หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 84-2 สั่งสอนเฉียวอวี้ซี
ตอนที่ 84-2 สั่งสอนเฉียวอวี้ซี
เวลานี้เพิ่งผ่านพ้นยามเที่ยง อากาศร้อนอบอ้าวเล็กน้อย ทั้งสองคนวิ่งเล่นในลานเรือนสองรอบก็เหงื่อท่วมศีรษะ เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อบนศีรษะของลูกทั้งสอง เมื่อหันหลังกลับไปก็เห็นเงาคนผู้หนึ่งทอดลงบนพื้น ดวงตาของนางชะงัก ในใจแทบจะเกิดความรู้สึกเย็นชาขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ หลังจากนั้นนางเงยหน้าขึ้นเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัด จึงเข้าใจว่าความรู้สึกเย็นชานั่นเกิดมาจากเหตุใด
“เจ้านี่เอง” เฉียวเวยลุกขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเอ่ยกับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปเล่นด้านนั้นก่อน อย่าไปไหนไกล”
ทั้งสองคนมองมารดาแล้วมองเฉียวอวี้ซี คิ้วน้อยขมวดมุ่นอย่างระแวง ระหว่างที่เดินไปเล่นอีกฝั่ง
เฉียวอวี้ซีสูดลมหายใจลึก กดเพลิงโทสะในใจลงไป น้ำเสียงยังนับว่านิ่งสงบ “เจ้ามาที่นี่ทำอันใด”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้ามาทำสิ่งใดก็เหมือนจะไม่เกี่ยวกับเจ้านะ”
เฉียวอวี้ซีกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น “เจ้ากับใต้เท้าเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงวนเวียนอยู่รอบตัวใต้เท้า”
อ้อ นี่สินะเรื่องสำคัญ
เฉียวเวยยิ้มเฉยชา “คนที่แอบฟังอยู่ตรงมุมกำแพงด้านนอกเมื่อครู่คือเจ้าเองสินะ ข้ายังคิดอยู่ว่าพ่อค้าเร่คนไหนเดินผ่านประตูเรือนสี่ประสานมา”
เฉียวอวี้ซีเบี่ยงกายหันไปมองตรอกลึกแห่งหนึ่ง “เจ้าไม่ต้องเปลืองความคิดมาดูหมิ่นข้า ไม่ว่าเจ้าจะพูดอันใดก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าข้าสูงศักดิ์เจ้าต้อยต่ำมิได้”
เฉียวเวยหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ถ้าเช่นนั้นคุณหนูผู้สูงศักดิ์อย่างเจ้าเหตุใดมาคุยกับคนต้อยต่ำเช่นข้าครั้งแล้วครั้งเล่ากัน”
เฉียวอวี้ซีสะอึกแล้วหน้าแดงก่ำ “ข้า…ข้าเพียงจะมาเตือนเจ้าว่าอย่าคิดว่าสือชีชอบเจ้า แล้วเจ้าจะเพ้อฝันถึงสิ่งที่มิใช่ของตนเองได้!”
