หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 92-2 เรียกพ่อสิ
ตอนที่ 92-2 เรียกพ่อสิ
หัวหน้าหมู่บ้านดึงแขนเสื้อเขา “มาๆ ข้าพาเจ้าไปดูที่ดินของเสี่ยวเฉียว เจ้าไปดูให้แน่ใจว่าพืชผลของนางเติบโตได้ดีหรือเปล่า!”
หัวหน้าหมู่บ้านหยางเคยเห็นที่ดินทางตะวันออกของหมู่บ้านผืนนั้นมาก่อนแล้ว นอกจากวัชพืชที่งอกขึ้นมาเอง สิ่งใดก็ล้วนปลูกไม่รอด แต่เมื่อเขาได้ไปยืนบนที่ดินทางตะวันออกของหมู่บ้านอีกครั้ง ก็แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง สีเขียวชอุ่มทอดเป็นผืน นั่นใช่ที่ดินร้างผืนเดิมผืนนั่นจริงหรือ
เฉียวเวยกล่าวว่า “ข้าวฟ่างหวานเป็นพืชที่ค่อนข้างทนต่อความเค็ม ดังนั้นจึงปลูกงอกได้ง่าย หากหัวหน้าหมู่บ้านหยางไม่ต้องการปลูกข้าวฟ่างหวานก็ไม่เป็นอะไร ใช้เวลากับเรี่ยวแรงสักเล็กน้อยปรับปรุงความเค็มของดินสักหน่อยก็ได้แล้ว”
“ความหมายของเจ้าก็คือ…ปลูกสิ่งใดก็ได้หรือ” ดวงตาของหัวหน้าหมู่บ้านหยางทอประกายเล็กน้อย กล่าวความจริง เขาไม่ใคร่สนใจข้าวฟ่างหวานนัก เขาอยากปลูกอย่างอื่น
เฉียวเวยพยักหน้า “แต่เงื่อนไขแรกก็คือต้องปรับปรุงดินให้ดีขึ้นก่อน”
หัวหน้าหมู่บ้านท่องวิธีปรับปรุงดินจนแคล่วคล่องแล้ว เขากำลังกลัดกลุ้มว่าไม่มีที่ให้แสดงฝีมืออยู่พอดี จึงยิ้มร่าตบหัวไหล่ของหัวหน้าหมู่บ้านหยางแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้พวกเราไม่รบกวนเสี่ยวเฉียวแล้ว ไปๆ ไปร่ำสุราที่บ้านข้า ข้าจะบอกอย่างละเอียดให้เจ้าฟัง!”
หมู่บ้านที่ไม่โดดเด่นที่สุดในระยะสิบลี้ หัวหน้าหมู่บ้านที่ผู้คนไม่ชมชอบที่สุด ในที่สุดก็มีวันที่ได้คุยโม้โอ้อวดกับคนอื่นแล้ว
เฉียวเวยยิ้มแย้มกลับไปที่บ้าน หลังกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปดูการก่อสร้างเที่ยวหนึ่ง โครงสร้างบ้านทำเสร็จแล้วกำลังใส่กระเบื้อง นายช่างเจิ้งบอกเฉียวเวยว่าเริ่มซื้อเครื่องเรือนได้แล้ว อาศัยจังหวะที่นายช่างทั้งหลายล้วนอยู่ที่นี่ เครื่องเรือนหลายอย่างพวกเขาช่วยกันต่อให้ได้ หากบ้านสร้างเสร็จ คนไปแล้ว จะมาหาคนต่อเตียง ต่อตู้ก็หาไม่ได้แล้ว
“พวกท่านทำเองได้หรือไม่” เฉียวเวยถาม นางจำได้ว่าบริษัทตกแต่งภายในจำนวนมากในยุคปัจจุบันทำตู้เองด้วย
นายช่างเจิ้งตอบว่า “ได้มันก็ได้อยู่ แต่ฝีมือย่อมสู้พวกนายช่างในเมืองไม่ได้”
บ้านสร้างเสียงดงามเช่นนนี้ หากเครื่องเรือนทำแบบขอไปที คงไม่เข้ากันยิ่งนัก
เฉียวเวยครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปเมืองหลวงอีกครั้ง
ครั้งก่อนเดิมทีสมควรเลือกเครื่องเรือนเรียบร้อยแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางกลับพบคุณหนูจวนเอินปั๋วเข้าแล้วถูกจับยัดเข้าคุก หวังว่าครั้งนี้คงจะไม่โชคร้ายปานนั้นอีก
เดือนห้าวันที่สามสิบ เฉียวเวยขอลาหยุดกับซิ่วไฉเฒ่าแล้วพาเด็กๆ ไปเมืองหลวง
