หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 95-2 บุกบ้านรับบุตร
ตอนที่ 95-2 บุกบ้านรับบุตร
หลังจากขึ้นรถม้า ขันทีหลิวก็รินชาเย็นถ้วยหนึ่งให้ยิ่นอ๋อง จากนั้นหยิบพัดขึ้นมาพัดให้เขา “เป็นเช่นไรบ้าง ท่านเห็นแล้วหรือ หน้าตาเหมือนหรือไม่”
ยิ่นอ๋องแววตาล้ำลึก ไม่พูดไม่จา แต่องครักษ์มั่วด้านข้างกลับเอ่ยปาก “เหมือน เหมือนเหลือเกิน! เหมือนท่านอ๋องตอนยังเล็กตัวเป็นๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเช่นนั้นเชียว!”
ขันทีหลิวไม่รู้สึกประหลาดใจนักกับผลลัพธ์เช่นนี้ เขามองไปทางยิ่นอ๋องแล้วถามขึ้นว่า “ท่านอ๋องคิดจะทำเช่นไร จะรับพวกเขาแม่ลูกกลับจวนอ๋องหรือไม่”
ยิ่นอ๋องเงียบ
ขันทีหลิวถอนหายใจ “ท่านอ๋อง ท่านต้องรอบคอบนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ยิ่นอ๋องอายุไม่น้อยแล้ว องค์ชายหลายคนอายุเท่าเขาก็แต่งงานนานแล้ว แต่การแต่งงานของเขาผัดแล้วผัดอีก นอกจากเสด็จแม่ของเขาจะไม่เป็นที่โปรดปราน ตำแหน่งของเขาก็กระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง และสาเหตุข้อใหญ่อีกประการหนึ่งก็คือเมื่อห้าปีก่อนเรื่องของเขากับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวล่วงเกินจวนอัครมหาเสนาบดีจนทำให้ฮ่องเต้พิโรธ
วันนี้ลำบากนักกว่าจะหมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลตัวหลัวได้ วันแต่งงานกำลังจะมาถึงอยู่รอมร่อแล้ว หากเกิดข่าวลือเรื่องที่เขามีบุตรชายหญิงจากอนุภรรยาอยู่ด้านนอกออกไป งานมงคลสมรสที่ใกล้จะสำเร็จอยู่แล้วมิรู้จะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง
“จวนแม่ทัพตัวหลัวเป็นตระกูลเดียวที่เอาชนะคะคานกับจวนอัครมหาเสนาบดีได้ สองตระกูลใหญ่โต ท่านล่วงเกินไปแล้วหนึ่ง อย่าได้เสียอีกแห่งหนึ่งไปเป็นอันขาด มิเช่นนั้นสถานะของท่าน…ทุกสิ่งที่ท่านทุ่มเทวางแผนมาห้าปีนี้คงล่มก่อนก้าวเข้าประตูเพียงก้าวเดียว!” ขันทีหลิวเอ่ยอย่างจริงใจ
องครักษ์มั่วเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเลือดเนื้อของท่านอ๋อง ในร่างมีสายเลือดราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกเราไหลเวียนอยู่ มิอาจให้ตกต่ำมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านเช่นนี้ได้”
“ท่านอ๋อง…” ขันทีหลิวมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ยิ่นอ๋องยกมือขึ้น “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะตัดสินใจเอง”
องครักษ์มั่วออกไปด้านนอกบังคับรถม้า ล้อรถหมุนเคลื่อนอย่างเชื่องช้าทิ้งรอยตื้นๆไว้บนถนนดิน
เฉียวเวยสั่งจองเครื่องเรือนเสร็จก็อารมณ์ดียิ่งนัก นางฮัมเพลงเดินจากตัวเมืองกลับมาที่หมู่บ้าน เดินมาได้ครึ่งทางก็พบรถม้าของยิ่นอ๋องอย่างจัง
เพื่อหลบเลี่ยงไม่เปิดเผยตัวตน รถม้าที่ยิ่นอ๋องนั่งจึงเป็นรถของคนชั้นล่าง แต่เฉียวเวยจำองครักษ์มั่วได้! นางกับองครักษ์มั่วเคยประมือกันมาสองครั้ง ต่อให้บ่าวรับใช้ผู้นี้สลายกลายเป็นเถ้า นางก็จำได้!