“ข้าเพ้อฝันถึงอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม
ดวงตาสองข้างของเฉียวอวี้ซีราวกับมีคบเพลิงลุกโชน “อย่ามาปฏิเสธ! เจ้าเป็นอริกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ปฏิเสธคำชักชวนของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคนเด็ดเดี่ยว แต่ที่แท้ในใจต่ำตมเช่นนี้! เจ้าตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียบ้าง ตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้ามีตรงไหนคู่ควรกับใต้เท้าบ้าง เจ้าเคยแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ร่างกายไม่บริสุทธิ์ตั้งนานแล้ว มีคุณสมบัติอันใดมาล่อลวงใต้เท้า”
เฉียวเวยถามสวนกลับ “เคยแต่งงานแล้วอย่างไร เคยมีลูกแล้วอย่างไร ก็โสดแล้วมิใช่หรือ สามีข้าตายแล้ว ข้ากับเจ้าต่างก็เป็นผู้ที่เฝ้ารอวันแต่งงานเหมือนกัน ข้าจะเพ้อฝันถึงใครหรือไม่เพ้อฝันถึงใครก็เป็นอิสระของข้า เจ้ายุ่งไม่ได้”
ไม่ต้องพูดถึงว่านางเพียงมีความรู้สึกดีอย่างบริสุทธิ์ใจต่อหมิงซิวเท่านั้น ยังไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นยั่วยวนเขา ต่อให้คิดถึงขั้นนั้นบุรุษยังไม่แต่งงานสตรียังไม่ออกเรือน ผู้ใดจะต่อว่าอันได้
เฉียวอวี้ซีถูกนางทำให้โกรธจนแทบสิ้นสติ “เจ้า หญิงม่ายสามีตายคนหนึ่ง มีคุณสมบัติอันใดมาเทียบรัศมีกับข้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด ข้าคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว บิดาของข้าคือท่านปั๋วผู้คุมสำนักหมอหลวง มารดาข้าคือท่านหญิงขั้นสาม ท่านลุงใหญ่ที่สิ้นไปแล้วของข้าเป็นขุนนางใหญ่ที่องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้งด้วยตนเอง ส่วนท่านป้าใหญ่ของข้าเป็นหมอเทวดาแห่งหุบเขาสมุนไพร อย่างเจ้าน่ะหรือ คิดจะแย่งชิงบุรุษกับข้า!”
แม้แต่คนตายก็ยกมาอ้างด้วย ขาดความมั่นใจในตัวเองจริงนะ!
เฉียวเวยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ใช่ ข้าไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ใต้เท้าของเจ้ามาหาข้าถึงบ้านตั้งกี่ครั้งแล้ว ข้าก็กลัดกลุ้มใจมากเหมือนกัน ข้าสมควรทำเช่นไรดีเล่า”
เฉียวอวี้ซีหน้าถอดสี “เจ้า…เจ้า…เจ้าหน้าไม่อาย! ข้าต่างหากที่เป็นคู่หมั้นของใต้เท้า!”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเช่นนั้นท่านคู่หมั้น ท่านคอยเฝ้าผู้ชายของท่านให้ดีหน่อย อย่าให้เขามาหาข้าอยู่เรื่อย”
นางคอยเฝ้าได้หรือไร แม้แต่หน้าใต้เท้า นางยังไม่ได้เจอเลย!
เฉียวอวี้ซีโกรธจนสำลัก “เจ้าอย่ามาโกหก! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใต้เท้าไปหาเจ้า! เจ้าจะต้องมาเกาะแกะใต้เท้าไม่ปล่อยเองเป็นแน่! เจ้ามันคิดจะปีนขึ้นที่สูง! อยากจะหาพ่อใหม่ให้ลูกชู้สองคนของเจ้า…”
เพี๊ยะ!
เพิ่งเอ่ยจบ เฉียวอวี้ซีก็ถูกตบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวจนล้มพับลงไปกองกับพื้น!
การตบหน้าครั้งนี้ นางตบออกไปสุดกำลัง ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเฉียวอวี้ซีจึงบวมเป่งขึ้นมาในพริบตา รอยนิ้วแดงก่ำหลายรอยปรากฏให้เห็นเด่นชัด
เฉียวเวยก้มลงมองนางจากด้านบน “ข้าไม่เคยตบหน้าสตรี ยินดีด้วยเจ้าเป็นคนแรก”
ซิ่งจู๋ที่อยู่ด้านข้างตกใจจนตาค้าง หญิงชาวบ้านผู้นี้นิสัยหยิ่งทะนงก็หยิ่งทะนงไปเถิด แต่แม้กระทั่งลูกสะใภ้ของจวนอัครมหาเสนาบดีก็กล้าตบหรือ นางไม่กลัวตายอนาถในวันใดวันหนึ่งหรือไร
เวลานี้เฉียวอวี้ซีตกใจไม่เบา มิใช่ว่านางไม่เคยเห็นเฉียวเวยสั่งสอนผู้อื่นมาก่อน มารยาทมิใช้กับคนชั้นต่ำ การลงโทษมิได้มีไว้สำหรับคนสูงศักดิ์ ในสายตาของเฉียวอวี้ซี เฉียวเวยสั่งสอนฝังมามาก็เพราะฝังมามาแต่เดิมก็ฐานะต่ำต้อย แต่ตนเองเป็นชนชั้นสูง มิว่าอย่างไรเฉียวเวยย่อมไม่กล้าทำร้ายนางแม้แต่น้อย ผู้ใดจะรู้ว่าเฉียวเวยไม่พูดพร่ำก็ตบนาง
บิดามารดายังไม่เคยตบนางเช่นนี้!