นางยังคงพกไข่เยียวม้าโถหนึ่งไปเช่นเดิม แล้วยังมีเนื้อแพะพะโล้สดใหม่ที่ตนเองปรุงอีกหนึ่งโถ ไปมอบให้หมิงซิวที่เรือนสี่ประสาน
ตอนกลางวันเฉียวเวยไม่หวังว่าจะได้พบเขา จึงเตรียมจะไปส่งของให้แล้วก็ไป แต่ลี่ว์จูรั้งนางไว้แล้วบอกว่า “นายท่านไปหอเย่ว์หม่าน มิทราบว่าจะกลับมาเมื่อใด หากฮูหยินมิเร่งรีบ อยู่ที่บ้านนั่งรอประเดี๋ยว บ่าวจะส่งคนไปแจ้งนายท่าน หากรีบจะตรงไปหาเลยก็ได้ สถานที่ซื้อเครื่องเรือนบังเอิญอยู่ใกล้กับที่นั่นพอดี”
ผู้ใดจะไปหาเขา
นางมาซื้อเครื่องเรือน ไม่ได้มาพบบุรุษเสียหน่อย!
เฉียวเวยกลอกตาเล็กน้อย แล้วพาเด็กๆ นั่งรถม้าที่เช่ามาจากร้านเช่ารถม้า
ยังเป็นสารถีเฒ่าคนเดิมกับครั้งก่อน
สารถีเฒ่าเอ่ยว่า “ถนนเหนือมีร้านช่างไม้ชื่อดังอยู่หลายแห่ง ข้าจะพาพวกเจ้าไป”
“ข้าหิวแล้ว” เฉียวเวยเอ่ยหน้าตาย
วั่งซูกะพริบดวงตากลมโต ไม่ใช่ว่าเพิ่งกินข้าวมาหรือ นางยังไม่ทันหิวเลยนะ ท่านแม่หิวเร็วจริงเชียว!
“ถ้าอย่างนั้น…ฮูหยินอยากไปทานอาหารที่ใดเล่า” สารถีเฒ่าเอ่ยถาม
“หอเย่ว์หม่าน”
…
หอเย่ว์หม่านคือเหลาสุราอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ทุกวันแขกเหรื่อมากมายดุจมวลเมฆ หน้าประตูครึกครื้นดั่งตลาด ห้องโถงใหญ่ไม่มีเก้าอี้ว่าง ห้องส่วนตัวชั้นบนยิ่งไม่มีห้องว่าง
ในห้องปี้สุ่ยซึ่งเป็นห้องที่แพงที่สุด จีหว่านกับจีหมิงซิวนั่งเยื้องกันเป็นมุม ข้างกายจีหว่านมีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่งเหมือนมีแขกยังมาไม่ถึง
จีหมิงซิวแกว่งถ้วยในมืออย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “สนุกนักหรือจีหว่าน”
จีหว่านส่องกระจกอย่างรักสวยรักงาม “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าถอนหมั้นกับตระกูลเฉียวแล้ว ในเมื่อถอนแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นอิสระ คนเป็นพี่สาวย่อมต้องแนะนำคู่หมายให้เจ้า นี่เป็นเรื่องเหมาะสมสมควร ข้ารู้ว่าเจ้าช่างเลือก หญิงสาวธรรมดาย่อมไม่เข้าตาเจ้า ดังนั้นข้าก็เลยนัดคนมาแล้ว ผู้อื่นเดินทางมาตามนัดโดยไม่เกรงกลัวเสียชื่อ หากเจ้ากล้าหนีไปก่อน อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
จีหมิงซิวกวาดสายตามองป้ายวิญญาณที่ตั้งอยู่ “ต้องนำป้ายวิญญาณของท่านแม่ออกมาเชียวหรือ”
จีหว่านส่องกระจกเติมชาดบนริมฝีปาก “ท่านแม่ไม่ออกมาคุม ข้าจะคุมเจ้าอยู่หรือ ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดแผ่นหนี ท่านแม่มองดูอยู่นะ คิดจะให้นางมิอาจสงบใจในปรโลกเจ้าก็ลองพยายามหนีดู”
จีหมิงซิวมองฟ้าไร้คำจะเอ่ย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
จีหว่านกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “คุณหนูเมิ่งใช่หรือไม่”
