หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 89-2 วัดฝีมือ มาเยือนถึงบ้าน
ตอนที่ 89-2 วัดฝีมือ มาเยือนถึงบ้าน
เฉียวเวยพาหัวหน้าหมู่บ้านไปยังที่นาอย่างใจกว้าง แล้วชี้ดินที่อยู่ใต้เท้าจากนั้นอธิบายว่า “เหตุที่ดินผืนนี้ปลูกพืชผลไม่ได้ ก็เพราะว่าคุณสมบัติของดินเปลี่ยนป สาเหตุที่เปลี่ยนค่อนข้างซับซ้อน ข้าเดาว่าสาเหตุหนึ่งคงเกี่ยวข้องกับเขื่อนที่อยู่ใกล้ๆ เพราะคลองเส้นนั้นทำให้น้ำไหลผ่านจนปริมาณน้ำที่ไหลลงดินเพิ่มขึ้น จึงเร่งให้เกลือสะสมอยู่ข้างในเกิดเป็นดินเค็มขึ้นมา”
“ดินเค็มหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านเพิ่งเคยได้ยินชื่อเรียกเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาย่อมรู้จักคำว่าเค็ม ดังนั้นจึงพอจะเข้าใจความหมายของมันอยู่ “เจ้าจะบอกว่ามันมีเกลือมากเกินไปหรือ”
เฉียวเวยอธิบาย “ปริมาณเกลือในดินสูงเกินไป เมื่อปลูกพืชผลธรรมดาก็เท่ากับจับปลาในแม่น้ำโยนลงทะเล ย่อมไม่รอด”
เมื่อกล่าวเช่นนี้หัวหน้าหมู่บานก็เข้าใจแล้ว “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดข้าวฟ่างหวานของเจ้าจึงไม่เป็นอะไร”
เฉียวเวยตอบว่า “ข้าวฟ่างหวานแต่เดิมตัวมันก็เป็นพืชที่ทนต่อดินเค็มอยู่แล้ว แล้วก่อนเพาะปลูกข้ายังปรับปรุงดิน ลดทอนปริมาณเกลือในดินลงด้วย”
หัวหน้าหมู่บ้านทำท่าเหมือนคิดบางอย่าง “ข้าจำได้ว่ามีอยู่สองสามวันที่เจ้าชักน้ำจากเขื่อนมาในนา เจ้าล้างที่นาสินะ!”
“…กล่าวเช่นนั้นก็ได้กระมัง” หากพูดง่ายๆ ก็ประมาณนั้น
หัวหน้าหมู่บ้านคลี่ยิ้ม “ดูไม่ออกเลยนะเสี่ยวเฉียวว่าเจ้าจะทำนาเป็นเช่นนี้ สองสามวันแรกทำไมแม้แต่แปลงหัวไชเท้าแปลงหนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้กันเล่า”
นั่นไม่ใช่ข้าเสียหน่อย!
หัวหน้าหมู่บ้านไม่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในอดีต เขาให้ความสำคัญกับเรื่องภายภาคหน้ามากกว่า “สิ่งที่เจ้าบอกเหล่านี้ล้วนมีคุณค่ามาก ข้าจะจดจำไว้แล้วจะแจ้งให้ทางการทราบ ไม่แน่อาจช่วยบุกเบิกที่นารกร้างมากกว่านี้ได้”
เฉียวเวยชะงักแล้วเอ่ยว่า “สภาพที่ดินร้างแต่ละแห่งแตกต่างกันไป วิธีจัดการมิอาจทำตามแบบเดียวกันได้ หากมั่นใจว่าเป็นดินเค็มแน่แล้ว วิธีนี้ของข้าจึงจะได้ผล”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า “ข้าเข้าใจ นอกจากชักน้ำล้างที่นาแล้ว ยังมีวิธีดีๆ อย่างอื่นอีกหรือไม่”
“ปลูกพืชคลุมดินที่ทนต่อดินเค็มสักหน่อย หรือมูลไส้เดือนก็ช่วยปรับปรุงคุณภาพของดินเค็มให้ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน”
“ไส้เดือน?” หัวหน้าหมู่บ้านทำหน้างง
ยุคโบราณเรียกไส้เดือนว่าอะไรนะ สมองของเฉียวเวยเกิดนึกไม่ออกไปชั่วขณะ “ก็คือ…เจ้าตัวเล็กๆที่อยู่ในดินหน้าตาเหมือนงู”
พอบอกเช่นนี้หัวหน้าหมู่บ้านก็เข้าใจแล้ว “หนอนดินน่ะหรือ”
เฉียวเวยยิ้ม “ใช่แล้ว หนอนดินนั่นแหละ!”