นางโกรธจนตัวสั่น แต่เพราะหวาดกลัว แม้แต่คำผรุสวาทก็เอ่ยไม่ออก ได้แต่ถลึงตาใส่ด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ท่านแม่! พวกเราไปได้หรือยังเจ้าคะ” วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งตึงตังเข้ามาหา
ใบหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งของเฉียวเวยสลายกลายเป็นสีหน้าอ่อนโยนในพริบตา นางลูบศีรษะน้อยของเด็กหญิง “ได้ ไปเดี๋ยวนี้” นางมองจิ่งอวิ๋นที่อยู่ในตรอก จิ่งอวิ๋นกำลังมองใต้รองเท้าของตนเอง “เป็นอะไรหืม ลูกชาย”
จิ่งอวิ๋นขมวดคิ้วน้อย “เหมือนข้าจะเหยียบถูกตะปู”
เฉียวเวยตกใจ รีบเดินเข้าไปหาแล้วย่อตัวลงไป “ให้แม่ดูหน่อย”
จิ่งอวิ๋นยันกำแพงไว้แล้วยื่นเท้าน้อยๆ ไปตรงหน้าเฉียวเวย เฉียวเวยถอดรองเท้าของเขาออกก็พบว่าใต้รองเท้ามีตะปูน้อยตัวหนึ่งปักอยู่จริง โขคดีที่ทิ่มอยู่ด้านข้างจึงไม่ทำเท้าของบุตรชายบาดเจ็บ
เฉียวเวยดึงตะปูออกมา แล้วปักลงในซอกอิฐบนกำแพงด้วยมือเดียว จากนั้นจึงสวมรองเท้าให้บุตรชายจนเรียบร้อย
วั่งซูเล่นดีดลูกแก้วอยู่กับเสี่ยวไป๋บนถนนหินเขียวที่อยู่ไม่ไกล ลูกแก้วลูกหนึ่งกลิ้งไปกลางถนน วั่งซูก้าวขาสั้นๆ เดินไปเก็บ ในตอนนี้เองรถม้าคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
เฉียวอวี้ซีบังเอิญยืนอยู่ข้างตัววั่งซูพอดี เพียงแค่เอื้อมมือออกไปนางก็สามารถรั้งวั่งซูกลับมาได้ แต่นางไม่ทำเช่นนั้น นางถึงขนาดไม่เอ่ยปากเตือน เพียงเบิ่งตามองดูรถม้าพุ่งเข้ามาชนวั่งซูเช่นนั้น
เฉียวเวยได้ยินเสียงกีบเท้าม้า ทันใดนั้นนางก็สังหรณ์ร้าย รีบวิ่งออกมาจากตรอก “วั่งซู! หลบเร็วเข้า!”
ไม่ทันกาลแล้ว รถม้าพุ่งเข้ามาแล้ว
เสี่ยวไป๋กระโดดพรวดขึ้นมาตะกุยกรงเล็บใส่ม้าหนุ่มที่กำลังควบเต็มฝีเท้า อาชาตื่นตระหนกจึงยกเท้าหน้าขึ้นกะทันหัน รถม้าหยุดโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า ความคุ้นชินทำให้คนขับรถกลิ้งตัวออกไป ขณะที่ภายในตัวรถมีเสียงกระแทกดังโครม
โอยยย
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดของสตรีดังขึ้น
เฉียวเวยพุ่งออกไปอุ้มวั่งซูมาหลบด้านข้าง
คนขับรถลุกขึ้นมาหยุดม้าที่ตื่นตระหนก แล้วเอ่ยถามอย่างอกสั่นขวัญแขวน “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ”
สาวใช้คนหนึ่งเปิดม่าน “ผู้ใดบังอาจเช่นนี้! แม้แต่รถม้าของจวนแม่ทัพก็กล้าขวาง!”