“เรียนฮูหยิน คุณหนูของข้าเดินทางมาตามนัดแล้ว” เสียงสาวใช้เอ่ยตอบแผ่วเบา
จีหว่านยิ้มแย้มออกไปรับคนเข้ามา
นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง รูปโฉมงดงาม กิริยาชดช้อย ท่วงท่าสง่างาม คำพูดคำจามิธรรมดา นิสัยก็มิได้เสแสร้งแกล้งอ่อนหวาน แต่มีกลิ่นอายของผู้มีความรู้แผ่ออกมาจากข้างในอย่างหาได้ยาก
คุณหนูเมิ่งนั่งอยู่ด้านข้างจีหว่านพลางหลุบสายตาลงท่าทางอ่อนน้อม จีหว่านถามสิ่งใด นางก็ตอบสิ่งนั้น ไม่หยิ่งยโส ไม่ฉุนเฉียว ไม่โอ้อวด ไม่ขลาดกลัว ทุกสิ่งล้วนพอเหมาะพอดี
“เป็นอย่างไร ไม่ด้อยกว่าคุณหนูจวนเอินปั๋วเลยใช่หรือไม่” จีหว่านถามอย่างได้ใจ
คุณหนูเมิ่งอมยิ้มไม่ตอบคำ
จีหมิงซิวจิบชานิ่งๆ คำหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน
เท้าของจีหว่านเตะขาเขาใต้โต๊ะทีหนึ่ง แล้วส่งสายตาให้เขา
จีหมิงซิวเสแสร้งแกล้งไม่เห็นแล้วดื่มชาต่อไป
คุณหนูเมิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ แต่การอบรมเลี้ยงดูอย่างดีทำให้นางรักษารอยยิ้มอย่างเหมาะสมเอาไว้ได้
จีหว่านยิ้มพลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “น้องชายข้าก็เป็นเช่นนี้ วาจาไม่มาก ข้าเป็นคนพูดมาก อยู่ในบ้านคนที่อ้าปากพูดล้วนเป็นข้าทั้งนั้น!”
คุณหนูเมิ่งพยักหน้าอย่างอ่อนหวาน
สตรีที่อ่อนหวานดั่งสายวารีเช่นนี้ มองตรงไหนก็ชอบจริงๆ หากน้องชายของนางมิใช่พวกชอบตัดแขนเสื้อก็สมควรหวั่นไหวแล้ว แต่ก็โทษน้องชายที่สายตาสูงส่งมิได้ เห็นใบหน้างามล่มเมืองของนางทุกวี่วัน ใบหน้าธรรมดาดาษดื่นใดจะเข้าตาน้องชายอีกเล่า
หากไม่กล่าวถึงหน้าตา (ซึ่งคุณหนูเมิ่งก็นับว่าเป็นผู้งามล่มเมืองแล้ว) เพียงกล่าวถึงการอบรมและชาติตระกูล คุณหนูเมิ่งก็หาที่ติมิได้
ท่านปู่ของคุณหนูเมิ่งคือแม่ทัพเป่ยเวยผู้พิทักษ์ชายแดนเหนือ ใต้ธงคือกองทหารเป่ยเวยจำนวนสิบหมื่นนายอันเกรียงไกร ผลงานการศึกมากมาย เป็นหนึ่งในแม่ทัพผู้ถูกคนชื่นชมมากที่สุดแห่งต้าเหลียงหากไม่นับแม่ทัพตัวหลัว จวนแม่ทัพตัวหลัวพวกเขาคาดหวังมิได้แล้ว ถึงอย่างไรผู้อื่นก็หมั้นบุตรสาวคนโตกับยิ่นอ๋องไปแล้ว จีหว่านเชื่อว่า มิว่ายิ่นอ๋องหรือน้องชายล้วนมิยินดีเกี่ยวดองกัน
แม้แม่ทัพเมิ่งห้าวหาญสู้แม่ทัพตัวหลัวมิได้ แต่ถึงอย่างไรก็กุมอำนาจทหารไว้อยู่จริง คู่ครองของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เช่นนี้ สำหรับหมิงซิว เหมาะสมจนไม่มีอะไรเหมาะสมมากกว่านี้อีกแล้ว
จีหว่านยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปปลดทุกข์สักหน่อย พวกเจ้าค่อยๆ คุยกัน”
บางทีอยู่ต่อหน้านางอาจไม่สะดวกใจนัก รอนางไปแล้วก็น่าจะผ่อนคลายลงบ้างกระมัง
จีหว่านดันป้ายวิญญาณขององค์หญิงเหวินซีไปวางตรงหน้าจีหมิงซิว “อย่าหนี อย่าพูดคำที่ไม่สมควรด้วย ท่านแม่ดูอยู่นะ!”
