หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 91-2 ฝาแฝด
ตอนที่ 91-2 ฝาแฝด
เจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูยังนอนหลับอุตุ เฉียวเวยให้จิ่งอวิ๋นไปเชิญซิ่วไฉเฒ่ามาทานอาหารเย็นด้วยกัน การผูกมิตรไมตรีระหว่างอาจารย์กับผู้ปกครองสำคัญระดับเดียวกับการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้
จิ่งอวิ๋นไปอย่างเชื่อฟัง
ในที่สุดวั่งซูก็ตื่นแล้ว นางไม่รู้ว่ามารดาแอบไปเที่ยวเล่นกับพี่ชายลับหลังนางมาแล้วรอบหนึ่ง จึงยังนึกดีใจว่าพี่ชายไม่อยู่ นางได้ครอบครองมารดาไว้กับตนเองผู้เดียว
เฉียวเวยหิ้วข้องปลาไปด้านหลังเรือน วั่งซเดินดุ๊กดิ๊กตามเข้ามาแล้วถามว่าปลามาจากไหน เฉียวเวยจึงบอกเพียงว่าจับมา วั่งซูก็คิดว่ามารดาไปจับมาเอง มารดามักจะออกไปเที่ยวเล่นคนเดียวลับหลังนางกับพี่ชาย นางชินเสียแล้วล่ะ
เฉียวเวยตักน้ำจากบ่อมาหนึ่งถังแล้วแช่ปลาไว้ในกะละมัง หลังจากนั้นจึงใช้มีดขอดเกล็ดควักไส้ทีละตัวๆ
ปลาที่จับมาได้มีหลากหลายชนิด ทั้งปลาจี้ ปลาเตียวจื่อ ปลาหม่าโข่ว ปลาสือผาเป็นต้น แต่ปลาจี้มากที่สุด ปลาที่จับได้ครั้งนี้ขนาดไม่ใหญ่ ความยาวเฉลี่ยอยู่ระหว่างสองถึงสามชุ่น จะขอดเกล็ดปลาให้เกลี้ยงไม่ง่ายนัก
เฉียวเวยเลือกมีดเล่มเล็กที่เบาที่สุดแล้วขูด ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ยกมีดลงมีด รวดเร็วฉับไว
วั่งซูเล่นกับปลาในอ่าง เริ่มแรกปลายังเต็มอ่างใบโต นางจับตัวไหนก็ได้ตัวนั้น แต่ไปๆ มาๆ ก็เหลือครึ่งอ่าง แล้วก็เหลือเสี้ยวหนึ่งของอ่าง จนเหลือสิบตัว แปดตัว หกตัว…แล้วก็เหลือสองตัว
เฉียวเวยจัดการปลาน้อยเสร็จอีกหนึ่งตัวก็เอื้อมมือลงไปควานในอ่าง กลับพบว่าไม่มีแล้ว นางเลิกคิ้ว ยื่นมือไปหาวั่งซู “ส่งมา”
มือน้อยของวั่งซูหลบอยู่ด้านหลัง “ไม่มีแล้ว”
“ไม่มีแล้วเจ้าซ่อนอะไรไว้” เฉียวเวยเห็นท่าทางเหมือนจะบอกว่าข้าซ่อนเงินสามร้อยตำลึงไว้ที่นี่ของนางก็อยากหัวเราะ
“ไม่มีแล้วจริงๆ” วั่งซูปากแข็ง
เจ้าเด็กน้อย รู้จักเถียงนางแล้วหรือ นี่หากเป็นตอนที่นางเพิ่งข้ามมิติมาตอนนั้นล่ะก็ เจ้าตัวน้อยคงไม่กล้าเช่นนี้หรอก
ตนเองดีกับนางมากเกินไปแล้ว ไม่เพียงเลี้ยงนางจนตัวอ้วนท้วน แม้แต่หัวใจก็กล้าขึ้นด้วย
เฉียวเวยแสร้งเอ่ยจริงจัง “ข้านับมาแล้ว ทั้งหมดมีหนึ่งร้อยตัว ตอนนี้ข้าจัดการไปแล้วเก้าสิบเก้าตัว ยังเหลืออีกหนึ่งตัว ไม่อยู่ในมือเจ้าแล้วอยู่ที่ใดเล่า”