เฉียวเวยอุ้มวั่งซูขึ้นมา “ขออภัยด้วย บุตรสาวข้าออกมาเก็บของบนถนน แต่คนขับรถของท่านก็มิใช่คนตาบอด เหตุใดจึงไม่เห็นว่าตรงนี้มีคน เหตุไฉนไม่เรียกนางหลบ”
สาวใช้ตวาด “เจ้าทำคุณหนูข้ากระแทกบาดเจ็บแล้วยังจะมาเถียงอีกหรือ”
เฉียวเวยบันดาลโทสะแล้ว “คนที่ทำคุณหนูของเจ้ากระแทกบาดเจ็บไม่ใช่ข้า แต่เป็นสารถีไม่มีตาของบ้านเจ้า! เห็นว่ามีคนยังจะขับไวเช่นนี้! ลูกสาวข้ายังเล็กไม่รู้ความ ไม่รู้จักหลีกหลบ สารถีของเจ้าอายุตั้งหลายสิบปีแล้วกลับทำเหมือนเด็กห้าขวบ เห็นคนก็พุ่งมาชนได้หรือไร!”
สาวใช้มองเฉียวอวี้ซีที่อยู่ด้านข้าง “แม่นางผู้นี้ เมื่อครู่เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ตลอด คงเห็นเป็นแน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รบกวนเจ้าบอกข้าทีว่าเมื่อครู่รถม้าตระกูลข้าจะวิ่งชนลูกสาวของนาง หรือว่าลูกสาวของนางโผล่มาชนรถม้าบ้านข้า!”
แน่นอนว่าต้องเป็นรถม้าบ้านเจ้าจะชนลูกสาวของนางสิ
เฉียวอวี้ซีลูบใบหน้าที่ยังแสบร้อนแล้วเอ่ยเสียงเบา “เด็กน้อยชอบวิ่งซุกซนมั่วซั่ว แล้วยังเพิ่งมาจากชนบท ไม่รู้ประสีประสา ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ คุณหนูท่านนี้มิสู้ใจกว้างเมตตา ละเว้นเด็กน้อยคนนี้เถิด”
สาวใช้มองเฉียวเวยแล้วแค่นเสียงหยัน “ได้ยินหรือยัง เด็กน้อยบ้านเจ้าต่างหากไม่มีตาพรวดมาชนรถม้าของพวกเรา! หากไม่บาดเจ็บ ข้าก็คงละเว้นเจ้าแล้ว แต่ศีรษะของคุณหนูข้ากระแทกจนแตก บัญชีนี้ต้องชำระความกับเจ้า!”
เฉียวเวยกวาดสายตามองเฉียวอวี้ซีอย่างเย็นชา “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะต่ำช้าเช่นนี้ แม้แต่เด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่เว้น ข้ามองเจ้าสูงเกินไปจริงๆ”
ในใจเฉียวอวี้ซีนึกหลัวจึงผินหน้าหลบ
เจ้าพนักงานทางการที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาเพราะได้ยินเสียงดังสนั่น หัวหน้าเจ้าพนักงานประสานมือให้รถม้า “ขอถามมิทราบว่าคุณหนูบ้านใด เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
สาวใช้แค่นเสียงเย็นชา “พวกเรามาจากจวนแม่ทัพ พวกเขาโผล่มาชนจนคุณหนูของข้าบาดเจ็บ ยังไม่รีบจับตัวพวกเขาไปอีก!”