คุณหนูเมิ่งก้มหน้าอย่างขัดเขิน
จีหมิงซิวมองจีหว่านอย่างเฉยชา จีหว่านยิ้มหวานแล้วเดินออกไปอย่าง ‘ใส่ใจ’ ยิ่งนัก
เมื่อนางลงไปด้านล่าง เฉียวเวยก็เดินเลี้ยวออกมาจากมุม ว้าว พี่สาวผู้ว่างงานไม่มีอันใดทำผู้นั้น หาคู่ให้หมิงซิวส่งเดชอีกแล้ว! แล้วยังเชิญป้ายวิญญาณมาด้วย นางอุตส่าห์คิดได้นะ!
ในห้องเหลือเพียงสองคน คุณหนูเมิ่งตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ บิดามารดาคอยคุมนางเข้มงวด ยามปกติไม่ต้องพูดถึงอยู่กับบุรุษสองต่อสอง ออกจากจวนเมิ่งก็น้อยครั้งยิ่งนัก ครั้งนี้มาพบกับอัครมหาเสนาบดีได้รับความยินยอมจากบิดามารดา นางจึงออกมาด้วยกันกับสาวใช้
แต่อัครมหาเสนาบดีกลับไม่ส่งเสียงสักคำ นางก็มิอาจบุ่มบ่ามพูดก่อน
“พี่สาวข้าพูดกับพวกเจ้าว่าอย่างไร” ในที่สุดจีหมิงซิวก็เอ่ยปาก
ยอมพูดย่อมดี คุณหนูเมิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตอบเนิบช้า “ฮูหยินไปเยือนที่จวน พบหน้าบิดามารดาของข้าแล้วกล่าวว่าวันนี้ออกมาเทียบดวงชะตาดูสักหน่อย หากดวงชะตาสงพงศ์กัน การหมั้นหมายครั้งนี้ก็แน่นอนแล้ว”
“คุณหนูเมิ่งอยากแต่งงานกับข้าหรือ” จีหมิงซิวถามเสียงเรียบ
คุณหนูเมิ่งตอบด้วยท่าทางอ่อนหวานสง่างาม “การแต่งงานล้วนแล้วแต่ผู้อาวุโสกำหนด เจินเอ๋อร์มิกล้ามีความเห็น”
จีหมิงซิวเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์ “แต่ข้ามิอาจแต่งงานกับคุณหนูเมิ่งได้”
คุณหนูเมิ่งเรียกความกล้ามองไปทางเขา “เพราะเหตุใด”
“เพราะ…”
จีหมิงซิวยังเอ่ยไม่ทันจบ
ปึง!
ประตูก็ถูกกระแทกเปิดออก ก้อนข้าวเหนียวน้อยอ้วนตุ้บร่างหนึ่งกลิ้งเข้ามา
“โอ้ย เจ็บจะตายแล้ว!”
เมื่อครู่ตื่นเต้นมากเกินไป นางจึงสะดุดล้ม ขายหน้านักเชียว!