วั่งซูส่งปลาตัวน้อยไปให้ด้วยท่าทางน่าสงสาร มารดาเจ้าเล่ห์นัก ดันแอบนับจำนวนปลาไว้อีก
เฉียวเวยนับเสียที่ไหนเล่า ปลาเล็กปลาน้อยสองข้องใหญ่เช่นนี้ นางเคยนับที่ไหน ก็มีแต่สาวน้อยซื่อบื้อคนนี้ที่เชื่อสนิท
ในสายตาของวั่งซู ของที่มีจำนวนมากทั้งหมดล้วนมีหนึ่งร้อยชิ้น ขอเพียงบอกนางว่าหนึ่งร้อย นางล้วนเชื่อสนิทไม่สงสัย
เฉียวเวยจัดการปลาน้อยตัวสุดท้ายเสร็จก็เดินเข้าห้องครัว นางหั่นขิงหลายแง่งก่อน จากนั้นตำให้แหลก ตบกระเทียม แล้วคลุกเคล้าเกลืออีกเล็กน้อยกับพริกแดงป่นที่ตนทำเอาไว้ จากนั้นจึงทาด้านในด้านนอกของปลาเล็กปลาน้อยทุกตัวจนครบ ทำเช่นนี้จะจัดการกลิ่นคาวบนตัวปลาเล็กปลาน้อยได้ดีแล้วยังทำให้รสชาติเข้าเนื้อได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
หากมีผงกะหรี่ก็จะยิ่งดี เฉียวเวยคิดในใจ
หลังจากหมักปลาเล็กปลาน้อยแล้ว เฉียวเวยก็หยิบแป้งหนึ่งชั่งออกมาผสมกับเครื่องปรุงที่เหลือจากการหมัก จากนั้นตอกไข่ไก่สามฟอง เทน้ำมันงาหนึ่งช้อน ต้นหอมซอย คลุกเคล้าจนกลายเป็นแป้งสีเหลืองอ่อน จากนั้นจึงใส่ปลาเล็กปลาน้อยเข้าไปในแป้งเหนียวข้น
อีกด้านหนึ่ง นางก็ตั้งน้ำมันใส่กระทะจนร้อน
ชุ่ยอวิ๋นวิ่งมาเติมฟืนให้นาง วั่งซูถูกห้ามไม่ให้เข้าห้องครัวจึงเกาะอยู่ที่ประตู ยื่นศีรษะน้อยกลมดิกเข้ามา มองดูอย่างสงสัยใคร่รู้
ชุ่ยอวิ่นจึงเอ่ยว่า “นางอยากเข้ามาก็ให้นางเข้ามาเถิด ตอนข้าอายุเท่านางก็ออกไปทำงานในไร่แล้ว” จะตามใจเด็กน้อยเกินไปมิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายดีร้ายก็ยังอยู่กับครอบครัวของตัวเอง ตามใจจนเสียนิสัยก็ยังมีบิดามารดาเลี้ยง แต่เด็กผู้หญิงต้องไปอยู่บ้านสามี หากทำสิ่งใดไม่เป็นสักอย่างจะถูกคนรังเกียจเอาได้
เด็กน้อยน่ารักเช่นนี้จะให้ใช้ทำงานหนักก็ไม่ได้ นางคงสงสารแย่ แน่นอนว่าในยุคสมัยเช่นนี้ ชุ่ยอวิ๋นนับเป็นผู้มีจิตใจดีงามคนหนึ่งแล้ว
เฉียวเวยคลี่ยิ้มตอบว่า “นางจะทำให้ยุ่งเพิ่มเสียเท่านั้น”
ชุ่ยอวิ๋นฟังความหมายของเฉียวเวยออกจึงตักเตือนด้วยเจตนาดี “เจ้าคิดจะตามใจนางไปทั้งชีวิตหรือ นางไม่มีบิดา สุดท้ายเจ้าก็ต้องแต่งงานกับผู้อื่น นางทำอะไรเป็นนิดหน่อยจะได้เอาใจน้องเขยคนใหม่ให้นึกชอบได้”
ลูกสาวนางทำไมจะต้องให้ผู้อื่นมาชมชอบ หากนางจะหาผู้ชาย เงื่อนไขแรกคือต้องดีกับลูกของนาง มิเช่นนั้นนางไม่หาเสียดีกว่า
หรือว่าจะเลี้ยงเด็กหนุ่มสักสองสามคนก็ได้นะ
เงื่อนไขก็คือนางหาเงินจนกลายเป็นสาวสวยรวยมากแล้ว
หนทางยังอีกยาวไกลนัก!