ไส้เดือนเป็นของดีนัก ไม่เพียงลดความร้อน ปรับสมดุลตับ บรรเทาอาการหอบ กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด แล้วยังปรับปรุงคุณภาพของดินเค็มได้อีก แต่เพราะนางเห็นสัตว์ตัวนิ่มชนิดนี้แล้วในใจขนลุกขนพองจึงไม่ได้ใช้วิธีนี้ แต่หากหัวหน้าหมู่บ้านต้องการวิธีปรับปรุงดินหลังรวบรวมพื้นที่ดินเค็มมา ถ้าเช่นนั้นมันก็เหมาะสมที่สุดแล้ว
“น่าจะยังมีวิธีดีๆ อย่างอื่นอยู่อีก ข้าจะกลับไปนึกให้ดี พอเรียบเรียงเสร็จแล้วจะเขียนหนังสือรายงานมาให้ท่าน”
หนังสือรายงานหรือ
นี่ภาษาที่ไหนกัน
แต่เขาเข้าใจก็พอ
หัวหน้าหมู่บ้านหน้าระรื่น “ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว หมู่บ้านของพวกเราไม่ได้มีที่ดินร้างผืนนี้ผืนเดียว หากปรับปรุงให้ดีขึ้นมาได้ทั้งหมด ข้าจะจดจำความดีความชอบของเจ้าไว้!”
เฉียวเวยยิ้มแย้มตอบว่า “หัวหน้าหมู่บ้านพูดเช่นนี้เห็นกันเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว ยามนี้ข้าก็เป็นชาวหมู่บ้านซีหนิวเหมือนกัน ลงแรงเพื่อหมู่บ้านเล็กน้อยเป็นเรื่องสมควร” ในใจเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค…ขอเพียงไม่มาเก็บค่าเช่าเก็บภาษีกับนางก็พอ “จริงสิ เรี่องที่สองที่ท่านมาหาข้าคือเรื่องใดหรือ”
“เรื่องนี้น่ะ…” รอยยิ้มของหัวหน้าหมู่บ้านพลันกลับกลายเป็นสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าออกจะไม่สะดวกใจเปิดปากเท่าใด”
เรื่องหนักหนาอยู่ข้างหลังจริงเสียด้วย เฉียวเวยปัดเศษดินออกจากมือโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ท่านพูดมาเถิด ยังมีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้อีกหรือ”
หัวหน้าหมู่บ้านชี้ด้านหน้า “ไปดื่มชาที่บ้านข้าก่อน”
เฉียวเวยตามหัวหน้าหมู่บ้านไปยังบ้านของเขา ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านหั่นแตงหวานสดใหม่จานใหญ่เอาไว้แล้ว ข้างแตงยังมีของกินเล่นอีกหลายอย่าง ดูสภาพคงเตรียมตัวมาก่อนแล้ว
“เสี่ยวเฉียว มาเร็ว นั่งๆ!” ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเชื้อเชิญนางมานั่งบนเก้าอี้อย่างกระตือรือร้น “กินแตงหวานสักหน่อย”
เฉียวเวยหยิบกินชิ้นหนึ่ง
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มแป้นเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากไหว้วานเจ้า ไม่รู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านพูดกับเจ้าหรือยัง”
เฉียวเวยมองหัวหน้าหมู่บ้าน แล้วหันมามองนางอีกครั้ง ริมฝีปากยกโค้ง “ยัง”
“ยังหรือ” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านถลึงตาใส่หัวหน้าหมู่บ้านเบาๆ แล้วนั่งลงข้างเฉียวเวย พลางเอ่ยทั้งรอยยิ้มเต็มหน้า “เป็นเช่นนี้ ลูกชุนของบ้านข้าแต่งไปอยู่ในเมืองมิใช่หรือ บ้านของพวกเขาสองสามีภรรยาอยู่ห่างจากที่เจ้าทำมาค้าขายไม่ไกล พวกเจ้าอยู่ถนนหยวนหลิน พวกเขาอยู่ถนนเจียงสุ่ย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว”
เหมือนว่า…จะไม่ใกล้ขนาดนั้นนะ
เฉียวเวยกินแตงหวานไม่พูดไม่จา
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มอย่างลำบากใจ “ลูกเขยคนนั้นของข้าอยากร่ำเรียนวิชาค้าขายเปิดร้านของตนเอง หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า…ร้านขายกุ้งนั่นของพวกเจ้าค้าขายดีทีเดียว”