คุณหนูเมิ่งมองแขกไม่ได้รับเชิญในห้องอย่างตกตะลึง นางคือแม่นางน้อยสวมกระโปรงสีชมพูคนหนึ่ง ใบหน้าสีชมพูระเรื่อ ดวงตากลมโต ขนตางามงอน ริมฝีปากน้อยสีดุจผลอิงเถา งดงามประหนึ่งเทพเซียนตัวน้อยก้าวออกมาจากภาพวาดวันตรุษ
‘เทพเซียนตัวน้อย’ ร้องโอดโอย แล้วโถมเข้าไปในอ้อมแขนของจีหมิงซิวอย่างน่าสงสาร “ท่านพ่อ ข้าเจ็บนักเชียว!”
คุณหนูเมิ่งมือสั่น น้ำชาหกรดทั้งตัว!
จีหมิงซิวกลับนิ่งสงบ เจ้าตัวน้อยแสนร้ายกาจแอบฟังอยู่ตรงมุมกำแพงด้านนอกเสียนานปานนั้น อดทนมาจนถึงตอนนี้เพิ่งลงมือก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว เขาอุ้มวั่งซูขึ้นมานั่งบนตัก ท่าทางอ่อนโยนเสมือนบิดาทุกคนในใต้หล้าแห่งนี้ “เจ็บตรงไหนเล่า”
“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนี้!” วั่งซูชี้ทั่วทั้งตัวในรวดเดียว
เฉียวเวยปิดตา แสดงเสียเกินจริงเช่นนี้ ไม่สืบทอดวิชาจากมารดาเจ้าไปสักนิดเลยจริงๆ!
จีหมิงซิวนวดตรงที่นางชี้อย่างใส่ใจ การกระทำอ่อนโยนจนแม้แต่ตัวเขาเองยังแยกไม่ออกอยู่บ้างว่ากำลังเล่นละครหรือกำลังสงสารจริงๆ คำว่าท่านพ่อคำนั้น ทำให้วิญญาณของเขาแข็งทื่อ พริบตานั้นเขารู้สึกราวกับว่าตนมีลูกอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ ห่วงหาจนหัวใจกระตุกอย่างเจ็บปวดวูบหนึ่ง
“สบายนักเชียว!” วั่งซูหรี่ตาลงอย่างสบายตัวในอ้อมแขนของเขา
ครั้งนี้ไม่ใช่เล่นละครแล้ว แต่สบายเกินไปจริง นางไม่อยากลุกขึ้นแล้ว
คุณหนูเมิ่งหน้าซีดเผือดมอง ‘พ่อลูก’ คู่นี้ตรงหน้า แม้ไม่อยากเชื่อก็มิอาจไม่เชื่อ ความอ่อนโยนในดวงตาของอัครมหาเสนาบดีไม่เหมือนเป็นของปลอม…
แต่…
ไม่เคยได้ยินว่าอัครมหาเสนาบดีมีบุตรอยู่ข้างนอกนะ
“ท่านพ่อ ข้าอยากกินลูกกวาด!” วั่งซูทุ่มฝีมือการแสดงสุดตัว แล้วถือโอกาสหาผลประโยชน์เล็กน้อยให้ตัวเองด้วย
จีหมิงซิวบีบคางนาง “ข้าดูฟันของเจ้าหน่อยซิ”
วั่งซูปิดปากน้อยแน่น นางมีฟันผุ!
เห็นท่าทางสนิทสนมเช่นนั้นของทั้งสองคน ผู้ใดยังจะสงสัยว่ามิใช่พ่อลูกกันจริงๆ อีก
คุณหนูเมิ่งราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นแล้วลุกขึ้นยืน “ข้ายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน”
คุณหนูเมิ่งออกจากห้องส่วนตัวประหนึ่งวิ่งหนี พอเลี้ยวตรงมุมก็พบเฉียวเวย เฉียวเวยยิ้มหวานให้นาง นางไม่รู้จักเฉียวเวย แต่กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมีความนัยแฝงอยู่ เพียงแต่สมองนางกำลังสับสนคิดสิ่งใดมิออกทั้งสิ้น
จีหว่านลงไปสั่งอาหารสองสามอย่างที่ชั้นล่างเสร็จ กำลังเตรียมจะขึ้นไปชั้นบนก็เห็นคุณหนูเมิ่งหน้าซีดเผือดเดินลงบันไดมา นางตกตะลึง “คุณหนูเมิ่ง ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดสีหน้าย่ำแย่เช่นนี้ หมิงซิวรังแกท่านหรือ เจ้าเด็กคนนั้นพูดออกมาล้วนมีแต่เรื่องเหลวไหล ท่านอย่าเชื่อเขาเป็นอันขาด!”