ในเมื่อบ่าวรับใช้ผู้นี้ขับรถม้าอยู่ด้านนอก ผู้ที่นั่งอยู่ด้านในย่อมต้องเป็นท่านอ๋องเจ้านายของเขา
เฉียวเวยหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เจ้าหมอนี่สองวันสามวันวิ่งมาที่หมู่บ้านอยู่ได้ ที่แท้คิดทำสิ่งใดกันแน่
“นี่” เฉียวเวยเรียกรถม้าให้หยุด
องครักษ์มั่วทราบแล้วว่านางเป็นมารดาของนายน้อยจึงไม่วางอำนาจใส่นางเช่นเดิม
เฉียวเวยเหลือบมองเขาอย่างประหลาดใจแล้วตบตัวรถม้า “ข้าถามหน่อยเถิดยิ่นอ๋องผู้น่านับถือ ท่านมาเยือนหมู่บ้านแร้นแค้นอันแสนห่างไกลของพวกเราเพราะหตุใดกันแน่ ท่านคงไม่ได้หวั่นไหวอะไรกับข้าจริงๆ แล้วหวังจะได้ตัวข้าหรอกกระมัง”
ไม่แปลกที่เฉียวเวยจะหลงตัวเอง เจ้าหมอนี่เข้าหมู่บ้านมาครั้งแรกก็วิ่งมาถึงนาของนาง จ้องนางเขม็งอยู่พักหนึ่ง แววตา ‘ดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์’ นั่นเหมือนอยากจะมองให้เห็นทะลุเสื้อผ้าของนาง
หลังจากนั้นก็บังเอิญพบกันอีกสารพัดแบบ จะไม่ให้นางคิดมากคงไม่ได้
ยิ่นอ๋องเลิกม่านรถอย่างเย็นชา สายตามองเฉียวเวยอย่างเคร่งขรึม เฉียวเวยจ้องตอบไม่หลบสายตาเขาสักนิด “อะไร ข้าพูดแทงใจดำหรือไร”
ยิ่นอ๋องกล่าวเสียงเย็นยะเยือกดั่งบึงน้ำแข็ง “อย่าคิดว่าเสแสร้งทำท่าไม่ใส่ใจแล้วข้าจะไม่รู้ความคิดสกปรกเหล่านั้นของเจ้า เล่ห์เพทุบายของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า! ข้าจะบอกเจ้าให้กระจ่างแจ้ง ไม่ว่าเจ้าจะใช้เล่ห์กลเท่าใด ถึงจะให้กำเนิดเลือดเนื้อของข้าออกมา ข้าก็ไม่ชายตาแลเจ้าเป็นอันขาด!”
ใบหน้าของเฉียวเวยมีคำว่า ‘มึนงง’ ตัวโตๆ แปะอยู่ เป็นโรคประสาทมาจากที่ใด เขาเอาตาข้างไหนมองจึงเห็นว่านางคิดสกปรกกับเขา แล้วยังมีลูกกับเขาอีก เขาดีเลิศประเสริฐนักก็เหาะขึ้นฟ้าไปเลยสิ!
ยิ่นอ๋องปล่อยม่านรถลงแล้วให้องครักษ์มั่วขับรถม้าจากไป
สตรีที่ใช้อุบายปีนขึ้นเตียงเขา ต่อให้มีลูกกับเขาแล้วอย่างไร นั่นมิใช่บุตรที่เขาต้องการ นางอย่าได้คิดฝันว่าตนจะยอมรับพวกเขา!