…
หลังออกจากถนนชิ่งเฟิง เฉียวอวี้ซีผู้นั่งอยู่บนรถม้าก็หวาดวิตกไม่หยุดเพราะคำโกหกของตนเอง ความจริงนางไม่ได้คิดจะทำอันใดกับพวกนางสามแม่ลูก นางเพียงโกรธเกินไป…
ล้วนเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น อยู่ดีๆ มาท้าทายนางทำไม
แค่เอาอกเอาใจนางดีๆ ก็จบแล้วมิใช่หรือ
นางจะได้รั้งลูกสาวของอีกฝ่ายไว้ตอนรถม้าวิ่งมา แล้วก็จะช่วยอีกฝ่ายโต้เถียงด้วยเหตุผลกับคนของจวนแม่ทัพ ถึงอย่างไรด้วยฐานะในยามนี้ของนาง มิว่าจวนแม่ทัพคนใดก็ต้องไว้หน้านางอยู่บ้าง
แต่นางไม่ได้ทำเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะสตรีคนนั้นทำให้นางโกรธ ไม่ใช่ความผิดของนาง ไม่ใช่ ไม่ใช่…
“คุณหนู พวกเราจะกลับจวนเอินปั๋วหรือเจ้าคะ” ซิ่งจู๋ถามเสียงเบา
เฉียวอวี้ซีได้สติกลับมา นางลูบแก้มที่บวมเป่ง แววตาดำมืดเย็นชา “ไปจวนอัครมหาเสนาบดี”
…
จีเหล่าฮูหยินกำลังชมดอกไม้อยู่ในสวม ดอกเหมยนานาพันธุ์ในสวนล้วนเป็นสิ่งที่จีหมิงซิวปลูกไว้ตอนเด็ก มารดาของเขาจากไปเร็ว ทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของมารดา เขาก็จะปลูกต้นเหมยต้นหนึ่ง ผ่านไปหลายปี สวนก็ถูกเขาปลูกจนเต็ม ไม่ว่าพันธุ์ไหนล้วนมีทั้งสิ้น รวมอยู่ด้วยกันจนไม่เป็นหมวดเป็นหมู่อยู่บ้าง แต่หญิงชราก็ชอบ
ต้นไม้ที่หลานปลูก จะเป็นอย่างไรนางก็ชอบ
“เหล่าฮูหยิน คุณหนูเฉียวมาเจ้าค่ะ” หรงมามาแจ้ง
จีเหล่าฮูหยินยิ้มอย่างเมตตา “รีบเชิญเข้ามาเร็ว!”
เฉียวอวี้ซีสวมผ้าแพรปิดหน้าก้าวเข้ามาในสวนอย่างเนิบช้า เมื่อเดินมาถึงหน้าหญิงชราก็คำนับอย่างอ่อนหวาน “เหล่าฮูหยิน”
เสียงแปลกหู ฟังดูแหบพร่าอยู่เล็กน้อย
จีเหล่าฮูหยินดึงนางลงมานั่งแล้วมองนางอย่างสงสัย “เจ้าเป็นอะไร มีตรงไหนไม่สบายหรือ เหตุไฉนจึงสวมผ้าปิดหน้าเล่า”
เฉียวอวี้ซีมิเอ่ยวาจา แต่ก้มหน้าลง ดวงตาค่อยๆ แดงระเรื่อ
จีเหล่าฮูหยินถามซิ่งจู๋ที่อยู่ด้านข้าง “คุณหนูของเจ้าเป็นอะไรไป”
ซิ่งจู๋ก้มหน้าอย่างลำบากใจ “ใบหน้าของคุณหนู…บาดเจ็บเจ้าค่ะ”
“บาดเจ็บหรือ ให้ข้าดูหน่อยซิ!” จีเหล่าฮูหยินเปิดผ้าปิดหน้าของนาง เมื่อเห็นใบหน้าซีกซ้ายที่บวมเป่งของนาง สีหน้าก็เคร่งขรึมในพริบตา “ผู้ใดทำ!”