เฉียวเวยเข้าใจความนัยแล้ว “อยากเรียนทำอาหารหรือ”
“เรียนทำกุ้งก็พอแล้ว! เขาจะขายกุ้งอย่างเดียว!” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ก่อนหน้านี้เขาเคยทำอาหารหรือไม่” เฉียวเวยถาม
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่านางไม่ได้ปฏิเสธทันที ในใจจึงเกิดความหวังขึ้นเลือนราง “ไม่เคย แต่เขาเรียนรู้ได้ แค่ปรุงกุ้ง…น่าจะไม่ยากกระมัง”
หากเป็นพ่อครัวมากประสบการณ์ แน่นอนว่าไม่ยาก นางสาธิตให้ดูสองสามครั้ง ผู้อื่นก็คงทำเป็นแล้ว แต่หากเป็นมือใหม่ เกรงว่าจะจับทางได้ไม่ง่ายปานนั้น
“เสี่ยวเฉียว เจ้าคิดว่าได้หรือไม่” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านมองดูสีหน้าของเฉียวเวย
หัวหน้าหมู่บ้านเปิดปากเอ่ย “เสี่ยวเฉียวเป็นคนงาน เรื่องนี้ต้องให้เถ้าแก่ของนางตัดสินใจ เจ้าบีบนางก็ไร้ประโยชน์”
“ข้าไม่ได้จะ…” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านขุ่นเคืองนักที่สามีมารื้อสะพานของตนเอง ทำเหมือนว่าลูกสาวเป็นลูกของนางคนเดียว ลูกเขยก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยเสียอย่างนั้น มิใช่ว่านางพยายามให้เจ้าเด็กล้างผลาญสองคนนั้นมีหนทางทำมาหากินมีกำไรมั่นคงไม่ขาดทุนหรอกหรือ ยามนี้ขายกุ้งขายดิบขายดีเช่นนี้ แม้แต่คนส่งสินค้ายังมั่งคั่งจนน้ำมันท่วมออกมาหน้าบ้าน ไม่เห็นหรือว่าหลัวหย่งจื้อซื้อรถลากได้แล้ว
เฉียวเวยยังคงยึดตามประโยคที่ว่าไม่เก็บค่าเช่าข้า ไม่เก็บภาษีข้า ทุกสิ่งล้วนเจรจากันได้ ยิ่งไปกว่านั้นวิธีปรุงกุ้งก็ถูกสหายร่วมอาชีพลอกวิชาไปพอประมาณแล้ว นางไม่ถือสาหากจะสั่งสอนเพื่อนร่วมอาชีพออกมาอีกสักคน “ทำอาชีพนี้ลำบากมาก ตกกลางคืนให้เขาลองไปเป็นลูกมือของพวกพ่อครัวที่โน่นดู ให้เขาลองดูก่อนว่าตนเองทำได้หรือไม่”
“เสี่ยวเฉียว เรื่องนี้จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ จะไม่ส่งผลกับกิจการของพวกเจ้าหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างกังวล ผู้เป็นขุนนางหวาดกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงที่สุดแล้ว หากผู้อื่นไปเล่าต่อว่าเขาใช้หน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตน บีบให้เสี่ยวเฉียวยกวิธีทำมาหากินให้ลูกสาวกับลูกเขยของเขา เขามีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ขึ้น
เฉียวเวยส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้ม “ไม่เป็นอะไร วางใจเถิดหัวหน้าหมู่บ้าน”
ชื่อเสียงของหรงจี้แพร่กระจายออกไปแล้ว ต่อให้มีสหายร่วมอาชีพลอกเลียนรสชาติได้แปดเก้าส่วน ก็เปลี่ยนตำแหน่งขาใหญ่ของหรงจี้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบอาหารของหรงจี้ก็ปรับปรุงสร้างสรรค์ใหม่ตลอดเวลา จุดนี้ สหายร่วมอาชีพทั้งหลายย่อมเทียบชั้นไม่ได้อยู่ไกลนัก
แล้วอีกอย่างหัวหน้าหมู่บ้านก็ช่วยเหลือนางมามากมายปานนั้น แล้วยังยกสิทธิการใช้ที่ดินสิบกว่าตารางเมตรนั่นให้นางตลอดชีพเปล่าๆ อีก ตอบแทนเล็กน้อยเท่านั้นนับเป็นอันใดมิได้
“วันพรุ่งนี้ข้าจะไปในเมือง พวกท่านให้เขาไปหาข้าที่หรงจี้ก็แล้วกัน” เฉียวเวยตอบ
“ไม่ต้องรอวันพรุ่งนี้!” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านคลี่ยิ้ม ว่าจบก็หันไปตะโกนเข้าไปในบ้าน “เหยาชิง! รีบออกมาเร็ว! เสี่ยวเฉียวรับปากแล้ว!”