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง พระราชวังก็ส่งข่าวมาว่าพระสนมอานเฟยประชวร
ยิ่นอ๋องเข้าวังทั้งตอนกลางคืนเพื่อเยี่ยมพระสนมอานเฟย
ตำหนักที่พระสนมอานเฟยประทับอยู่ห่างไกลยิ่งนัก คนกล่าวกันว่าเป็นตำหนักที่เงียบสงบ สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การอาศัย ดีต่อการรักษาอาการป่วย ในตำหนักมีนางเป็นนายเพียงคนเดียว ตำหนักเล็กสองฝั่งยังไม่มีเจ้านายอาศัย ยิ่นอ๋องจึงมิจำเป็นต้องเลี่ยงคำครหา หลังจากคารวะฮ่องเต้แล้วเขาก็ตรงเข้าไปในห้องบรรทมของอานเฟย
ยิ่นอ๋องเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นยาอบอวล เขาสาวเท้าไวๆ มาถึงหน้าเตียง “เสด็จแม่!”
อานเฟยสีหน้าซีดเผือดนอนอยู่บนแท่นบรรทม สภาพดั่งไม้เฉา เมื่อได้ยินเสียงของเขา นางจึงลืมตาขึ้นช้าๆ อยากจะเอ่ยปากแต่กลับไอออกมาเสียก่อน นางกำนัลรีบยกชาร้อนเข้ามา ยิ่นอ๋องรับถ้วยชาแล้วตักขึ้นมาช้อนหนึ่ง ชิมด้วยตนเองจากนั้นจึงป้อนถึงริมฝีปากของอานเฟย “ดื่มน้ำสักคำก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
อานเฟยจิบไปสองคำจึงยกมือบอกให้ยกออกไป
ยิ่นอ๋องส่งถ้วยชาให้นางกำนัล นางกำนัลถอยออกไปด้านนอกอย่างรู้หน้าที่
อานเฟยพยายามลุก ยิ่นอ๋องจึงประคองนางให้ลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นรองหมอนหนุนใบใหญ่สี่ใบไว้ด้านหลังของนาง เพื่อให้นางพิงอย่างสบาย “ร่างกายของท่านไม่เห็นดีขึ้นสักนิด หมอหลวงในวังรักษาอย่างไรกัน”
อานเฟยเอ่ยเสียงเบา “ไม่เกี่ยวกับหมอหลวง ร่างกายของข้าเอง ข้ารู้ดี ทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดูล้วนต้องนอนบนเตียงสักเจ็ดแปดวัน รอหายก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“นี่เป็นโรค จำเป็นต้องรักษา หากรักษาไม่ดีย่อมเกิดปัญหาจากพวกเขา เจ้าพวกหมอกระจอก!” ยิ่นอ๋องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรเท่ามารดา อานเฟยกุมมือเขาแผ่วเบา “ลูกเอ๋ย เจ้ามีเรื่องอะไรในใจใช่หรือไม่”
ยิ่นอ๋องหลุบตาลง “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ลูกเพียงเป็นห่วงอาการป่วยของเสด็จแม่”
คำพูดนี้หลอกผู้อื่นคงได้ แต่อานเฟยเป็นมารดาแท้ๆ ของเขาจะมองไม่ออกได้เช่นไรว่าเขามิได้พูดออกมาจากใจจริง แต่เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว เขาไม่อยากพูด นางจึงไม่ถาม
“หมอในวังใช้การไม่ได้ วันพรุ่งนี้ลูกจะไปเชิญหมอข้างนอกสักคนมาให้ท่าน”
“ไม่ต้องลำบาก ข้าไม่เป็นอะไรมาก” บุรุษข้างนอกเข้าวังเป็นเรื่องใหญ่ หมอหลวงดีเลวก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ แล้วยังมีสายตามากมายปานนั้นคอยจับจ้อง ขนาดนั้นแล้วฮ่องเต้ยังทรงไม่วางพระทัย บุรุษข้างนอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“เรื่องนี้มอบให้ข้า ไม่ลำบากเท่าใดหรอก” หลายปีนี้เขาลอบบ่มเพาะอำนาจขึ้นมาแล้ว หากต้องการพาหมอสักคนเข้าวังมาให้มารดาของตนก็ยังพอมีความสามารถทำได้
“บอกแล้วว่าไม่ต้อง…แค่ก แค่ก แค่ก…” อานเฟยอารมณ์พลุ่งพล่านก็ไออย่างรุนแรงออกมาอีกครั้ง
