกี่ยวข้อง พวกเราก็คงถูกเปิดโปงนานแล้ว นางเคยเห็นหวังมามาอยู่กับอวี้ฉี วันนี้ยังทราบแล้วว่าอวี้ฉีเป็นคุณชายน้อยของหอหลิงจือ จะเดาไม่ออกว่าหวังมามาเป็นคนที่พวกเราส่งไปหรือ บางทีหวังมามาอาจเพียงโชคไม่ดี พบงูเงี้ยวเขี้ยวขอหรือสัตว์ร้ายอันใดในป่าเขากระมัง”
…
เฉียวเวยให้คนขับรถไปที่ร้านยาอีกแห่งหนึ่ง ซื้อเครื่องปรุงที่ตนต้องการเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาจึงกินอาหารนิดหน่อยที่เหลาสุราใกล้ๆ หลังจากการสอบเสินถงสิ้นสุด ราคาของในเมืองหลวงก็ตกลงมาเท่าเดิมทุกอย่าง แต่ผัดผักกาดขาวจานหนึ่ง หมูสามชั้นน้ำแดงจานหนึ่งกับไข่ตุ๋นถ้วยหนึ่งก็ยังทำให้นางเสียเงินไปเกือบหนึ่งตำลึงเงิน
หลังกินอาหารเสร็จ เฉียวเวยจึงถามสารถีเฒ่าว่าที่ใดขายเครื่องเรือน แล้วที่นั่นกับถนนชิ่งเฟิง ที่ใดอยู่ใกล้กว่า
สารถีเฒ่าตอบว่า “ถนนชิ่งเฟิงอยู่ไม่ไกล ทะลุตรอกเส้นนี้ไปก็ถึง ส่วนร้านขายเครื่องเรือนอยู่ไกลสักหน่อย อยู่ฝั่งเหนือของเมือง ตอนนี้พวกเราอยู่ฝั่งใต้!”
เฉียวเวยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปถนนชิ่งเฟิงก่อนเถิด”
สารถีเฒ่าขับรถม้าไปถึงถนนชิ่งเฟิง แล้วจอดในตรอกเส้นหนึ่ง เฉียวเวยอุ้มโถลงจากรถ เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองกระโดดลงมาด้วยแล้วเดินตามมารดาไปยังเรือนสี่ประสานหลังหนึ่งด้วยกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าซาลาเปาน้อยผิดหวังก็คือท่านหลุงหมิงไม่อยู่!
ลี่ว์จูพาพวกเขาเข้ามาในเรือนสี่ประสาน แล้วสั่งห้องครัวให้หั่นผลไม้สดมา พร้อมกับยกขนมทำใหม่มาต้อนรับสามแม่ลูก
“ไม่ต้องหรอก ข้าคงไม่เข้าไปนั่ง วันนี้รีบเร่งนักจริงๆ” เฉียวเวยหยุดอยู่ที่ทางเดิน แล้วส่งโถในมือให้ลี่ว์จู “ครั้งก่อนคุณชายมาหาข้าบอกว่าต้องการไข่เยี่ยวม้า วันนี้ข้ามีธุระเข้าเมืองหลวงจึงนำมามอบให้เขา”
ลี่ว์จูตาเป็นประกายแล้วกอดโถไว้ “ไข่เยี่ยวม้าหรือ ดีเหลือเกิน เหล่าฮูหยินชอบกินเจ้านี้ที่สุดแล้ว! บ่าวขอบคุณท่านแทนเหล่าฮูหยิน!”
เฉียวเวยยิ้มละไมตอบ “ข้าติดหนี้บุญคุณคุณชายบ้านเจ้าไว้มาก ไข่เยี่ยวม้าเพียงโถเดียว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้”
ลี่ว์จูหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “เท่านั้นอะไรกัน ข้าได้ยินว่าของสิ่งนี้มีเงินก็ซื้อไม่ได้!”