คุณหนูเมิ่งมองจีหว่านอย่างโกรธเคือง “ฮูหยิน ข้าเคารพท่านที่เป็นคุณหนูของจวนอัครมหาเสนาบดี ลูกสะใภ้คนโตของจวนกั๋วกง แต่ท่านทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน! นับจากนี้การแต่งงานของจวนอัครมหาเสนาบดีก็ดี การแต่งงานของจวนกั๋วกงก็ช่าง ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเมิ่งของพวกเรา!”
จีหว่านถูกแทงหนึ่งดาบอย่างไม่รู้สาเหตุ “ท่านพูดอะไร หมิงซิวรังแกท่านใช่หรือไม่ ท่านมากับข้า มาดูกันว่าข้าจะสั่งสอนเขาอย่างไร!”
คุณหนูเมิ่งปัดมือของนางออก แล้วเอ่ยอย่างแค้นใจ “เรื่องของน้องชายท่าน ท่านไม่รู้จริงหรือ”
กล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอย่างเย็นชา ขึ้นรถม้าโดยไม่หันกลับมามอง
จีหว่านกัดฟัน เจ้าเด็กเวร! เจ้าสร้างเรื่องอันใดให้ข้าอีกแล้ว
เฉียวเวยเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วมองอาหารละลานตาเต็มโต๊ะที่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้อง จากนั้นจิ๊ปากพลางส่ายศีรษะ ช่างสมกับคำกล่าวที่ว่าชนชั้นสูงอาหารมากมายจนเน่าเปื่อย คนจนแข็งตายเป็นโครงกระดูกข้างทางจริงๆ
พวกเขาในหมู่บ้านกินปลาตัวหนึ่งก็หายากแล้ว แต่ที่นี่หอยเป่าฮื้อ ปลิงทะเล หูฉลาม กระเพาะปลาไม่มีใครสนใจสักนิด
นางเบ้ปาก “มีสตรีมากนักนะ คุณชายหมิง”
จีหมิงซิวลูบศีรษะน้อยของวั่งซู ลูบจนวั่งซูหาวหวอด เขาเอ่ยว่า “ก็ไม่ต่างกัน”
“เจ้าเด็กเวร! เจ้ามีชีวิตอยู่จนเบื่อหน่ายแล้วใช่หรือไม่ ต่อหน้าป้ายวิญญาณของท่านแม่ เจ้ายังกล้ารังแกคุณหนูเมิ่ง! ข้าว่าเจ้าอยากถูกจัดการใช่หรือไม่!”
ทันใดนั้นเสียงตวาดเกรี้ยวกราดของจีหว่านก็ดังขึ้นนอกประตู
เฉียวเวยรีบเข้าไปอุ้มวั่งซู หมายจะพาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองออกไป
แต่จีหมิงซิวยึดมือของนางไว้
เฉียวเวยสีหน้าเปลี่ยนในบัดดล นางเอ็ดเบาๆ “ปล่อยนะ! พี่สาวท่านมาแล้ว!”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างไม่แยแส “คำว่าพ่อยังเรียกแล้ว ยังจะกลัวเรียกคำว่าท่านป้าเพิ่มไปไย”
“ท่านป้าหรือ” หมายความว่าอย่างไร เจ้าหมอนี่จะให้วั่งซูเรียกพี่สาวเขาว่าท่านป้าหรือ เล่นอะไรกัน พี่สาวเขาคงฉีกอกวั่งซูให้น่ะสิ!
ช่วยเขาออกจากสถานการณ์คับขันก็ถึงขีดจำกัดแล้ว จะให้ไปลุยกับพี่สาวของเขา นั่นเป็นไปไม่ได้ พี่สาวของเขามิใช่คนโง่ นางจัดการยากกว่าคุณหนูเมิ่งอะไรนั่นมากนัก หากมองร่องรอยอันใดออกขึ้นมา นางจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้!
