หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 88-2 พี่สามีบุก
ตอนที่ 88-2 พี่สามีบุก
เฉินต้าเตาตาโตอ้าปากหวอ ของข้าหรือ
หลี่อวี้ขยิบตา
เฉินต้าเตาอ้าปาก “อ่า…ใช่ ใช่ของข้าเอง คุณชายเขา…เป็นคนใจกว้าง จึงเชิญข้ากินอะไรนิดหน่อย”
จีหว่านคลี่ยิ้มแต่ไปไม่ถึงดวงตา “เจ้าโต๊ะหนึ่ง เขาโต๊ะหนึ่ง ในเมื่อกินด้วยกัน เหตุใดต้องแยกกันเล่า”
เฉินต้าเตาสะอึก
จีหว่านเอ่ยเสียงเย็น “ข้านับหนึ่งถึงสาม พวกเจ้าเอ่ยชื่ออีกฝ่ายมาพร้อมกัน หากบอกไม่ได้ก็เท่ากับโกหก! หนึ่ง สอง…”
“โอ้ย ข้าปวดท้อง!” เฉินต้าเตากุมท้องวิ่งหนีไป…
จีหว่านตวัดสายตาฉับมามองหลี่อวี้ หลี่อวี้กลัวจนลุกขึ้นยืนท่าทางเยี่ยงพลทหาร
จีหว่านจิ้มศีรษะเขา “อย่าให้ข้าหาหมิงซิวเจอ ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าจะบอกมารดาเจ้าว่าเจ้าออกมาร่ำสุราข้างนอกจนหมดตัว ดูสินางจะขังเจ้าสักกี่เดือน!”
หลี่อวี้รู้สึกไม่เป็นธรรม
จีหว่านเดินเข้าเหลาสุราอย่างดุดัน
เวลานี้จีหมิงซิวกำลังขวางทางของเฉียวเวยอยู่ “อาหารค้างคืน อย่างนั้นหรือ”
เฉียวเวยก้มหน้าอย่างคับแค้นใจ อาหารพวกนั้นยังดีอยู่หรอกน่า ทิ้งไปสิ้นเปลืองนัก พะโล้บ้านผู้ใดวันนี้ขายไม่หมด วันพรุ่งนี้ทิ้งบ้างเล่า ก็ใช้น้ำแข็งเก็บไว้ทั้งนั้น
จีหมิงซิวก้มลงมามองนาง “รู้ความผิดแล้วหรือ”
ไม่รู้
เฉียวเวยพยักหน้าตอบอย่างไม่จริงใจ “อืม”
จีหมิงซิวไหนเลยจะมองไม่ออกว่านางปากไม่ตรงกับใจ มุมปากยกยิ้มเย็นชา “ทำผิดต้องถูกลงโทษ”
เฉียวเวยพองแก้ม ถามอย่างไม่ยินยอม “ลงโทษอย่างไร”
จีหมิงซิยกมุมปาก “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ
จีหมิงซิวกำลังจะทำบางอย่าง
ปัง!
ประตูก็ถูกถีบเปิดออกอย่างแรง
ทั้งสองคนต่างตกตะลึง
“ออกมาเสีย! ไม่ต้องหลบแล้ว ข้าเห็นเจ้าแล้ว!”
เสียงของจีหว่านดังขึ้นในห้องบัญชีของเถ้าแก่หรง
จากนั้นก็เป็นเสียงตวาดของเถ้าแก่หรง “ทำ ทำ ทำ ทำอะไรเนี่ย ไม่เห็นว่าคนกำลังยุ่งหรือไร!”