เฉียวเวยใช้ตะเกียบไม้คีบปลาน้อยในส่วนผสมแป้งลงกระทะน้ำมันทีละตัว ความสดใหม่ของปลา กลิ่นหอมของแป้งกับพริก คละเคล้าด้วยกลิ่นต้นหอมอบอวล ลอยขึ้นมาจากกระทะน้ำมันในทันที
“ไม่ล่ะจิ่งอวิ๋น วันนี้ข้านัดร่ำสุรากับตาเฒ่าหวังที่หมู่บ้านข้างๆ ไว้แล้ว คงไม่ไปบ้านเจ้า” ซิ่วไฉเฒ่าปฎิเสธจิ่งอวิ๋นอย่างอ้อมๆ ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมอบอวลของต้นหอมชวนน้ำลายสอลอยมา จึงสูดจมูก “นี่กลิ่นอะไรกัน”
จิ่งอวิ๋นดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “ท่านแม่ของข้ากำลังทอดปลาอยู่!”
ซิ่วไฉเฒ่ากลืนน้ำลาย “จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ ท่านหมอบอกข้าว่าพักนี้ไม่สมควรดื่มเหล้า”
ผู้ที่ถูกกลิ่นหอมดึงดูดมาไม่ได้มีเพียงซิ่วไฉเฒ่าเท่านั้น ท่านน้าตระกูลจางกับสะใภ้ตระกูลเหอ ทั้งสองคนล้วนอยู่ข้างบ้าน นาก็อยู่ติดกัน จึงมักจะเข้าออกด้วยกันเป็นปกติ วันนี้ทั้งสองคนเพิ่งเลิกงาน เตรียมจะกลับบ้านไปกินอาหารเย็น แต่ถูกกลิ่นหอมตามทางยั่วยวน เมื่ออดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเข้ามาถามว่า “ชุ่ยอวิ่นทำอาหารอยู่หรือ”
ชุ่ยอวิ๋นคลี่ยิ้มเดินออกมา “ไม่ใช่ข้าหรอก เสี่ยวเฉียวน่ะ น้าจาง สะใภ้เหอ เข้ามานั่งด้วยกันสิ”
นั่งคงไม่ต้องแล้ว ทั้งสองคนเพียงอยากดูว่าในครัวทอดอะไรอยู่เท่านั้น เหตุใดจึงหอมเช่นนี้
ท่านน้าตระกูลจางกับลูกสะใภ้ตระกูลเหอเข้าไปในห้องครัว
เฉียวเวยเพิ่งจะทอดกระทะแรกเสร็จ ปลาตัวน้อยสีเหลืองทอง ตกแต่งด้วยหอมซอยที่ทอดจนกรอบ น้ำมันชุ่มจนส่งเสียงดังซู่ซ่ามีควันลอยขึ้นมา ทำให้คนหิวจนน้ำลายไหลแล้ว
“น้าจาง สะใภ้เหอ” เฉียวเวยยิ้มแย้มเอ่ยทักทาย
“นี่คืออะไรหรือ หอมเช่นนี้เชียว” ท่านน้าตระกูลจางเอ่ยถาม
เฉียวเวยยิ้มตอบ “ปลาตัวเล็กที่ข้าไปจับเอง ชุบแป้งแล้วทอด ก็ไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่ ท่านน้ากับพี่ลองชิมสักหน่อยไหม”
วั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามามองปลาตัวน้อยในตะกร้า น้ำหลายไหลย้อย!
เฉียวเวยส่งตัวหนึ่งให้นาง “ระวังร้อนเล่า”
“ฟู่ ฟู่ ร้อนๆ!” วั่งซูยกปลาขึ้นกัดคำหนึ่ง “อร่อยมาก!”