หยดน้ำตาของเฉียวอวี้ซีเริ่มเอ่อคลอในเบ้าตา แต่ฝืนกลั้นไว้ไม่ให้มันร่วงหล่น “ข้ามิทราบชื่อของนาง”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้จักนางหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินถามเสียงขรึม
เฉียวอวี้ซีพยักหน้าทั้งน้ำตา “เคยสนทนากันอยู่หลายครั้ง”
“ผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึงตบตีเจ้า” จีเหล่าฮูหยินจี้ถาม
เฉียวอวี้ซีขบริมฝีปากไม่ตอบ
จีเหล่าฮูหยินถามซิ่งจู๋อย่างเย็นชา “เจ้าเล่ามา!”
ซิ่งจู๋นึกถึงเด็กน่ารักสองคนนั้น หัวใจรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ฝืนเอ่ยว่า “เป็นสหายของสือชีเจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินไม่เข้าใจ “สือชีมีสหายตั้งแต่เมื่อใด” เด็กคนนั้นไม่ได้ปัญญาอ่อนหรอกหรือ พูดยังพูดไม่ได้ นอกจากหมิงซิวก็สื่อสารกับผู้ใดไม่เห็นได้
ซิ่งจู๋เอ่ยว่า “มีตั้งแต่ปีกลายแล้วเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้ว ระหว่างคุณหนูกับฮูหยินผู้นั้นมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย…”
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยขัดคำพูดของซิ่งจู๋ “เดี๋ยวก่อน นางเป็นสตรีหรือ”
“…เจ้าค่ะ เหล่าฮูหยิน” ซิ่งจู๋ตอบ
แววตาของจีเหล่าฮูหยินอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้าเล่ามาอย่าให้ขาดตกไปแม้แต่เรื่องเดียว!”
ซิ่งจู๋เล่าว่าฝังมามาบังคับจะซื้อเพียงพอนน้อยอย่างไร แล้วตบหน้าป้าหลัวอย่างไร หลังจากนั้นนางถูกฝังมามาปฏิเสธไม่ยอมให้รักษาอย่างไรออกมาอย่างกระชับชัดเจนจนจบ “…เรื่องเหล่านั้นฝังมามาเป็นผู้ทำโดยพลการ คุณหนูเพิ่งจะมาทราบเรื่องภายหลัง”
นี่เป็นความจริง จะแย่งเพียงพอนก็ดี หรือปฏิเสธการรักษาก็ดี ล้วนมิใช่ความคิดของเฉียวอวี้ซี เฉียวอวี้ซีเพียงไม่ได้จัดการอย่างยุติธรรมหลังเรื่องเกิดเท่านั้น แน่นอนว่าจุดนี้ไม่มีความจำเป็นต้องให้เหล่าฮูหยินทราบ
“คุณหนูละอายใจยิ่งนักจึงไปเยี่ยมนางเพื่อขอขมา แต่ถูกนางไล่ออกมา” เรื่องส่วนนี้ออกจะผิดจากความจริงอยู่บ้าง เฉียวอวี้ซีไปเยี่ยมเยือนสหายของสือชี แต่เพิ่งทราบว่าอีกฝ่ายคือแม่ลูกที่ถูกปฏิเสธการรักษา จึงเปลี่ยนท่าทีมาขอโทษอย่างกะทันหัน แต่จุดนี้ย่อมมิอาจให้เหล่าฮูหยินทราบเช่นกัน
“ไปเยี่ยมที่ใด” จีเหล่าฮูหยินยิ่งฟัง สีหน้ายิ่งไม่น่ามอง
“เรือนสี่ประสานของใต้เท้าเจ้าค่ะ” ซิ่งจู๋กล่าว
จีเหล่าฮูหยินสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด “นางอยู่ในเรือนสี่ประสานหรือ ผู้ใดพานางเข้าไป”
“…ใต้เท้าเจ้าค่ะ” ซิ่งจู๋เอ่ยเสียงเบา
จีเหล่าฮูหยินฟังถึงตรงนี้ก็พอคาดเดาบางอย่างได้แล้ว นางกุมมือเฉียวอวี้ซี “ซีเอ๋อร์ นางคิดเกินเลยอะไรกับหมิงซิวหรือไม่”
เฉียวอวี้ซีสะอื้นตอบว่า “ซีเอ๋อร์ก็เพิ่งบังเอิญได้ยินนางสนทนากับลี่ว์จูวันนี้ จึงทราบว่านางชื่นชมใต้เท้ามาตลอด…”