จีหว่านวิ่งออกมาพร้อมกับไอเย็นทั่วร่าง นางสาวเท้ามายังห้องบัญชีของเฉียวเวย ครั้งนี้จีหว่านทำตัวดีขึ้นหน่อย ไม่ได้ถีบประตูเปิดทันทีแต่เคาะประตูก่อน “มีคนหรือไม่ ไม่มีคนข้าจะเข้าไปแล้ว”
“ผู้ใด” เฉียวเวยถาม
จีหว่านได้ยินเสียงของแม่นางผู้หนึ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าแย่แล้ว ตนเองหาคุณหนูผู้ดีตระกูลดังมากมายปานนั้นให้น้องชาย แต่น้องชายไม่ยอมเจอสักคน หรือว่าจะเลี้ยงนางจิ้งจอกคนใดไว้ข้างนอก
“เปิดประตู!” จีหว่านเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เฉียวเวยเอ่ยเสียงสงบ “ท่านเป็นผู้ใด มิพูดให้กระจ่าง ข้าคงเปิดประตูให้ไม่ได้”
จีหว่านเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ข้าเป็นผู้ใดเกี่ยวอันใดกับเจ้า ข้ามาตามหาคน รีบเปิดประตูให้ข้า”
เฉียวเวยยิ้มเฉยชา “ในห้องข้าไม่มีผู้อื่น ท่านมาตามหาข้าหรือ”
“เลิกพูดเหลวไหล เปิดประตู!” พูดถึงความสูงศักดิ์หยิ่งยโส จีหว่านเหนือกว่าท่านหญิงตัวหลัวอยู่หลายขุม ท่านหญิงตัวหลัวมีแต่บิดาเป็นยอดแม่ทัพผู้ร้ายกาจเพียงคนเดียว แต่จีหว่านไม่เพียงมีท่านปู่เป็นขุนนางสามรัชสมัย ยังมีบิดาเป็นเสนาบดี แล้วยังมีมารดาเป็นองค์หญิง ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันคือลูกพี่ลูกน้องของนาง อัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบันคือน้องชายแท้ๆ ของนาง ฐานะเช่นนี้ไม่ด้อยกว่าองค์หญิง
เฉียวเวยไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย “ข้าไม่เปิด หากท่านยังโวยวายอีก ข้าจะแจ้งทางการ”
จีหว่านหัวเราะหยัน “ทางการก็เป็นคนของบ้านข้า ข้าจะดูซิว่าเจ้าแจ้งไปแล้วมีประโยชน์อันใด”
เฉียวเวยลังเลครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้นาง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้เห็นโฉมหน้าจริงๆ ของพี่สาวหมิงซิว ก่อนหน้านี้เฉียวเวยไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกความงามของสตรีนางใดสะกดให้ตะลึงได้ แต่เวลานี้ความงามของจีหว่านกลับทำให้เวลาราวกับเคลื่อนช้าลง
แตกต่างจากจีหมิงซิวผู้สุขุมมิแย่งชิงความโดดเด่น ความงามของจีหว่านควรค่าแก่การป่าวประกาศ งามจนโลกทั้งใบอยากจะหมุนรอบนางผู้เดียว
นางสวมอาภรณ์หรูหราที่สุด สวมเครื่องประดับศีรษะอันล้ำค่าที่สุด ประทินโฉมอย่างละเมียดละไมที่สุด ต่อให้สามพันบุปผาบานสะพรั่งอยู่ต่อหน้านางก็เสื่อมความงาม
จีหว่านเดินวนรอบห้องรอบหนึ่ง หาน้องชายนางไปพลาง ก็ใช้ปลายหางตามองสำรวจสตรีผู้กล้าค้านนางอยู่เนิ่นนานผู้นี้ไปด้วย ไม่อาจไม่พูดว่าสตรีนางนี้เกิดมามีใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลา
จีหว่านไม่เคยยอมรับว่ามีผู้ใดงดงามกว่านาง แน่นอนว่ายามนี้ก็มิใช่ข้อยกเว้น
นางล้วงกระจกออกมาจากกระเป๋าพกแล้วยกขึ้นส่อง เมื่อแน่ใจว่าตนเองงดงามไม่มีที่ติแม้แต่น้อย แล้วตรวจดูใบหน้า เครื่องประทินโฉมกับอาภรณ์ สามส่วนประกอบสำคัญครบ จนแน่ใจว่าตนเหนือกว่าสตรีนางนี้อยู่เล็กน้อย หัวใจก็ฝืนกลับมาสงบได้!
จีหว่านเก็บกระจกแล้วเชิดคางเอ่ยว่า “น้องชายข้าเล่า ไม่ต้องปิดบังข้า ข้ารู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ในห้องยังมีกลิ่นของเขาอยู่!”