นางกำนัลเปิดประตูเข้ามาแล้วดึงลิ้นชัก ควานหายาขวดหนึ่งออกมา จากนั้นเทเม็ดหนึ่งให้อานเฟยเสวย อานเฟยอาการทุเลาลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับบุตรชายว่า “เรื่องการแต่งงานตระเตรียมเป็นอย่างไรแล้ว”
การแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ล้วนมีกรมพิธีการเป็นผู้จัดเตรียม องค์ชายองค์หญิงผู้เป็นที่โปรดปราน ขั้นตอนกระบวนการย่อมทั้งเร็วทั้งเรียบร้อย แม้ฉากหน้าเขาไม่ได้รับความโปรดปราน แต่เบื้องหลังจัดการขุนนางทั้งบนล่างของกรมพิธีการให้ยอมสยบได้นานแล้ว เรื่องของเขาย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉย
เขากล่าวว่า “เตรียมการได้พอสมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าซีดขาวของอานเฟยปรากฏรอยยิ้มพอใจจางๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ดีๆ”
อานเฟยร่างกายอ่อนแอ กล่าวไม่กี่ประโยคก็ถูกความง่วงจู่โจม ยิ่นอ๋องดึงหมอนรองออกแล้วประคองให้นางนอนลง
สภาพของอานเฟยแต่เดิมมิได้เลวร้ายเช่นนี้ ยามอายุน้อย อานเฟยกับฮ่องเต้เคยมีวันเวลาที่ครองรักกันอยู่ช่วงหนึ่ง ยามนั้นอานเฟยอาศัยอยู่ในตำหนักใกล้ฮ่องเต้ยิ่งนัก ทุกวันฮ่องเต้เสร็จราชกิจล้วนแวะไปเยี่ยมเยือนอานเฟยกับพระโอรส อานเฟยอ่อนหวาน เข้าอกเข้าใจผู้คน ยิ่นอ๋องเองก็ฉลาดเฉลียว ในหมู่องค์ชายทั้งหมด เขาเป็นผู้ที่ฉลาดมากกว่าผู้ใด สองแม่ลูกได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ยิ่งนัก
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปีนั้นที่อดีตฮองเฮาตั้งพระครรภ์ อดีตฮองเฮากับพระสนมอานเฟยใกล้ชิดกันมาก รักใคร่กันดุจพี่น้อง ยามว่างมักนั่งชมดอกไม้ ชมละครอยู่ด้วยกัน วันเวลาผ่านไปอย่างสุขอุรายิ่งนัก แต่แล้ววันหนึ่ง อดีตฮองเฮาก็ทรงคลอดก่อนกำหนด เพราะทารกอยู่ผิดท่าจึงเกือบตายท้องกลม ต่อมาแม้ช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ทั้งคู่ก็มีโรคเรื้อรัง อดีตฮองเฮามีชีวิตอยู่ไม่กี่ปีก็สิ้นพระชนม์ องค์รัชทายาทเติบใหญ่มาจนวันนี้ก็ยังคงเป็นตัวขี้โรค
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคนลงมือทำหรือสาเหตุอื่นไม่เคยตรวจพบหลักฐาน รู้เพียงแต่ว่าอานเฟยถูกผู้คนผลักออกมาเป็นแพะรับบาป กล่าวโทษว่าขนมกุหลาบที่อานเฟยถวายให้ฮองเฮามีอูโถวจำนวนไม่น้อยอยู่ นี่จึงเป็นสาเหตุให้อดีตฮองเฮาคลอดก่อนกำหนด
นิสัยของอานเฟย ทั่วทั้งวังหลังต่างรู้ดี นางมิใช่คนที่จะทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นเป็นอันขาด แต่ผู้ใดให้นางยึดครองฝ่าบาทเอาไว้คนเดียวเล่า ทุกคนริษยานางแทบไม่ทัน อยากจะดึงนางลงจากหลังอาชาบัดเดี๋ยวนั้น แล้วจะก้าวออกมาขอความเมตตาแทนนางได้เช่นไร
สุดท้ายอานเฟยจึงถูกส่งไปยัง ‘ตำหนักเย็น’ มาอาศัยอยู่ในตำหนักเหยากวงอันห่างไกลแห่งนี้ อาศัยอยู่ครั้งหนึ่งก็ยาวนานสิบกว่าปี
ยิ่นอ๋องห่มผ้าให้มารดา อากาศร้อนอบอ้าว เขาร้อนจนเหงื่อแตก แต่มือเท้าของนางกลับเย็นเฉียบ ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับรักษาคนป่วยแม้แต่น้อย แต่เป็นสถานที่เร่งให้คนไปพบยมบาล!