ท่านน้าตระกูลจางกับลูกสะใภ้ตระกูลเหอต่างก็ชิมกันคนละตัว ไม่เหมือนกับปลาที่พวกนางทอดเลย เนื้อนุ่มยิ่งนัก! แต่แป้งด้านนอกกลับกรุบกรอบ ปลาด้านในนุ่มจนเหมือนไม่มีก้างปลา กลืนลงไปเลยก็ยังได้
กลิ่นต้นหอมซอยหอมนัก ขิงกับกระเทียมล้วนพอเหมาะพอดี ดับกลิ่นคาวปลาแต่ไม่แย่งชิงรสชาติสดใหม่ของตัวปลาไป
พวกนางกินแล้วไม่รู้ว่าในนั้นใส่ไข่ไก่ด้วย รู้สึกแต่ว่าแป้งนี่ทอดแล้วอร่อยกว่าบ้านพวกนางมากนัก
เฉียวเวยเห็นทั้งสองคนชื่นชอบก็ตักให้คนละชามให้นำกลับไปด้วย
“นี่จะรับไว้ได้อย่างไรเล่า” ท่านน้าตระกูลจางปฏิเสธ
เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “มิใช่ของมีราคาอันใดเสียหน่อย ท่านน้ากับพี่สาวไม่รังเกียจก็พอ”
ท่านน้าตระกูลจางเอ่ยว่า “ดูเจ้าพูดเข้า ทำอร่อยเช่นนี้ พวกเราจะรังเกียจได้อย่างไร”
ในที่สุดทั้งสองคนก็รับไว้อย่างกระดากใจ
วั่งซูกินรวดเดียวห้าตัว เผ็ดจนแลบลิ้นออกมา
ไม่นานหัวหน้าหมู่บ้านก็มาด้วย เขาไม่มีทางยอมรับว่าตนถูกกลิ่นหอมของปลาทอดล่อมา ความจริงแล้วคนครึ่งหมู่บ้านล้วนทรมานเพราะปลาทอดของเฉียวเวย แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนถามว่าบ้านผู้ใดทำอาหารหอมเช่นนี้
“เสี่ยวเฉียว!” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มแป้นเดินเข้ามาในห้องครัว
“ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้าน!” วั่งซูเอ่ยเรียกคนเสียงหวาน หัวหน้าหมู่บ้านมาบ้านหลัวหลายครั้งแล้ว เทียบกับท่านน้าตระกูลจางกับลูกสะใภ้ตระกูลเหอ วั่งซูคุ้นกับเขามากกว่า
หัวหน้าหมู่บ้านตบหัวไหล่น้อยของนางอย่างอารมณ์ดี “วั่งซูเป็นเด็กดีนักเชียว”
วั่งซูชูชามน้อยของตนเองขึ้นมา “ให้ท่านกินปลา!”
ครึ่งหนึ่งถูกนางกัดประกาศความเป็นเจ้าของไปแล้ว…
“อย่าก่อเรื่อง” เฉียวเวยดุเด็กหญิงทางสายตา แล้วส่งตะเกียบให้ชุ่ยอวิ๋น “พี่สะใภ้ใหญ่ ยังเหลืออีกกระทะสุดท้าย”
“ได้ ข้าทำเอง” ชุ่ยอวิ๋นรับตะเกียบไป เมื่อครู่ดูเฉียวเวยทอดอยู่หลายกระทะ นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทอดนานเท่าไร ทอดเป็นอย่างไรจึงพอดีที่สุด
เฉียวเวยนำหัวหน้าหมู่บ้านไปยังห้องโถง “ท่านมารับวิธีปรับปรุงดินเค็มสินะ ข้าเขียนเรียบร้อยแล้ว กินข้าวเสร็จก็คิดจะไปส่งให้ท่านพอดี”
เข้าใจผิดแล้ว ข้ามาเพราะอยากขอกินปลาทอดต่างหาก!
เฉียวเวยส่งรายงานวิธีปรับปรุงดินเค็มที่นางร่วมมือกันทำกับบุตรชายให้หัวหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจ แล้วกำลังจะจากไปอย่าง ‘หมดอาลัยตายอยาก’
เฉียวเวยหัวเราะพรืด “หัวหน้าหมู่บ้านรอประเดี๋ยว ท่านลืมของบางอย่าง”
กล่าวจบก็หมุนตัวไปทางห้องครัวแล้วจัดปลาทอดชามโตออกมา “หลายวันนี้ ขอบคุณท่านที่ดูแล”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยอย่างเกรงใจ “เฮ้อ นี่จะรับไว้ได้อย่างไรเล่า น่าจะเป็นข้าขอบคุณเจ้ามากกว่า เจ้าดูสิ เจ้ามอบวิธีดีๆ เช่นนี้ให้ แล้วยังให้เหยาชิงไปร่ำเรียนวิชาจากร้านเจ้าอีก”
เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “คนหมู่บ้านเดียวกัน พวกเราอย่าเห็นเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย”
“พูดถูกต้องๆ!” หัวหน้าหมู่บ้ายกปลาทอดจากไป รอยยิ้มสว่างไสวยิ่งกว่าขามา
เฉียวเวยนำปลาที่ทอดเสร็จขึ้นไปบนเขาให้มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อ ป้าจ้าวกับนายช่างทั้งหลายได้ลองชิมด้วย
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ไปดูในป่าว่ากรงที่นางวางดักไว้มีกระต่ายหรือไก่ป่ามาติดบ้างหรือไม่
ผลปรากฏว่าเมื่อนางเข้าไปในพุ่มไม้ก็พบว่าเหยื่อล่อในกรงหายไปแล้ว สัตว์ก็หายไปด้วย
ผู้ใดกันขโมยเหยื่อล่อของนางหรือขโมยสัตว์ที่นางล่าได้ไป
แววตาของเฉียวเวยเย็นยะเยือกอย่างรวดเร็ว!