พี่น้องใจเชื่อมถึงกัน ทุกครั้งที่น้องชายอยู่ใกล้นาง นางล้วนมีลางสังหรณ์และสัมผัสได้บางเบา
เฉียวเวยยิ้มละไม “ฮูหยินเกิดมารูปโฉมงดงามเช่นนี้ คิดว่าน้องชายก็คงเป็นคุณชายผู้หล่อเหลาไม่มีผู้ใดเทียมคนหนึ่ง แต่ข้าไม่เห็นบุรุษรูปงามคนไหนที่นี่มาก่อนจริงๆ”
จีหว่านถูกชม ในใจพลันอารมณ์ดียิ่งนัก แต่ใบหน้ากลับตีสีหน้าหยิ่งทะนง “ไม่ต้องมายอข้า เจ้าซ่อนน้องชายข้าไว้ที่ใด”
เฉียวเวยยิ้มกว้างตอบว่า “ข้าไม่เคยพบน้องชายของท่าน”
จีหว่านไม่เชื่อ นางมองสำรวจเฉียวเวยอย่างคลางแคลง แล้วเลิกม่านที่ประตู แต่ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นจึงปล่อยม่านลงอย่างเย็นชา จากนั้นนางพลันเดินไปยังตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
สีหน้าของเฉียวเวยกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
จีหว่านยิ้มหยัน แล้วดึงประตูตู้เปิดอย่างแรง
“เหมียว” แมวตัวโตตัวหนึ่งส่ายหางให้นาง
จีหว่านเดินไปยังเตียงของเฉียวเวยต่อ
เฉียวเวยเบี่ยงกายแล้วขยับไปขวางเตียงเอาไว้ “ตรงที่ควรค้น ท่านก็ค้นหมดแล้ว ออกไปได้แล้วกระมัง”
จีหว่านถามอย่างเย็นชา “ใต้เตียงมีอะไร”
“…สุราลายบุปผา”
“สุราลายบุปผาหรือ”
“ข้าขโมยสุราลายบุปผาของเถ้าแก่พวกเรามาซ่อนไว้ใต้เตียง” เฉียวเวยกัดริมฝีปากทำสีหน้าลำบากใจ แล้วนั่งลงอุ้มไหสุราลายบุปผาออกมา “สุราเก่าบ่มมาสามสิบปี เขาเก็บซ่อนไว้เองยี่สิบปี ท่านลองดมดู”
เฉียวเวยเปิดไหสุรา
เป็นสุราลายบุปผาที่บ่มมานานจริงๆ จีหว่านใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปลายจมูก “ไม่มีสิ่งอื่นแล้วหรือ”
“แล้วก็มี…”
“แล้วก็มีอันใด” แววตาของจีหว่านเต็มไปท่าทีข่มขู่
เฉียวเวยห่อไหล่อย่างหวาดกลัว “แล้วก็มีหนู”
เพิ่งเอ่ยจบ หนูตัวเล็กตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาจากใต้เตียง เฉียดผ่านเท้าของจีหว่านไป จีหว่านตกใจกระโดดโหยง กรีดร้องเสียงแหลมวิ่งออกจากห้องบัญชี
เฉียวเวยพรูลมหายใจยาว
จีหมิงซิวออกมาจากใต้เตียง แล้วปัดฝุ่นบนร่าง
จีหว่านอาจย้อนกลับมาได้ทุกเมื่อ ที่แห่งนี้ไม่สมควรรั้งอยู่นาน
เฉียวเวยลูบใบหน้าที่ยังร้อนผ่าวอยู่เล็กน้อย แล้วอุ้มเจ้าแมวส้มตัวโตขึ้นมา “แย่งอาหารของต้าหวงไปเสียแล้ว ข้าต้องหาปลาให้มันกินสักหน่อย เดี๋ยวส่งท่านออกไปก่อน”
จีหมิงซิวมองนางอย่างหยอกเย้า คล้ายอยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่พูด
เฉียวเวยเดินนำเขามาถึงประตูหลัง “ท่านรอสหายของท่านตรงนี้ ข้าให้คนไปพาเขามาแล้ว ประตูหลังซ่อนอยู่มิดชิดนัก พี่สาวของท่านน่าจะหาไม่พบ”
จีหมิงซิวมองนางยิ้มๆ เฉียวเวยถูกมองจนขนหัวลุก “อะไรเล่า หน้าข้ามีสิ่งใดหรือ”
จีหมิงซิวลังเลครู่หนึ่งก็กดมุมปากที่ยกโค้งขึ้นมาลงไปแล้วตอบว่า “สีขาว[1]”
ตอนแรกเฉียวเวยงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้น…
อ้ากกกกก! อยากเชือดเขานักเชียว!