ชายหนุ่มผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้าน ดูแล้วอายุยี่สิบสามสิบปี ใบหน้าดูตรงไปตรงมา สวมเสื้อผ้าพิถีพิถัน ดูน่านับถือกว่าคนในหมู่บ้านอยู่บ้าง
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านลากแขนเสื้อเขา พาเขามาอยู่ตรงหน้าเฉียวเวย แล้วยิ้มแย้มแนะนำ “นี่คือพี่เสี่ยวเฉียวของเจ้า เสี่ยวเฉียว คนนี้ลูกเขยข้าเหยาชิง”
เขาตัวใหญ่กว่าเฉียวเวย จะเรียกพี่ก็กระดากปากอยู่เล็กน้อย
เฉียวเวยแก้สถานการณ์ “เรียกข้าว่าเสี่ยวเฉียวก็พอแล้ว”
ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉียว วันฤกษ์ดีมิสู้วันสะดวก วันนี้เจ้าพาเขาไปเลยเถิด ข้าได้ยินว่าฤดูกาลกินกุ้งมีอยู่แค่ไม่กี่เดือนนี้ ผ่านไปก็ต้องรอปีหน้าแล้ว”
เฉียวเวยตะลึง “ท่านคิดจะเปิดปีนี้เลยหรือ” ไม่ได้บอกว่าเป็นมือใหม่หรือ อย่างน้อยก็ต้องเรียนสองสามเดือนกระมัง
“เขาเรียนทำอาหารแค่อย่างเดียว ไม่นานก็คงเรียนเป็นแล้ว เขาฉลาดมากนะ!” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
แต่เฉียวเวยมองว่าทำเช่นนั้นจะรีบร้อนหวังกำไรเกินไป เหมือนคาดหวังให้เด็กที่ยังไม่ทันหัดเดินคนหนึ่งไปเข้าร่วมการแข่งวิ่งมาราธอนทันที จึงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ให้ลองก่อนสักสองวันเถิด”
“เฮ้อ ก็ได้!” ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านหันไปสั่งเหยาชิงให้เชื่อฟังคำพูดของเฉียวเวย อย่าสร้างความลำบากให้เฉียวเวย ไม่เข้าใจก็จำไว้ว่าขอคำชี้แนะของเฉียวเวยและอื่นๆ อีกมากมาย
แต่เดิมคิดจะ ‘พักสบายๆ’ อยู่กับบ้านสองสามวัน ดูท่าคงไม่ได้แล้ว นางรับปากแล้วว่าจะทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสอง อย่างไรก็ต้องรอจนพวกเขากลับมา
“ท่านแม่จะไปที่เมืองอีกแล้วหรือ” ตอนทานอาหาร วั่งซูไม่พอใจ ท่านแม่ไปที่เมืองทุกวัน ตอนนอนนางไม่ได้พบท่านแม่เลย
จิ่งอวิ๋นเงียบขรึม ช่วงนี้มักไม่ได้พบหน้ามารดา เขาเองก็หดหู่มากเช่นกัน
ข้าด้วย ข้าด้วย!
เสี่ยวไป๋วิ่งเร็วจี๋แล้วกระโดดผลุงเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวย
เฉียวเวยหิ้วหางของมันไว้ ปึก! แล้วโยนมันลงบนเก้าอี้ จากนั้นลูบศีรษะน้อยๆ ของลูกทั้งสองคน พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ถ้าเช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าไปในเมืองกับแม่ดีหรือไม่”
เจ้าซาลาเปาน้อยดวงตาเป็นประกาย!