“ท่านปล่อยนะ” เฉียวเวยร้อนใจจนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
จีหมิงซิวเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างหน้าไม่อาย “ไม่ปล่อย”
เฉียวเวยสำลักเกือบตาย “ท่าน…หากท่านไม่ปล่อยข้าจะกัดท่านแล้ว!”
จีหมิงซิวกลับยื่นข้อมือให้
เฉียวเวยโมโหจนความโกรธหายไปหมด เจ้าหมอนี่ทำไมมีนิสัยหลายแบบเช่นนี้ ไม่ใช่แค่อันธพาล ยังจะหน้าไม่อายอีกหรือ “ท่านอยากหาก็ไปหาคนอื่น เด็กในเมืองหลวงมากมายไป หาสักคนมาหลอกพี่สาวท่านไม่ง่ายหรือไร”
“ไม่” จีหมิงซิวยืนกรานด้วยสีหน้าจริงจังอย่างหน้าไม่อาย
เฉียวเวยเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจีหว่านจึงมักอยากซ้อมเขาเสมอ หากนางมีน้องชายผู้ชอบกลั่นแกล้งคนเช่นนี้คนหนึ่ง นางก็อยากซ้อมเขาให้น่วมเหมือนกัน!
มือข้างหนึ่งของจีหมิงซิวกอดวั่งซูไว้แน่น วั่งซูเองก็กอดเขาอยู่ มือน้อยอวบอ้วนสองข้างเกาะคอเสื้อเขา มือของนางเพิ่งจับพื้นมา ดำปี๋สกปรก เมื่อจับถูกอาภรณ์สีขาวของจีหมิงซิวก็ประทับเป็นรอยมือสีดำหลายรอยในพริบตา
“เสื้อผ้าท่านสกปรกหมดแล้ว!
“ซักประเดี๋ยวก็สะอาด”
เฉียวเวยพองขน “ข้าอุตส่าห์ช่วยท่าน ท่านกลับทำให้ข้าติดกับ!”
จีหมิงซิวจูบหน้าผากน้อยของวั่งซู “ลูกสาวข้า เรียกว่าพ่อแล้ว ย่อมเป็นลูกข้า”
อ้ากกกก!
ไฉนมีคนประสาทเช่นนี้ได้
“วั่งซู ลงมา! แม่จะพาเจ้าไปกินถังหูลู่! เจ้าอยากกินเท่าไรก็กินเท่านั้น!”
“ฟี้…ฟี้…”
สิ่งที่ตอบเฉียวเวยกลับเป็นเสียงกรนแผ่วเบาน่าตีดังขึ้นติดกัน วั่งซูผู้คาดหวังไม่ได้นอนหลับไปแล้ว!
เฉียวเวยโกรธจนกระทืบเท้า!
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที นางเองก็ยื้อยุดสู้หมิงซิวไม่ได้จึงถลึงตามองหมิงซิวอย่างขุ่นเคือง แล้วลากบุตรชายหนีออกไป!
ลูกสาว ขอโทษด้วย เจ้าคงต้องพึ่งตนเองแล้วล่ะ จะให้พี่ชายเจ้าติดร่างแหไปด้วยเพราะเจ้าคนเดียวไม่ได้
แม่จะมาช่วยเจ้าแน่นอน!
จีหว่านขึ้นมาชั้นบนก็เห็นแผ่นหลังหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว แต่นางไม่คิดมากปานนั้น จึงหน้าบึ้งเข้าไปในห้องส่วนตัว “เจ้าเด็กเวร! ไม่สั่งสอนเจ้าสักหน่อย เจ้าก็ลืมแล้วว่าผู้ใดเป็นพี่…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง นางก็เห็นว่าในอ้อมแขนของหมิงซิวมีเด็กน้อยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เด็กน้อยผู้นั้นดวงหน้าสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวนุ่ม เครื่องหน้าเหมาะเจาะงดงาม แพขนตางอน ท่าทางยามกำลังหลับลึกประหนึ่งมีดอกบัวน้อยสีชมพูดอกหนึ่งแย้มกลีบบานอยู่กลางอ้อมแขนของหมิงซิว