กล่าวถึงตัวหลัวหมิงจู หลังจากนางนำกุ้งใส่กล่องกลับมาถึงจวนแม่ทัพก็มอบให้บิดามารดาครึ่งหนึ่ง แล้วมอบให้พี่สาวทั้งสองอีกครึ่งหนึ่ง นางฉวยจังหวะที่นำไปมอบให้แอบกินอีกสองสามตัว อร่อยเกินไปแล้วจริงๆ อร่อยยิ่งกว่ารสกระเทียมเสียอีก! วันพรุ่งนี้ไปหรงจี้ นางจะสั่งรสละหนึ่งชั่ง!
ตอนที่นางนำกุ้งไปส่งห้องพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ก็เปลี่ยนชุดนอนเตรียมเข้านอนแล้ว เมื่อเห็นน้องเล็ก ‘หน้าตามอมแมม’ วิ่งเข้ามา แววตาก็ไม่พอใจแล้วแสร้งทำเป็นดุ “เจ้าเด็กซุกซนคนนี้ ไปก่อเรื่องที่ใดมาอีกแล้วเล่า แผลที่ถูกบิดาเอาแส้ฟาดหายดีแล้วหรือไร”
แม่ทัพตัวหลัวเฆี่ยนบุตรสาวฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงไม่ได้บาดเจ็บถึงเอ็นหรือกระดูก วันต่อมาตัวหลัวหมิงจูก็ลงจากเตียงได้แล้ว ตอนนี้ยังเจ็บอยู่บ้าง แต่สำหรับตัวหลัวหมิงจูผู้ชอบเคลื่อนไหว เจ็บน้อยนิดเท่านี้ไม่นับเป็นอันใด
ตัวหลัวหมิงจูวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วยิ้มร่าเอ่ยว่า “ข้าหายดีตั้งนานแล้ว! ท่านดูข้ากระโดดโลดเต้นได้แล้ว!”
ตัวหลัวจื่ออวี้จนปัญญากับน้องสาว “เจ้านี่นะ วันๆ ทำตัวเหมือนพวกเด็กผู้ชาย ข้าสงสัยจริงๆ ว่ามารดาให้กำเนิดเจ้าออกมาผิดหรือเปล่า เจ้าน่าจะเกิดมามีช้างน้อยติดมาด้วย!”
“เชอะ! ช้างน้อยอะไรเล่า ข้าไม่อยากเป็นบุรุษหรอก!” ตัวหลัวหมิงจูแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นพี่สาวแอบหัวเราะ ในใจก็ทราบว่าถูกพี่สาวแกล้งเข้าแล้ว จึงยกมือหยิกแก้มพี่สาว หยิกจนได้ทุนคืนแล้วจึงเอ่ยอย่างอารมณ์ดียิ่งนัก “วันนี้ข้าไปเจอกุ้งที่อร่อยมากร้านหนึ่ง! เลยนำกลับมาให้พวกท่านนิดหน่อย ท่านพ่อกับท่านแม่ทานรสเผ็ด พี่รองทานรสพริกหมาล่า ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่ชอบรสจืด กุ้งสองสหายนี่จึงเก็บไว้ให้ท่าน”
กุ้งนึ่งสองจาน โจ๊กกุ้งที่ผ่านการเคี่ยวมาสองชาม
ตัวหลัวจื่ออวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็บอกว่า “มากเช่นนี้ข้ากินไม่หมด ส่งคนไปมอบให้ท่านอ๋องสักหน่อยเถิด”
ตัวหลัวหมิงจูเอ่ยอย่างมีเลศนัย “โถ ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้าน ก็เริ่มจัดแจงดูแลพี่เขยเสียแล้ว นี่หากแต่งเข้าบ้านไปจะไม่ทูนพี่เขยไว้บนฟ้าเลยหรือ!”
ตัวหลัวจื่ออวี้หยิกแก้มของนาง “ปากน้อยๆ ของเจ้านี่นะ ออกไปข้างนอกแล้วก็เที่ยวเลียนแบบคำพูดเหลวไหลกลับมา คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่ให้เจ้าได้ออกไปอีก!”