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น สองตาดั่งคบเพลิง เส้นเลือดสีเขียวตรงขมับปูดนูน เส้นเลือดสีแดงในดวงตาเหมือนจะปริแตก
ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงดนตรีครื้นเครงดังขึ้น อานเฟยผู้กำลังอยู่ในห้วงฝันมุ่นคิ้ว ยิ่นอ๋องก้าวออกจากห้องบรรทมเรียกซู่ซินนางกำนัลที่คอยปรนนิบัติอานเฟยเข้ามา “ด้านนั้นทำอันใด เหตุใดจึงเอะอะเช่นนี้”
ซู่ซินตอบอย่างนอบน้อม “เรียนองค์ชาย ฝ่าบาทกำลังเที่ยวชมทะเลสาบเป็นเพื่อนซื่อจื่อน้อย ซื่อจื่อน้อยชื่นชอบเป่าขลุ่ย ฝ่าบาทจึงเชิญนักดนตรีมาสอนเขาขณะล่องเรือเพคะ”
เที่ยวชมทะเลสาบไปพลาง สั่งสอนดนตรีไปพลาง เสด็จพ่อช่างสำราญพระทัยเสียจริง
“ซื่อจื่อน้อยคนไหน” ยิ่นอ๋องเอ่ยถาม
ซู่ซินตอบว่า “ซื่อจื่อน้อยจากจวนเจาอ๋องเพคะ”
เจาอ๋องคือเสด็จพี่รองของยิ่นอ๋อง มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นสนมขั้นผิน ตำแหน่งต้อยต่ำยิ่งนัก เทียบกับพระสนามอานเฟยที่เสียความโปรดปรานก็ยังสู้ไม่ได้
“เด็กคนนั้นมีสิ่งใดโดดเด่นกว่าผู้อื่นหรือไร เสด็จพ่อจึงโปรดปรานเช่นนี้” ยิ่นอ๋องถามอย่างสงสัย ระยะนี้ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับจีหมิงซิวจึงละเลยความเคลื่อนไหวในวังหลวง หากมิใช่ว่าเดินทางมาเยี่ยมเยียนเสด็จแม่ เขาก็คงไม่รู้ว่าข้างกายฮ่องเต้มีเด็กน้อยที่ได้รับความโปรดปรานเช่นนี้เพิ่มมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด
ซู่ซินตอบว่า “เขาเป็นพระราชนัดดาพระองค์โตของฝ่าบาทเพคะ องค์ชาย”
มังกรมีบุตรเก้าตน บุตรทั้งเก้าตนต่างก็มีบุตรต่อ ทว่าในหมู่เด็กน้อยรุ่นหลานเหล่านี้ แทบทั้งหมดล้วนเป็นท่านหญิงน้อย มีเพียงพระชายารองแห่งจวนเจาอ๋องที่ได้ท่านชายน้อยมาคนหนึ่ง เจาอ๋องถวายฎีกาขอให้แต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อเป็นกรณีพิเศษ นี่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรพระชายาเอกของเขาก็ยังไม่ให้กำเนิดบุตร ผู้ใดจะคิดว่าฮ่องเต้กลับเลอะเลือนรับปาก ดูจากสิ่งนี้ก็พอเห็นว่าในใจฮ่องเต้รักหลานชายคนโตผู้นี้มากเพียงไร
ยิ่นอ๋องแค่นเสียงหยันอยู่ในใจ นับเดือนดูแล้ว ซื่อจื่อน้อยคนนี้เด็กกว่าจิ่งอวิ๋นตั้งหนึ่งเดือนเต็ม พระราชนัดดาพระองค์โตหรือ น่าขัน!