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยเสียงเย็นชา “ชื่นชมหรือ เหอะ หญิงม่ายลูกติดคนหนึ่ง มีคุณสมบัติอันใดมาชื่นชมหลานข้า ข้าว่านางคิดจะบินขึ้นมาเป็นหงส์ล่ะสิ!”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างเศร้าหมอง “ข้าบอกฐานะของตนกับนาง หวังว่านางจะสำรวมสักหน่อย อย่าให้คนนอกทราบเรื่องให้ใต้เท้าถูกนินทา”
จีเหล่าฮูหยินหน้าเขียว “คบหาดูใจกับหญิงม่าย เขากลัวพู่กันของพวกผู้ตรวจการยาวไม่พอหรือไร หลังจากนั้นนางก็ตบเจ้าหรือ”
เฉียวอวี้ซีพยักหน้า
“ช่างเป็นหญิงม่ายที่กำเริบเสิบสานนัก! หากหมิงซิวชอบนางจริง จะรับนางเป็นอนุภรรยาก็มิใช่จะไม่ได้ แต่นางยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านก็ข่มเหงภรรยาเอกเสียแล้ว นางคิดจะทำอะไร อยากจะก่อกบฏหรือ” จีเหล่าฮูหยินโกรธหลายเรื่องพร้อมกัน ทั้งโกรธหญิงม่ายไม่มียางอายผู้นั้น ทั้งสงสารเฉียวอวี้ซีที่ต้องเจ็บตัวอย่างไม่มีความผิด “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ให้หมิงซิวรับนางเข้ามา!”
เฉียวอวี้ซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “เมื่อครู่…เกิดเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร”
“นางไปชนคนของจวนแม่ทัพจึงถูกเจ้าพนักงานทางการจับไปที่ศาลาว่าการ” บอกว่า ‘จับ’ ความจริงก็ไม่ค่อยตรงนัก สตรีนางนั้นฝีมือดียิ่งนัก เจ้าพนักงานสิบกว่าคนอยู่ต่อหน้านางก็ยังไม่ได้เปรียบ เจ้าพนักงานจับลูกของนางไว้ นางจึงจำยอมตามเจ้าพนักงานไปยังศาลาว่าการ เฉียวอวี้ซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เหล่าฮูหยิน คนที่นางชนเป็นคุณหนูของจวนแม่ทัพ ได้ยินว่าศีรษะของคุณหนูผู้นั้นกระแทกจนแตก ศาลาว่าการน่าจะไม่ปล่อยนางออกมาง่ายๆ ท่านคิดว่า…ต้องแจ้งใต้เท้าให้ไปรับนางกลับมาหรือไม่”
“จวนแม่ทัพคนใด” จีเหล่าฮูหยินเอ่ยถาม
เฉียวอวี้ซีส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็มิทราบ”
จีเหล่าฮูหยินครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไม่บอกก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าคิดว่าเรื่องนี้ต้องปิดบังหมิงซิวไว้จึงจะดี”
เฉียวอวี้ซีลอบยินดีในใจ แต่ใบหน้ากลับเอ่ยอย่างกังวล “นางอยู่ในคุก หากอ้างฐานะของใต้เท้า…”
“นางกล้าหรือ หรงมามา!” จีเหล่าฮูหยินตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ!
หรงมามาไม่ได้เห็นเหล่าฮุหยินโกรธจัดขนาดนี้มานานนักแล้ว นางกลัวจริงๆว่าเหล่าฮูหยินจะโกรธจนเสียสุขภาพ “เหล่าฮูหยินมีสิ่งใดต้องการสั่ง”
“เจ้าถือเทียบของข้าไปศาลาว่าการสักเที่ยว ศาลาว่าการของจวนเจ้าเมืองใช่หรือไม่” เหล่าฮูหยินถามเฉียวอวี้ซี
เฉียวอวี้ซีเอ่ยตอบ “เจ้าค่ะ”
จีเหล่าฮูหยินเอ่ยอย่างน่าเกรงขาม “เจ้าไปแจ้งคนของจวนเจ้าเมือง จวนอัครมหาเสนาบดีไม่รู้จักสตรีนางนั้น หมิงซิวเองก็ไม่รู้จัก นางกับจวนอัครมหาเสนาบดีของเราไม่เกี่ยวข้องกัน ให้ศาลาว่าการจัดการอย่างเป็นธรรม!”