ป้าหลัวเอ่ยอย่างกังวลใจ “นั่นจะดึกไปหรือไม่” ทุกครั้งเฉียวเวยล้วนกลับบ้านมาเกือบเที่ยงคืน ผู้ใหญ่ยังเหน็ดเหนื่อยปานนั้น เด็กน้อยคงยิ่งทนไม่ได้ “ตอนเช้าพวกเขาสองคนยังต้องไปเรียนนะ”
“ข้าตื่นไหว! ข้าตื่นไหว!” วั่งซูกอดคอเฉียวเวย ทำท่าเหมือนจะเกาะติดบนร่างมารดาไม่ยอมปล่อย
ท่าทางดื้อด้านของลูกน้อยน่ารักจนเฉียวเวยใจละลาย นางยิ้มอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้าไม่ทำงาน เพียงพาเหยาชิงไปส่งเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาแล้ว”
หลังอาหารเย็น เฉียวเวยก็พาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองไปรวมตัวกับเหยาชิงที่หน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจ้างรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไว้แล้ว พวกเขาขึ้นรถ มุ่งหน้าไปยังเมืองซีหนิว
เหยาชิงเป็นคนพูดน้อย นิสัยค่อนข้างชอบเก็บตัว แต่ดูเหมือนจะสนใจเรียนทำอาหารอยู่บ้าง ระหว่างทางจึงถามเฉียวเวยเกี่ยวกับการค้าขายอยู่สองสามคำถาม
เมื่อถึงหรงจี้ แผงขายอาหารด้านนอกก็ตั้งแผงกันเรียบร้อยแล้ว พ่อครัวเหอกับพ่อครัวไห่กำลังสั่งให้ลูกศิษย์ทั้งหลายทำเครื่องเคียงสำหรับตอนกลางคืน เฉียวเวยทักทายทั้งสองคนแล้วพาเจ้าซาลาเปาน้อยกับเหยาชิงเข้ามาในเหลาสุรา “เถ้าแก่หรงเล่า เสี่ยวลิ่ว”
เสี่ยวลิ่วชี้โต๊ะคิดเงิน
เถ้าแก่หรงเป็นคนร่างเล็ก เมื่อนั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินก็ถูกบังจนมิด
เฉียวเวยเดินเข้าไปใกล้โต๊ะคิดเงิน แล้วชะเง้อมองด้านใน “พี่หรง”
เถ้าแก่หรงเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าสองข้างจ้องเฉียวเวยอย่างดุร้ายจนเฉียวเวยตกใจสะดุ้งโหยง!
“ท่านผีเข้าหรือ!”
เถ้าแก่หรงหยิบไข่ต้มที่ปอกเปลือกแล้วสองใบบนโต๊ะขึ้นมาแนบกับเบ้าตาตนเอง แนบไปก็สูดปากด้วยความเจ็บปวดไปด้วย “เจ้าสิผีเข้า ข้าถูกคนต่อยมาต่างหาก!”
เฉียวเวยตกใจจนอ้าปากหวอ “ข้าฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ ท่าใจกล้าถึงขั้นต่อยกับผู้อื่นเชียวหรือ ต่อยกับใครกัน เหตุใดเล่า ข้าไปช่วยท่านต่อยคืน!”
กล้ารังแกหรงหรงน้อยของนาง มีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้วใช่หรือไม่!
เถ้าแก่หรงสะอื้นแล้วชี้ตาซ้ายของตนเอง “หมอของร้านยาถนนเหนือคนนั้นขายยาปลอมให้ข้า! ข้าไปอาละวาดที่ร้านของเขาเลยถูกเขาต่อย”
“ยาอะไร” เฉียวเวยถาม
“ยาลูกกลอนบำรุงกำลัง หนึ่งคืนเจ็ดหน หอกทองโด่ไม่ล้ม!” หนึ่งคืนเจ็ดหนเสียที่ไหน หนเดียวเขายังไม่ไหวเลย!
เสี่ยวลิ่วกระแอม “ห้องครัวเหมือนจะเรียกข้า ข้าไปดูสักหน่อย”
“ถ้าเช่นนั้นตาขวาของท่านเล่า เขาต่อยเหมือนกันหรือ” เฉียวเวยโกรธมาก!