เฉียวเวยไม่สะดวกใจบอกว่าตนทำเอง จึงยิ้มแล้วไม่ตอบ
“เฉียวฮูหยินใส่ใจแล้ว เข้าไปนั่งสักประเดี๋ยวเถิด” ลี่ว์จูเอ่ยรั้ง
“ไม่ล่ะ ข้ายังต้องไปดูเครื่องเรือนอีก”
“ฮูหยิน…จะย้ายบ้านหรือ”
เฉียวเวยยิ้มแย้ม “สร้างบ้านใหม่น่ะ”
ลี่ว์จูเอ่ยอีกว่า “ไม่เช่นนั้น…ท่านรอใต้เท้ากลับมาค่อยให้ใต้เท้าพาท่านไปดูดีหรือไม่ สายตาใต้เท้าดีนักล่ะ!”
“ไม่ได้จริงๆ”
“ฮูหยินนน”
ทั้งสองคน ‘ยื้อกันไปมา’ อีกทั้งเฉียวเวยยังต้องแบ่งสมาธิไปดูเด็กน้อยที่กำลังวิ่งพล่านทั่วเรือนอีก จึงไม่ได้สนใจว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตูไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ลี่ว์จูส่งโถให้สาวใช้อายุน้อยถือไปห้องครัว แล้วรั้งแขนเฉียวเวยไว้ “ฮูหยิน ท่านอยู่ต่อเถิด ท่านก็เห็นเด็กๆ เองก็ไม่อยากไป”
ครั้งนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเฉียวเวยไม่อยากอยู่ แต่บนเขากำลังสร้างบ้าน หรงจี้ก็กำลังทำกิจการ ออกมาวันเดียวก็ชักช้าแล้ว
“ท่านคงไม่ได้ทะเลาะกับนายท่านอีกแล้วกระมัง” ลี่ว์จูจับ ‘จุดสำคัญ’ บางอย่างได้ในพริบตา
เฉียวเวยหัวเราะออกมา “จะเอาอะไรมาทะเลาะกันมากมายปานนั้นเล่า มิใช่เด็กน้อยเสียหน่อย นายท่านบ้านเจ้าน่ะจิตใจดั่งอัครมหาเสนาบดีใจกว้างจนเอาเรือไปลอยได้ ไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับสตรีตัวน้อยเช่นข้าหรอก”
คิดเล็กคิดน้อยหรือไม่ ความจริงในใจก็มิทราบ เพราะนับตั้งแต่ตนเองผลักเขาเข้าพุ่มไม้ เขาก็ไม่โผล่หน้ามาอีกเลย
ลี่ว์จูเอ่ยคล้อยตาม “ใช่แล้วๆ นายท่านบ้านข้าเป็นคนใจกว้างอย่างที่ใจกว้างกว่านี้มิได้แล้ว แต่ก็ใจกว้างให้เพียงบางคนเท่านั้น แท้จริงนายท่านปฏิบัติต่อท่านไม่เหมือนกับผู้อื่นอยู่บ้าง…”
ประโยคที่ว่า ‘ไม่เหมือนกับผู้อื่นอยู่บ้าง’ ทำให้เฉียวอวี้ซีที่อยู่นอกประตูขยำผ้าเช็ดหน้าอย่างแรง หากมาจนถึงตอนนี้นางยังฟังไม่ออกว่าสตรีผู้นี้กับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีมีอะไรในกอไผ่กันอยู่ก็ไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว ไม่แปลกที่ทุกครั้งยามเห็นตน นางจะย่นจมูกทำหน้าขุ่นเคือง ที่แท้ไม่ใช่เพราะเรื่องวิวาทในเมือง แล้วก็ไม่ใช่เพราะเรื่องหอหลิงจือปฏิเสธการรักษา แต่เพราะว่านางหลงรักใต้เท้าเหมือนกัน!
“จิ่งอวิ๋น วั่งซู พวกเราไปกัน!” หลังคุยกับลี่ว์จูจบ เฉียวเวยก็เรียกเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองแล้วหมุนตัวเดินออกจากเรือนสี่ประสาน