หรงมามาตอบรับ “เจ้าค่ะ”
…
ในโถง เจ้าเมืองกำลังตัดสินคดีของเฉียวเวย เพราะเป็นคดีที่จวนแม่ทัพฟ้องร้อง พวกเขาจึงมิกล้าชักช้า แต่คนผู้นี้ออกมาจากถนนชิ่งเฟิง คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์มากอำนาจชั้นบนสุดของราชวงศ์ต้าเหลียง กลัวก็แต่นางจะมีเบื้องหลัง
“เจ้าไปถนนชิ่งเฟิงทำอันใด” เจ้าเมืองเอ่ยถาม
เฉียวเวยตอบสีหน้าจริงจัง “ไปส่งของเล็กน้อยให้สหาย”
เจ้าเมืองขึ้นเสียง “สหายคนใด ชื่อแซ่อะไร อยู่ที่ไหน ดีที่สุดเจ้าเล่ามาให้หมดทุกอย่าง มิเช่นนั้นหากข้าตรวจสอบได้ว่าเจ้ากำลังโกหก โทษจะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า เจ้าจะได้กินข้าวคุกไม่มีวันจบ!”
“หมิงซิว ถนนชิ่งเฟิงเลขที่หกสิบเก้า”
“หมิง ซิวหรือ” เจ้าเมืองตกใจจนหวิดจะร่วงตกจากเก้าอี้! เขารีบให้เสมียนเปิด ‘สมุดทะเบียนผู้อาศัย’ เมื่อพลิกไปถึงถนนชิ่งเฟิงหมายเลขหกสิบเก้าก็เห็นตัวอักษรคุ้นตาตัวหนึ่งจริง แต่มิใช่จีหมิงซิว แต่เป็นจีหว่าน
แน่นอนว่านี่มิได้ทำให้เจ้าเมืองเลิกตกใจกลัว จีหว่านเป็นผู้ใดเล่า นั่นน่ะคือพี่สาวแท้ๆ ร่วมครรภ์มารดาของจีหมิงซิว!
คุณพระ สตรีนางนี้รู้จักกับอัครมหาเสนาบดีของรัชสมัยนี้จริงๆ!
นาง นางยังเรียกอัครมหาเสนาบดีว่าหมิงซิวด้วย…
สองคนนี้เป็นอะไรกัน
ขณะที่เจ้าเมืองตกใจกลัวจนจะไม่ไหวแล้ว เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมสีหน้าร้อนรน แล้วส่งเทียบในมือให้แก่เจ้าเมือง จากนั้นเอ่ยสองสามประโยคข้างหูเจ้าเมืองเสียงเบา
“นางกล่าวเช่นนี้จริงหรือ” เจ้าเมืองมองเฉียวเวยอย่างแปลกใจครั้งหนึ่ง
เจ้าพนักงานกล่าวว่า “ขอรับ จีเหล่าฮูหยินให้พวกเราจัดการอย่างเป็นธรรม”
หากกล่าวเช่นนี้ก็แปลว่าท่านแม่เฒ่าอยากจัดการสาวน้อยผู้นี้
อัครมหาเสนาบดีกตัญญูต่อท่านย่าจนโด่งดังทั่วเมืองหลวง หากจะกล่าวว่าผู้ใดใหญ่กว่าอัครมหาเสนาบดีก็คือหญิงชราผู้นี้
เจ้าเมืองขบคิดในใจรอบหนึ่งก็ตบแท่งไม้พิพากษาลงบนโต๊ะอย่างแรง “เจ้าหน้าที่! พานางไปขังไว้ในคุก!”