“ไม่ใช่ ข้างนี้ตาแก่จางเป็นคนต่อย ข้าเป็นเพื่อนบ้านกับเขามาตั้งหลายสิบปี แต่เขากลับขายเหล้าปลอมให้ข้า! ข้าอุตส่าห์เก็บไว้ดั่งสมบัติล้ำค่าตั้งยี่สิบปี ข้าโกรธมากจึงไปถามหาคำอธิบายกับเขา เขาก็ต่อยข้าให้…โฮโฮ…” เถ้าแกรงหรงเสียใจจนร้องไห้สะอึกสะอื้น “เสี่ยวเฉียว เจ้าต้องช่วยข้าแก้…”
“ห้องครัวเหมือนจะเรียกข้าด้วย” เฉียวเวยเอ่ยขัดเขาด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วจูงเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองกับเหยาชิงเดินจากไปประหนึ่งด้านข้างไม่มีผู้ใดอยู่
เถ้าแก่หรง “…”
…
เฉียวเวยจัดการให้เหยาชิงอยู่ในห้องครัว เริ่มตั้งแต่เลือกกุ้ง ล้างกุ้ง หลังจากนั้นเฉียวเวยจึงให้เด็กๆไปอยู่ในห้องบัญชีที่ชั้นบนของนาง
หรงจี้มีห้องน้ำแข็งของตัวเอง ใช้น้ำแข็งที่เก็บสะสมไว้ตอนหน้าหนาว เก็บสะสมมาจนถึงฤดูร้อน ใช้ได้อย่างสบายใจ เพราะทำมาจากน้ำในบ่อจึงทานได้โดยตรง
ทันใดนั้นเฉียวเวยก็เกิดความคิดแปลกใหม่ นางใช้มีดไสจนได้เกล็ดน้ำแข็งมาหนึ่งชามแล้วราดด้วยน้ำเชื่อมกุหลาบที่ตนทำไว้ จากนั้นใส่อิงเถาไปอีกสองสามผล น้ำแข็งไสกุหลาบโปะอิงเถาใสแวววาวชามหนึ่งก็ออกจากเตาเรียบร้อย
นางชิมเองก่อนนิดหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอันใดจึงแบ่งใส่ชามน้อยยกไปให้ลูกๆ
เสี่ยวไป๋พอไปอยู่ในสำนักศึกษาก็ก้าวหน้ารวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ ยามนี้ไม่เพียงบวกลบเลขน้อยกว่าร้อยได้ ยังจดจำตัวอักษรได้ไม่น้อยอีกด้วย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มันใช้ช้อนได้แล้ว!
มันขัดขานั่งอยู่บนโต๊ะพลางกอดชามน้ำแข็งไส ตักเข้าปากทีละช้อนๆ ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ ดังเจี๊ยวจ๊าว
แมวส้มตัวโตเดินนวยนาดเข้ามา “เหมียววว”
เสี่ยวไป๋ป้อนมันช้อนหนึ่ง เย็นจนเจ้าแมวขนพอง! กระโดดแผล็วขึ้นไปบนคานห้อง!
ฝั่งนี้เด็กๆ กินกันอย่างเริงร่า อีกฝั่งหนึ่งรถม้าหรูหราประณีตคันหนึ่งจอดอยู่นอกหรงจี้
“แน่ใจนะว่าเป็นที่นี่” สวีซื่อเลิกม่านรถขึ้น
ซิ่งจู๋พยักหน้า “เจ้าค่ะ ฮูหยิน คุณหนู ขนมกับไข่เยี่ยวม้าเหล่านั้นล้วนซื้อมาจากร้านนี้”
เฉียวอวี้ซีมองแผงร้านค้าที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบทางขวามือแล้วขมวดคิ้ว “ไม่เข้าท่าขึ้นทุกทีแล้ว กินข้าวดันออกมากินข้างนอก”
สวีซื่อนวดหว่างคิ้ว แล้วถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย “พอแล้ว เรื่องพวกนั้นเจ้ามิต้องสนใจ ลำบากนักว่าจะสืบหาที่อยู่ของเหล่าฮูหยินได้ พวกเรารีบซื้อของแล้วไปพบเหล่าฮูหยินกัน ตอนนี้มีแต่แม่เฒ่าที่จะมีวิธีช่วยบิดาเจ้าออกมา”
ศาลาต้าหลี่ไม่เหมือนจวนเจ้าเมืองที่จัดการง่ายดายเช่นนั้น อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ตุลาการศาลต้าหลี่พวกนั้นมิใช่พระพุทธรูปที่คนทั่วไปจะมาขยับยกได้
ความจริงแล้วเฉียวอวี้ซีไม่ใคร่อยากไปพบจีเหล่าฮูหยินนัก นางกลัวว่าจีเหล่าฮูหยินจะทราบ ‘เรื่องดีงาม’ ที่นางทำเอาไว้ แล้วจะตำหนินาง “ท่านแม่ มิสู้พวกเราไปขอร้องยิ่นอ๋องเถิด เขาเป็นคนดี ท่านดูสิครั้งนี้ก็เป็นเขาที่ช่วยข้า!”