ไม่นานเฉียวเวยก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างอันยั่วยวนคนสายหนึ่ง
ผู้ใดย่างสิ่งใดอยู่ในป่า คงไม่ใช่ว่าย่างสัตว์ที่นางล่าได้อยู่ใช่หรือไม่
จิตสังหารของเฉียวเวยพวยพุ่งบุกเข้าไปหา!
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่บดบังแสงตะวัน บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินอย่างนิ่งสงบ ตรงหน้ามีราวไม้หยาบๆ สำหรับย่างอันหนึ่ง บนราวไม้ย่างกระต่ายตัวหนึ่งจนเหลืองกรอบ มือของเขาโรยเครื่องปรุงแวววาววาวบนตัวกระต่ายเป็นระยะ มือของเขาน่ามองยิ่งนัก ข้อนิ้วชัดเจน เรียวยาวดั่งหยก
เฉียวเวยวางมีดลง แล้วพรูลมหายใจ “ท่านนี่เอง”
จีหมิงซิวมองมีดสั้นในมือนางแล้วเลิกคิ้ว “ข้าเอากระต่ายเจ้าไปตัวหนึ่ง เจ้าก็เตรียมจะฆ่าข้าเสียแล้วหรือ”
กระต่ายของนางจะเอาไปขายแลกเงิน แย่งเงินของนางก็เท่ากับจะเอาชีวิตนาง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น นางคงปล้นกลับมานานแล้ว
เฉียวเวยกระแอม แล้วเบี่ยงประเด็น “ท่านมาได้อย่างไร แล้วยังขโมยกระต่ายข้าอีก”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “ย่างเสร็จแล้ว จะลองชิมหรือไม่”
ชิมก็ชิม ผู้ใดกลัวกัน
เฉียวเวยก้าวยาวดั่งดาวตกเดินเข้าไป แล้วนั่งแปะลงบนก้อนหิน!
จีหมิงซิวฉีกขากระต่ายข้างหนึ่งส่งให้นาง
หน้าตาดูดีทีเดียว มองแล้วอยากอาหารอย่างยิ่ง
เฉียวเวยกัดคำหนึ่งอย่างไม่รีรอสักนิด
บอกตามตรง ฝีมือทำอาหารของเขา…เอิ่ม ตรงกันข้ามกับหน้าตาของเขาอยู่บ้าง ย่างเนื้อจนนางกัดไม่ลงสักนิดก็ต้องมีความสามารถเหมือนกัน
“อร่อยหรือไม่” เขาถาม
เฉียวเวยเม้มปาก ระหว่างทำลายความมั่นใจเขากับหลอกลวงเขาด้วยเจตนาดี นางเลือกข้อแรก “ท่านเคยกินเนื้อที่ตัวเองย่างเองมาก่อนหรือไม่”
“ไม่เคย” เขาเอ่ยตอบ
ที่แท้เป็นของที่ตนเองก็ยังกินไม่ลง แต่กล้าย่างให้นางกิน!
“ดีกว่าของค้างคืน เจ้าว่าใช่หรือไม่” เขายิ้มละไม
นี่คือการแก้แค้นที่นางเอาอาหารค้างคืนมาต้อนรับเขาหรือ ผ่านไปตั้งนานปานนี้แล้ว เจ้าหมอนี่อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ได้หรือไม่!
เฉียวเวยไม่กินแล้ว นางวางขากระต่ายไว้บนใบบัวด้านข้างแล้วลุกขึ้นเตรียมจะจากไป
จีหมิงซิวกลับขวางทางไปของนางไว้
“ท่านลุงหมิง!”
เสียงของเจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูพลันดังขึ้นมาจากบนฟ้า
เฉียวเวยดันจีหมิงซิวออกทันทีแล้วลุกขึ้นเพิ่มระยะห่างกับเขา
สือชีพาวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเหาะมาจากบนฟ้า วั่งซูถูกเขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ส่วนจิ่งอวิ๋น…ห้อยอยู่กับต้นขาของเขาด้วยตัวเอง…
ทั้งสามคนร่อนลงพื้น วั่งซูยิ้มตาหยีวิ่งเข้ามาหาจีหมิงซิว แล้วโถมเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ท่านลุงหมิง!”
รอยยิ้มของจีหมิงซิวยากจะหาคำใดคำหนึ่งมาพรรณนาได้ เขามองเฉียวเวยที่อยู่ไม่ไกลหนหนึ่ง แล้วลอบคิดว่าเจ้าตัวน้อยมาได้ไม่ถูกจังหวะจริงๆ แต่เขาก็ยังอุ้มวั่งซูขึ้นมา จากนั้นมองไปทางจิ่งอวิ๋นที่ร่วงลงพื้นดังปุ้ก แล้วรู้สึกเจ็บแทนจิ่งอวิ๋นอยู่สามวินาที
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเห็นเนื้อกระต่ายบนราวย่างก็ต่างโวยวายว่าอยากกิน
จีหมิงซิวหั่นเนื้อกระต่ายที่นุ่มที่สุดสองชิ้นให้พวกเขา แล้วหั่นขากระต่ายข้างหนึ่งให้สือชี
สิ่งที่ทำให้เฉียวเวยรู้สึกตกตะลึงก็คือ สือชีกับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกลับกินกันอย่างเอร็ดอร่อย!
สวรรค์!
เคยกินอาหารฝีมือแม่ครัวใหญ่เฉียวอย่างนางมาก่อน เหตุใดยังกระเดือกของไม่อร่อยเช่นนั้นลงอีก
“เนื้อที่ท่านลุงหมิงย่างอร่อยจริงๆ!” วั่งซูกัดเนื้อกระต่ายดัง กรุบ! หากไม่รู้ คงคิดว่านางกัดก้อนหิน
“เนื้อที่ท่านลุงหมิงย่างอร่อยหรือเนื้อที่แม่ย่างอร่อย” จีหมิงซิวถามอย่างร้ายกาจ
เสี่ยววั่งซูไม่เสียเวลาคิด “แน่นอนต้องของท่านลุงหมิงสิ!”
หัวใจเฉียวเวยถูกคริติคอลเดเมจหนึ่งหมื่นพอยท์!
ทั้งสามคนแบ่งกันกินกระต่ายป่าตัวใหญ่อวบอ้วนตัวหนึ่งจนเกลี้ยง เจ้าซาลาเปาน้อยกินอิ่มก็นอนเปิดเสื้อแผ่พุงบนพื้นหญ้า สือชีมองหน้าท้องที่โผล่ออกมาของวั่งซูแล้วก็ล้มตัวนอนเลิกเสื้อขึ้นแผ่พุงตามบ้าง
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวนั่งหันหลังชนกันบนก้อนหิน ฝั่งหนึ่งคือภูเขาเขียวครามซ้อนสลับเป็นชั้นๆ ฝั่งหนึ่งคือตัวปัญหาสามหน่อที่นอนผึ่งพุงอยู่
ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดหันหน้ากลับมา ต่างนั่งทำเหมือนไม่มีอะไรอยู่เช่นนั้น
ทันใดนั้นจีหมิงซิวก็เอ่ยว่า “สือชี พาวั่งซูไปเก็บผลไม้”
สือชีอุ้มวั่งซูเหาะหายไปทันใด!
เฉียวเวยใจเต้น
เขาขยับเข้ามาใกล้
จิ่งอวิ๋นเดินเข้ามามองท่านลุงหมิงที่ขยับเข้าใกล้มารดาขึ้นเรื่อยๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านลุงหมิง…”
เขาเพิ่งเอ่ยปากก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืด ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นข้างหนึ่งบังตาของเขาไว้
จีหมิงซิวปิดตาของจิ่งอวิ๋นเสร็จก็ลิ้มรสสิ่งที่ตนอยากฉกชิมมาตลอดได้เสียที