ซื่อจื่อน้อยเป่าขลุ่ย กลายเป็นว่าเป่าได้สะเปะสะปะนัก แต่ฮ่องเต้กลับขบขันจนสรวลเสียงดัง
ซู่ซินเอ่ยอีกว่า “ซื่อจื่อน้อยอ่านตำราพันอักษรกับบทกวีสมัยถังหนึ่งร้อยบทจนคล่อง ราชครูชมว่าซื่อจื่อน้อยฉลาดนัก”
อ่านบทกวีถังคล่องนับเป็นอันใดได้ บุตรชายของเขาแต่งบทกวีเองได้แล้ว
เด็กโง่เช่นนี้ยังทำเสด็จพ่อหลงจนมัวเมาไม่รู้ทิศ หากจิ่งอวิ๋นมา ดวงเนตรของเสด็จพ่อคงไม่มีที่ให้ผู้อื่นอีกแล้วกระมัง!
กลางดึกหลังจากยิ่นอ๋องออกจากวัง เขาก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือของจวนยิ่นอ๋องทั้งคืน กระทั่งวันต่อมายามฟ้าสาง เขาก็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านซีหนิว
งานของปีนี้ควรเริ่มแต่วสันต์ งานของวันนี้ควรเริ่มแต่เช้าตรู่ เมื่อแสงอรุณเยี่ยมเยือนท้องนภา ชาวบ้านทั้งหลายในหมู่บ้านก็ทยอยลุกจากที่นอน คนที่ทำอาหารก็ทำอาหาร คนที่ปัดกวาดก็ปัดกวาด ผู้ชายเติมท้องจนอิ่มแล้วแบกจอบไปที่นา ผู้หญิงอุ้มอ่างไม้ไปริมแม่น้ำเพื่อซักเสื้อผ้า เด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่ต้นหมู่บ้าน สตรีที่รีบเร่งไปตลาดนัดหลายคนนั่งบนรถเทียมวัวของตาเฒ่าซวนจื่อ ออกจากหมู่บ้านไปอย่างเชื่องช้า
ดวงตะวันลอยขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง ท้องฟ้าสว่างแล้ว ความเย็นสบายยามอรุณรุ่งถูกแสงแดดขับไล่ไปสิ้น อากาศร้อนระอุซึมออกมาจากผืนดินทีละน้อย
ทั่วทั้งหมู่บ้านเริ่มวุ่นวาย แต่บ้านตระกูลหลัวกลับเงียบสงบผิดจากพวก
เจ้าซาลาเปาน้อยถูกเฉียวเวยส่งไปสำนักศึกษาแล้ว คนที่นั่งอยู่ในห้องโถงตอนนี้มีเฉียวเวย ป้าหลัว หลัวหย่งจื้อและชุ่ยอวิ๋นกับทารกน้อยในอ้อมแขนของนาง
ทารกน้อยเพิ่งกินข้าวบดเสร็จจึงเรอออกมา หลังจากนั้นก็นั่งน้ำลายยืดมองแขกไม่ได้รับเชิญฝั่งตรงข้าม
แขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้เป็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวดูดี หน้าตาหล่อเหลา บรรยากาศรอบตัวโดดเด่นเหมือนได้รับการอบรมมาอย่างดี บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ แลดูสง่างามและอ่อนโยน “…ขอบคุณพวกท่านที่ยอมรับพวกนางแม่ลูกเอาไว้แล้วยังดูแลพวกนางมานานปานนี้”
ป้าหลัวกับบุตรชายและลูกสะใภ้มองหน้ากัน ปากอ้ากว้างจนแทบจะยัดไข่ไก่ฟองหนึ่งเข้าไปได้
เฉียวเวยวางมือข้างหนึ่งเท้าคาง มองดูบุรุษผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้ทำหน้าเป็นคนบริสุทธิ์
เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเฉียว เหตุใดเจ้ามองข้าเช่นนี้เล่า เจ้าไม่รู้จักข้าแล้วหรือ”
เฉียวเวยเปลี่ยนมืออีกข้างมาเท้าคาง แล้วจ้องมองเขาเขม็ง “ข้าสมควรรู้จักท่านหรือ”
ป้าหลัว หลัวหย่งจื้อและชุ่ยอวิ๋นหันขวับไปมองเฉียวเวย
ทารกน้อยเห็นทุกคนมองก็ดูดนิ้วมือหันไปมองท่านน้าบ้าง
เฉียวเวยยักไหล่ อย่ามามองข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เขาเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเคืองข้า จึงไม่อยากยอมรับว่ารู้จักข้า ความจริงข้าเองก็จนหนทาง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ห่างจากเมืองหลวงใกล้เพียงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าถูกพวกค้าทาสลักตัวไปที่อื่น หลายปีนี้มิใช่ว่าข้าไม่ตามหาเจ้า แต่ไม่ได้ข่าวคราวของเจ้าเลย หากมิใช่เมื่อวาน….เห็นวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นที่สำนักศึกษา ข้าคงไม่กล้าเชื่อว่าพวกเราจะมีลูกด้วยกันแล้ว”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เมื่อวานท่านไปสำนักศึกษามาหรือ”
“ใช่ ข้าได้ยินข่าวบางอย่างมา ดังนั้นจึงเดินทางมาพิสูจน์สักหน่อย” ท่าทีของบุรุษผู้นั้นดียิ่งนัก
เฉียวเวยลูบคาง “ถ้าเช่นนั้นผลลัพธ์จากการพิสูจน์ของท่านก็คือท่านเป็นบิดาของเด็กๆ หรือ”
เขาพยักหน้า “วั่งซูหน้าตาเหมือนเจ้าปานนั้น ข้ามองปราดเดียวก็มองออก”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ดังนั้นท่านคิดจะทำอะไร”
เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ก่อนหน้านี้ข้าผิดเอง ข้าไม่สมควรไม่ทะนุถนอมเจ้าเช่นนั้น หวังว่าเจ้าจะให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ให้ข้ารับพวกเจ้าแม่ลูกกลับจวน นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะให้พวกเจ้าใช้ชีวิตสุขสบายไร้กังวล ไม่ต้องทุกข์ยากเหน็ดเหนื่อยอีก”
ยิ่นอ๋องตัดสินใจครั้งใหญ่ ถึงขนาดยอมเสี่ยงล่วงเกินจวนแม่ทัพตัวหลัวเดินทางมายอมรับลูกทั้งสองคนของตน ผู้ใดจะคิดว่าเขาเพิ่งมาถึงหน้าประตูกลับได้ยินบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งแย่งชิงบทพูดของเขา!
สมคำกล่าวว่าพนากว้างวิหคชนิดใดก็มีจริงๆ เจ้าสารเลวจากที่ใดมาแอบอ้างขโมยภรรยากับบุตรของผู้อื่น เรื่องเช่นนี้ก็ยังทำลงไปได้ ยิ่งกว่าเดรัจฉาน!
“ฮัดเช้ย!”
ยิ่นอ๋องเพิ่งด่าในใจจบพลันมีเสียงจามดังลั่น!