สวีซื่อเคาะหน้าผากนาง “เจ้านี่นะ! ครั้งนั้นผู้อื่นบังเอิญมาพบจึงช่วยเจ้าไว้ เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก!”
“แต่…”
สวีซื่อตบเบาๆ บนมือของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร วางใจเถิด เหล่าฮูหยินมิกล่าวโทษเจ้าหรอก ข้ามีวิธีให้เหล่าฮูหยินกล่าวโทษความผิดบนศีรษะของผู้อื่น!”
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่าดึงดัน “อย่างไรข้าก็คิดว่ายิ่นอ๋องช่วยได้”
สวีซื่อเอ่ยอย่างขัดใจ “เจ้าสาวน้อยคนนี้ ไม่เคยคิดเลยใช่หรือไม่ว่าตุลาการศาลต้าหลี่คือผู้ใด เขาคือใต้เท้าหลิน สามีของจีหว่าน! พี่เขยของอัครมหาเสนาบดี! เขาไม่พูดง่ายปานนั้นเหมือนเจ้าเมืองหรอก หน้าของยิ่นอ๋อง มากกว่าครึ่งเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้า”
เฉียวอวี้ซีถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ พวกเราไปขอร้องเหล่าฮูหยินเถิด”
สวีซื่อเอ่ยสั่ง “ซิ่งจู๋ เจ้าไปซื้อไข่เยี่ยวม้าโถหนึ่ง ขนมสองกล่อง แล้วถามดูว่าในร้านพวกเขามีอาหารเฉพาะฤดูกาลอันใดที่นำไปด้วยได้”
“เจ้าค่ะ!”
ซิ่งจู๋คว้าถุงเงินลงจากรถม้าไป
เฉียวเวยบังเอิญพาเหยาชิงเดินออกจากเหลาสุรามาพอดี แต่ละคนหิ้วกุ้งอยู่ในมือคนละตะกร้า เฉียวเวยก้าวเท้าเร็วราวกับเหาะ เหยาชิงกลับเหน็ดเหนื่อยเหงื่อท่วมศีรษะ
เฉียวเวยยิ้มละไม “เหยาชิง เจ้าต้องฝึกฝนร่ากายให้ดีสักหน่อยแล้ว”
เฉียวอวี้ซีได้ยินเสียงคุ้นหู คิ้วพลันขมวดมุ่น พอเลิกม่านรถขึ้นก็เห็นเฉียวเวยคุยสัพเพเหระกับบุรุษผู้หนึ่งเดินผ่านหน้ารถม้าไป เฉียวอวี้ซีปล่อยม่านรถลงอย่างหงุดหงิด “เหตุใดเป็นนาง”
“ผู้ใดหรือ” สวีซื่อเอ่ยถาม
เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็นางจิ้งจอกที่ทำให้ข้าต้องเข้าคุกคนนั้น!”
“ให้ข้าดูซิ” สวีซื่อขยับเข้ามา
เฉียวอวี้ซีขยับรอยแหวกของม่านให้กว้างขึ้นหน่อย แล้วชี้แผ่นหลังของเฉียวเวย “คนที่สวมกระโปรงสีขาวคนนั้น มีลูกแล้วยังจะมาล่อลวงอัครมหาเสนาบดี ท่านดูตอนนี้นางยังยั่วยวนบุรุษคนอื่นอีกด้วย!”
รูปร่างไม่เลว แต่ดูเหมือนกำลังทำงานง่กๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ สตรีของจีหมิงซิวต้องทำงานจำพวกนี้ด้วยหรือ สวีซื่อขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
ในตอนนี้เอง เฉียวเวยก็วางกุ้งลง เตรียมจะกลับไปเหลาสุราขนมาอีกตะกร้า
เฉียวเวยหันกลับมา เมื่อสวีซื่อเห็นใบหน้าของนางชัด ทั้งร่างก็แข็งทื่อในทันใด