“อย่า อย่า อย่า! ข้าจะไปส่งให้พี่เขยเอง ใช้ได้แล้วหรือไม่” ตัวหลัวหมิงจูเอ่ยอย่างหวาดผวา
ตัวหลัวจื่ออวี้เม้มปากยิ้ม “ไยต้องให้เจ้าไปส่งด้วยตนเอง ในจวนไม่มีบ่าวแล้วหรือ”
กล่าวจบนางก็เอ่ยเรียกสาวใช้ แล้วสั่งอีกฝ่ายให้นำของไปสั่ง
ณ จวนยิ่นอ๋อง
ยิ่นอ๋องปรับแสงโคมอ่านเอกสารอยู่ ตอนนี้ในราชสำนักเขาครองตำแหน่งไม่สลักสำคัญตำแหน่งหนึ่งเท่านั้น ไม่มีงานสำคัญใดให้ทำ เอกสารเหล่านี้ล้วนเป็นการติดต่อทำการค้า นับตั้งแต่นายท่านหก ‘ออกจากเมืองหลวง’ ก็ไม่โผล่หน้ามาอีก เขาทราบว่าการค้าครั้งนี้ทำไม่สำเร็จแล้ว จึงได้แต่เก็บความไม่ยินยอมเล็กน้อยเอาไว้ในใจ หวังว่าจะควานหาตัวนายท่านหกมาบีบบังคับไม่ก็เอาผลประโยชน์เข้าล่อ ให้นายท่านหกทำการค้าครั้งนี้ให้จงได้
แต่สิ่งที่ทำให้คนโมโหที่สุดก็คือทุกครั้งที่สายสืบของเขาตามหาร่องรอยพบ กำลังจะหาข่าวของนายท่านหกได้ ก็ถูกอำนาจประหลาดบางอย่างก่อกวน ทำให้เขาพลาดเป้าหมายครั้งแล้วครั้งเล่า
ใช้นิ้วหัวแม่คิดก็เดาออกได้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด
เขาช่างว่างนักนะ!
งานในราชสำนักมีไม่มากพอให้เขายุ่งใช่หรือไม่
ยิ่นอ๋องโยนรายงานลับอีกฉบับหนึ่งที่กล่าวว่าภารกิจล้มเหลวทิ้งลงพื้นอย่างแรง!
ขันทีหลิวหิ้วกล่องอาหารใบหนึ่งเข้ามาด้านในพลางยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง คุณหนูตัวหลัวให้คนนำอาหารมื้อดึกมาให้ท่าน ว่าที่พระชายาของพวกเราคนนี้ ช่างความคิดละเอียดอ่อนจริง ทั้งเอาใจใส่ทั้งจิตใจงาม”
ยิ่นอ๋องกลับกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์กินอะไร เอาออกไปเถอะ”
ขันทีหลิวชะงัก “ท่านอ๋อง ท่านยังหงุดหงิดเรื่องนายท่านหกอยู่อีกหรือ”
ลูกน้องของยิ่นอ๋องแบ่งงานกันชัดเจน ขันทีหลิวคุมชิงอีเว่ย งานสำคัญคือรับผิดชอบภารกิจคุ้มกันและสอดแนม ขอบเขตอยู่ภายในเมืองหลวง หากออกจากเมืองหลวงแล้วก็จะเป็นความรับผิดชอบของชื่ออีเว่ยอย่างเต็มรูปแบบ ชื่ออีเว่ยเป็นกองกำลังลับกองหนึ่งของจวนยิ่นอ๋อง ระดับเหนือกว่าชิงอีเว่ย ขันทีหลิวเข้าจวนอ๋องมาได้สามปีแล้วก็ยังไม่เคยพบหน้าตาที่แท้จริงของชื่ออีเว่ยคนใดเลย
คนเช่นนี้ยังหาที่อยู่ของนายท่านหกไม่พบ เห็นได้ว่านายท่านหกมิได้ ‘ออกจากเมืองหลวง’ ไปอย่างธรรมดาๆ แต่ถูกอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าคุ้มกันอยู่
ส่วนเป็นอำนาจของผู้ใด ยังต้องพูดอีกหรือ
ยิ่นอ๋องนวดหว่างคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ยังหาร่องรอยคุณหนูใหญ่เฉียวไม่พบอีกหรือ”
“ไม่พบพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหลิวก้มหน้าอย่างละอายใจ ความจริงแล้วเขาตรวจสอบสตรีชื่อเดียวกับคุณหนูใหญ่เฉียวไปมากมายนักแล้ว แต่เงื่อนไขล้วนไม่สอดพ้อง พวกนางล้วนมีบิดามีมารดา มีอยู่คนหนึ่งเป็นกำพร้า แต่นางมาจากเตียนตู คุณหนูใหญ่เฉียวเป็นคนเมืองหลวง จะมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ของเตียนตูได้อย่างไรเล่า
เฉียวเวยจึงหลบพ้นการค้นหาของเขาไปได้เช่นนี้…
“แต่” ขันทีหลิวลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ไม่นานมานี้ตระกูลเฉียวเกิดเรื่องใหญ่”
“เรื่องอันใด” ยิ่นอ๋องถามอย่างไม่ใคร่สนใจ เทียบกับความเคลื่อนไหวของตระกูลเฉียว เขาสนใจคุณหนูใหญ่เฉียวมากกว่า
ขันทีหลิวเองก็ทราบความคิดของเขา แต่ตนค้นหาข่าวคราวของคุณหนูใหญ่เฉียวไม่พบจริงๆ หาอย่างอื่นมาชดเชยส่วนที่บกพร่องสักหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มีสิ่งใดเลย “อัครมหาเสนาบดีจับคุณหนูเล็กเฉียวยัดเข้าเรือนจำ”
“คุณหนูเล็กตระกูลเฉียวไม่ใช่คู่หมั้นตอนนี้ของเขาหรือ เขาขังนางทำอะไร” ยิ่นอ๋องเอ่ยเหมือนคิดบางอย่าง
ขันทีหลิวตอบ “เหมือนจะเป็นเพราะคุณหนูเล็กตระกูลเฉียวไปแตะคนรักของอัครมหาเสนาบดีเข้า จวนแม่ทัพตัวหลัวก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ท่านว่าต้องตรวจสอบหรือไม่”
หากเป็นยามปกติ ยิ่นอ๋องก็คงให้คนไปตรวจสอบ ถึงอย่างไรจีหมิงซิวผู้นี้ก็ลึกลับนัก ไม่เคยได้ยินว่าเขาสนใจไยดีสตรีคนไหนเช่นนี้ แล้วยังจะยกเลิกการแต่งงานที่อดีตฮองเฮาพระราชทานให้อย่างไม่เสียดายเพื่อสตรีนางนี้อีก…
ประหลาดมากไม่ใช่หรือไร
แต่ยิ่นอ๋องในเวลานี้ความคิดพะวงอยู่แต่เรื่องของนายท่านหกกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว จึงไม่มีเวลาว่างสนใจเรื่องอื่น
ยิ่นอ๋องเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าไม่สนใจสตรีของเขา เจ้าส่งคนไปค้นหาร่องรอยของคุณหนูใหญ่เฉียวเพิ่มสักหน่อย อย่าเปลืองความคิดกับคนไม่สลักสำคัญพวกนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหลิวรีบขานตอบ
“แต่” ทันใดนั้นยิ่นอ๋องก็หรี่ตาลง “เขามีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับคุณหนูเล็กตระกูลเฉียว จับคุณหนูเล็กตระกูลเฉียวเข้าคุก เขาคิดจะทำอะไร บีบให้ตระกูลเฉียวถอนหมั้นหรือ”
ขันทีหลิวเคยได้ยินเรื่องการแต่งงานครั้งนี้มาก่อน ยามนั้นนึกเสียดายแทนจวนอัครมหาเสนาบดียิ่งนัก คุณสมบัติเช่นจีหมิงซิวควรหาคู่ครองเป็นคุณหนูจากตระกูลที่มีศักดิ์เทียบเทียมกัน หรือไม่ก็องค์หญิง ผลัดอย่างไรก็ผลัดไม่ถึงตาบุตรสาวของหมอหลวงผู้หนึ่ง ต่อมาเมื่อเขาสืบความจึงทราบว่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่อดีตฮองเฮากำหนด จวนอัครมหาเสนาบดีมิอาจยกเลิกการแต่งงานได้ ต้องให้ตระกูลเฉียวเป็นฝ่ายถอนหมั้นเองเท่านั้น “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ อัครมาหเสนาบดีคงไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปแล้ว คิดจะบีบให้ตระกูลเฉียวเป็นฝ่ายถอนหมั้นเอง”
ยิ่นอ๋องลูบแหวนหยกบนมือซ้าย “คิดถอนหมั้นไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก! เขามาขวางทางข้าเช่นนี้ ก็เป็นเวลาที่ข้าสมควรจะขวางเขากลับบ้างแล้ว!”
[1] สีขาว ในวัฒนธรรมจีน ใบหน้าสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของคนมากเล่ห์เหลี่ยม ในการแสดงอุปรากรจีนตัวละครที่สวมหน้ากากสีขาวคือตัวละครที่ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์เพทุบาย